ตามรอยธรรมหลวงปู่บุดดา ถาวโร วัดกลางชุศรีเจริญสุข อ.บางระจัน จ.สิงห์บุรี
จูงจิตใจให้เข้าสู่มรรค ผล นิพพาน ให้เข้าสู่ในความไม่เกิดไม่ตาย
อย่าได้มาเวียนเกิดในกามภพ รูปภพ อรูปภพ
เกิดที่ไหนเป็นทุกข์ที่นั่น
เขาจะมีทุกข์ยังไงละทิ้งเหตุมันเสียแล้วกัน ดับแต่เหตุมันซิ
ความทุกข์กายทุกข์ใจ เป็นทุกข์อย่างยิ่ง
เพราะฉะนั้นอย่าให้มีความทุกข์กายทุกข์ใจเลย
อย่าทิ้งวิริยะบารมีจนกว่าจะตรัสรู้ธรรมนะ
รู้จักทุกข์แล้วปล่อยทุกข์ซะ อยากพ้นทุกข์ก็อยู่กับธรรมะ
อยากเป็นทุกข์ก็ไปอยู่กับสัตว์โลก
ธรรมะเป็นอย่างไร
ธรรมะก็หนังแผ่นเดียวนะซิ จิตเดียวซิ
กิเลสมันมาเป็นเจ้าของอวิชชาตัณหาอุปาทาน
มันนึกว่าหนังของมัน เนื้อของมัน
ตา หู จมูก ลิ้น กายใจของมันที่ไหน
มันมาอาศัยเขาเกิดยังว่าของมันอีก
พ้นเกิดแก่เจ็บตาย พ้นในปัจจุบันนี้แหละ
ให้พ้นเกิดพ้นตาย จะได้ทำงานให้พระศาสนา
ต้องพูดอย่างธรรม พูดอย่างคนจะขัดคอคนนะซิ
ไม่มีใครเกิด..ไม่มีใครแก่..ไม่มีใครเจ็บ
ไม่มีใครตาย..นั่นแหละเป็นแก่นศาสนา
ปริยัติธรรม ปฏิบัติธรรม ปฏิเวธธรรม
มีอยู่ที่ปัจจุบันธรรม
อย่าเอาอดีต อนาคต มาค้านตัวเองให้ยุ่งเลย
เอาแค่ปัจจุบัน
“ไม่ให้อภัยก็ไม่ใช่ลูกพระพุทธเจ้าซิ
พระพุทธเจ้าให้อภัยสัตว์เก่ง
ลูกพระพุทธเจ้าเกิดด้วยศีล เกิดด้วยสมาธิ เกิดด้วยปัญญา
เกิดแล้วไม่แล้วต้องตายเป็นทุกข์
ตายแล้วก็ไม่แล้วต้องเกิดเป็นทุกข์
ขอทุกข์อันนี้อย่าได้มีติดตาม
อย่าได้ตามมาในตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ขอให้พ้นไป
ให้อภัยไม่ก่อเวรแก่สัตว์ทั้งภายนอกและภายใน
เท่ากับให้ชีวิตเป็นธรรมทาน
อภัยทานถึงนิพพานได้ จิตมีทาน ศีล ภาวนาไปได้เร็ว
ทานภายใน อภัยทาน ธรรมทาน
ทานภายในสูงสุดกว่าทานภายนอก
คนมัวเมาแต่ภายนอก ไม่ค่อยเอาใจใส่ธรรมทาน อภัยทาน”
ขอเชิญอ่านพระธรรมเทศนา โดยหลวงปู่บุดดา ถาวโร
เรื่อง “โลกุตระ” (คลิก)http://tinyurl.com/6lw9my6
คนไหนขยัน คนนั้นแหละ
เป็นลูกพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์
คนไหนขี้เกียจ ขี้คร้าน เป็นลูกของกิเลส
กรรมใครกรรมมันนะอย่าลืม
ใครเขาอยากจะตีให้เขาตีไป
เราหลบได้เราหลบ หลบอยู่ในธรรม
ธรรมะของพระพุทธเจ้า ไม่มีตัวมีตน หลบพ้นนะลูก
ถ้าหลบไม่พ้นก็ให้รับอย่างพระโมคคัลลานะ
รับอย่างคนฉลาดอย่ารับอย่างโง่ ๆ รับแล้วไปนิพพาน
คือรับด้วยจิตผ่องใสบริสุทธิ์
ไม่ใช่รับด้วยความขัดข้องหมองใจ จิตไม่บริสุทธิ์
การไปของจิต ก็บริสุทธิ์ไม่ได้
อย่ารับอย่างคนโง่เพราะมีอบายภูมิ ๔ เป็นที่ไป
คนเราเกิดมาทำไมหรือ
ก็เกิดมาเพื่อดับกิเลสตนเองน่ะซี
อย่ามัวแบกทุกข์อวิชชาอยู่เลย
อย่าได้ประมาทนิ่งนอนใจนะ
ให้สำรวมกาย วาจา ใจ ให้เต็มตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ
คนเราจะเป็นสุข เมื่อรู้จักพอดี
ไม่มีใครได้อะไรตลอดไป หรือเสียอะไรตลอดไป
ไม่มีใครหรือสิ่งไหนคงอยู่ตลอดไป โดยไม่สูญสิ้น
ขอเพียงแค่รู้จักพอดี ทุกคนจะเป็นสุข
หลวงปู่บุดดา ถาวโร จัดว่าเป็น “รัตตัญญู” คือเป็นผู้เก่าแก่และมี
ประสบการณ์มาก รูปหนึ่งของคณะสงฆ์ไทย ด้วยท่านมีอายุยืนนาน
ถึง ๑๐๑ ปี ก่อนจะมารณะภาพเมื่อ พ.ศ. ๒๕๓๗
สมัยที่ยังหนุ่ม ท่านมีโอกาสพบปะครูบาอาจารย์ที่สำคัญหลายรูป
เช่น พระอุบาลีคุณูปมาจารย์ (จันทร์ สิริจนฺโท) และครูบาศรีวิชัย
ท่านหลังนี้เคยทักหลวงปู่บุดดาเนื่องจากเห็นท่านไม่พาดสังฆาฏิว่า
“เฮาเป็นนายฮ้อย ก็ต้องให้เขาฮู้ว่าเป็นนายฮ้อย ไม่ใช่นายสิบ” นับ
แต่นั้นมาหลวงปู่จึงพาดสังฆาฏิติดตัวตลอดเวลา จนกลายเป็น
เอกลักษณ์ของท่าน
หลวงปู่บุดดาเป็นพระป่า ชอบธุดงค์ ไม่มีวัดเป็นหลักแหล่ง จนเมื่อ
อายุ ๘๗ ปีจึงได้มาประจำที่วัดกลางชูศรีเจริญสุข อำเภอบางระจัน
จังหวัดสิงห์บุรี กระทั่งมรณภาพ
แม้หลวงปู่บุดดาจะไม่ได้เล่าเรียนในทางปริยัติมาก แต่ความที่ท่าน
เชี่ยวชาญในการปฏิบัติ จึงมีความสามารถในการสอนธรรมชนิดที่สื่อ
ตรงถึงใจ มีคราวหนึ่งท่านได้รับนิมนต์ให้ไปเทศน์คู่กับท่านเจ้าคุณรูป
หนึ่งซึ่งเป็นเปรียญธรรม ๙ ประโยค ท่านเจ้าคุณรูปนั้นคงเห็นหลวง
ปู่เป็นพระบ้านนอกจึงอยากลองภูมิหลวงปู่ ได้ถามหลวงปู่ว่า “จะ
เทศน์เรื่องอะไร”
หลวงปู่ตอบว่า “เรื่องตัวโกรธ กิเลสตัณหา”
ท่านเจ้าคุณซักต่อว่า “ตัวโกรธเป็นอย่างไร”
หลวงปู่ตอบสั้น ๆ ว่า “ส้นตีนไงล่ะ”
เท่านั้นเองท่านเจ้าคุณก็โกรธหัวฟัดหัวเหวี่ยง ไม่ยอมเทศน์กับหลวง
ปู่ วันนั้นหลวงปู่จึงต้องขึ้นเทศน์องค์เดียว เมื่อเทศน์จบแล้ว ท่านก็ไป
ขอขมาท่านเจ้าคุณองค์นั้น พร้อมกับอธิบายว่า
“ตัวโกรธมันเป็นอย่างนี้เองนะ มันหน้าแดง ๆ นี้แหละ มันเทศน์ไม่ได้
คอแข็ง ตัวโกรธสู้เขาไม่ได้ ขึ้นธรรมาสน์ก็แพ้เขา ใครจะเป็นนัก
เทศน์ต่อไปจดจำเอาไว้นะ ตัวโกรธน่ะ นักเทศน์ไปขัดคอกันเอง มัน
จะเอาคอไปให้เขาขัด”
หลวงปู่บุดดารู้จักตัวโกรธดี
ท่านรู้ว่าตัวโกรธกลัวคนกราบ
ท่านเล่าว่าตั้งแต่เริ่มบวช
ท่านพยายามเอาชนะความโกรธด้วยการกราบ
เวลาโกรธท่านจะลุกขึ้นกราบพระ ๓ ครั้ง
โกรธ ๒ ครั้งก็กราบพระ ๖ ครั้ง
โกรธ ๑๐๐ ครั้ง ก็กราบ ๓๐๐ ครั้ง
ทำเช่นนี้หลายครั้งความโกรธก็ครอบงำท่านไม่ได้
เมื่อความโกรธเป็นใหญ่เหนือใจไม่ได้
ความเมตตาและอ่อนน้อมถ่อมตนก็ตามมา
หลวงปู่บุดดาขึ้นชื่อในเรื่องนี้มาก
คราวหนึ่งท่านกำลังจะเดินข้ามสะพาน
ก็เห็นสุนัขตัวหนึ่งนอนขวางทางอยู่บนสะพาน
แทนที่ท่านจะเดินข้ามสุนัขตัวนั้น หรือไล่มันให้พ้นทาง
กลับเดินลงไปลุยโคลนข้างล่าง
ท่านว่าไม่อยากให้ผู้อื่นได้รับความขุ่นเคือง
เพียงเพื่อเห็นแก่ความสะดวกของตนเอง
แม้เป็นเพียงสัตว์เดรัจฉาน ท่านก็ไม่ปรารถนาจะเบียดเบียน
เขียนเล่าเรื่องพระไพศาล วิสาโล
http://dhamatrail.blogspot.com/2012/07/blog-post_4499.html