ประสบการณ์โลกทิพย์ ในการออกธุดงค์ของพระอาจารย์มั่น ภูริทัตโต (ตอนที่ ๑๗)
?
เทวดาผู้อ่อนน้อม
ผีหลวงร่างยักษ์ใหญ่ได้ฟังคำเทศนาอันเผ็ดร้อนของพระอาจารย์มั่นโดยทางสมาธิจิตคือพูดทางจิตก็ให้มีอาการตะลึงตัวแข็งแบก
ตะบองเหล็กค้างเติ่งไม่กล้ากระดุกกระดิก แสดงอาการทั้งอับอาย
และเกรงกลัวพระอาจารย์มั่นอย่างถึงขนาดคล้ายไม่หายใจเอาทีเดียว ครั้นแล้วอย่างช้า ๆ งก ๆ เงิ่น ๆ เขาก็ทิ้งตะบอลเหล็กอันใหญ่
โตลงกับพื้น แล้วเนรมิตร่างในพริบตากลับกลายเป็นร่างมานพ
หนุ่มรูปงามและนิ่มนวลด้วยมารยาทอัธยาศัย คุกเข่าลงคลานเข้ามากราบนมัสการพระอาจารย์มั่น แล้วกล่าวคำขอโทษอย่างบุคคล
ผู้เห็นโทษสำนึกในบาปกรรม ที่แสดงกิริยาหยาบคายชั่วช้าสามานย์ล่วงเกินท่าน และได้สารภาพว่า
” กระผมรู้สึกแปลกใจและสะดุ้งกลัวท่านพระอาจารย์มั่นตั้งแต่เริ่มแรกแล้ว เพราะมองเห็นรัศมีแสงสว่างที่แปลกและอัศจรรย์มากไม่เคย
พบเห็นมาก่อนพวยพุ่งออกมาจากร่างพระอาจารย์ รัศมีสว่างของพระอาจารย์กระทบเข้ากับตัวกระผม ทำให้กระผมอ่อนเปลี้ยเพลียแรงไป
หมด ใจสั่นริก ๆ เหมือนหัวใจจะวายวางเสียให้ได้
แต่ด้วยทิฏฐิมานะถือดีทำให้กระผมฝืนใจแสดงกิริยาดุร้ายคำรามขู่จะฆ่าตีพระอาจารย์ออกไปอย่างนั้นเอง แต่ใจจริงแล้ว
ไม่ได้คิดจะทุบตีแต่อย่างใดเลย เป็นเพียงกิริยาหยาบช้าที่แสดงออกมาตามความรู้สึกที่เคยฝังใจอยู่ใน
สันดานมานานว่าตัวเองเป็นผู้มีอำนาจในหมู่ “ อมนุษย์ ”
ด้วยกัน มีอำนาจในหมุ่มนุษย์ที่ไม่มีศีลธรรม ชอบรับบาปหาบความชั่วประจำนิสัยต่างหาก อำนาจอันชั่วร้ายนี้จะทำอะไรให้ใครได้รับความ
วิบัติบรรลัยเมื่อไรก็ได้ตามต้องการ โดยปราศจากความต้านทานขัดขวาง
ทิฏฐิมานะอันนี้แลทำให้วางตัวเป็นผู้มีอำนาจบาทใหญ่ แสดงความหยาบคายดุร้ายออกมาให้พระอาจารย์เห็นพอไม่
ให้ตัวกระผมเองเสียลวดลาย ทั้งๆ ที่เกรงกลัวพระอาจารย์เหลือประมาณ ความจริงกระผมเป็นเทวดาแต่เป็นเทวดาผู้เต็มไปด้วย
มิจฉาทิฏฐิเห็นผิดเป็นชอบ มีแต่ความชั่วร้ายจนชาวบ้านเขาตราหน้าว่าเป็นภูตผีปิศาจร้าย เห็นแก่เครื่องอามิสเซ่นสรวงบูชา เต็มไป
ด้วยความโลภ ความโกรธความหลง ไม่วางตัวให้สมภูมิเทวดาเอาเสียเลย กรรมอันไม่งามใดๆ ที่กระผมแสดงต่อพระอาจารย์ใน
ครั้งนี้ขอจงได้เมตตาอโหสิกรรมแก่กรรมนั้นๆ ให้กระผมด้วย อย่าต้องให้รับบาปหาบทุกข์ต่อไปอีกเลย เท่าที่เป็นอยู่เวลานี้ก็มีทุกข์อย่าง
พอเพียงอยู่แล้ว ยิ่งจะเพิ่มทุกข์ให้ตัวเองมากกว่านี้ ก็คงเหลือกำลังที่จะทนต่อไปได้ไหว
” ท่านพระอาจารย์มั่นได้ถามว่า
” ท่านเป็นผู้ใหญ่มีอำนาจวาสนามาก กายก็เป็นทิพย์ ไม่ต้องหอบหิ้วเดินเหินไปมาให้ลำบากเหมือนมนุษย์ การเป็นอยู่หลับนอนก็ไม่
เป็นภาระเหมือนมนุษย์โลกที่เป็นอยู่กัน แล้วทำไมจึงบ่นว่ายังทุกข์อยู่อีก “? มานพหนุ่มพนมมือตอบว่า
” ถ้าพูดกันอย่างผิวเผินและเปรียบเทียบกับกายมนุษย์ที่หยาบๆ พวกกายทิพย์อาจมีความสุขมากกว่าพวกมนุษย์จริง เพราะเป็นภูมิที่
ละเอียดกว่ากัน แต่ถ้ากล่าวตามชั้นภูมิแล้วกายทิพย์ก็ย่อมมีความทุกข์ไปตามวิสัยของภูมินั้นๆ เหมือนกัน
กระผมเป็นรุกขเทวดาชั้นหัวหน้าเป็นเจ้าเป็นใหญ่อยู่ในภูเขาและสถานที่ต่างๆ มีอาณาเขตบริเวณกว้างขวางมาก ติดต่อกันหลาย
จังหวัด มีบริวารมากมายที่อาศัยอยู่ในภูเขาอันเป็นที่สงัดเงียบวิเวกห่างไกลจากผู้คนพลุกพล่าน
มิได้เป็นบุรุษลึกลับมีร่างกายดำสูงใหญ่ดังที่แสดงภาพกายหยาบต่อท่านเมื่อสักครู่นี้หรอกขอรับ
นั่นเป็นแต่เพียงกายสมมติที่กระผมบิดเบือนเนรมิตขึ้นเพื่อแสดงการข่มขวัญท่านพระอาจารย์เท่านั้นเอง
ขอท่านพระอาจารย์จงโปรดเมตตาให้อโหสิกรรมด้วยเถิด กระผมมีความเลื่อมใสเคารพในพระธรรม
เป็นอย่างยิ่งและใคร่ขอปฏิญาณตนถึงพระไตรสรณคมณ์ยึดพระอาจารย์เป็นสรณะและเป็นองค์พยานด้วย และใคร่ขอนิมนต์ให้ท่านพัก
อยู่ที่นี่นานๆ กระผมไม่อยากจะให้ท่านจากไปอยู่ที่อื่นเลยตลอดอายุขัยของท่าน
กระผมจะคอยให้อารักขาท่านเป็นอย่างดีทุกอิริยาบถจะไม่ให้มีอะไรมารังแกเบียดเบียนได้เป็นอันขาด
“ท่านพระอาจารย์มั่นสนทนาธรรมกับหัวหน้ารุกขเทวดาองค์นี้อยู่จนถึงตี 4 เขาจึงได้นมัสการลาจากไป เมื่อท่านถอนจิตออกจากสมาธิ
เพื่อเปลี่ยนอิริยาบถเป็นเดินจงกรมก็ปรากฏว่า อาการของโรคปวดท้องรุนแรงทุกขเวทนา ได้หายไปหมดอย่างสิ้นเชิง เป็นอันว่าโรคประจำ
กายได้หายไปอย่างเด็ดขาดด้วยธรรมโอสถทางภาวนาล้วนๆ
ไม่ต้องอาศัยยาสมุนไพรรักษาอีกต่อไป จึงเป็นสิ่งอัศจรรย์น่าคิดยิ่งนัก เป็นความอัศจรรย์ของอานุภาพแห่งธรรมะโดยแท้อย่างมิได้สงสัย
ธรรมะยังได้ทำให้เทวดาผู้เป็นมิจฉาทิฏฐิหายพยศและเกิดความเลื่อมใสอีกด้วย
ในตอนเช้าต่อมา ก็สามารถฉันอาหารได้เป็นปกติ ไม่เป็นพิษเป็นภัยต่อร่างกายอีกต่อไป
โอหนอ…ธรรมะที่พุทธเจ้าทรงพระเมตตาประทานไว้แก่หมู่ชน ช่างเป็นธรรมะที่สุขุมลุ่มลึกนี่กระไร ยากที่จะมีผู้สามารถปฏิบัติ
และไตร่ตรองให้เห็นจริงตามได้ พระอาจารย์มั่นเกิดความภูมิใจและอัศจรรย์ในตัว
ท่านเองที่มีวาสนาได้ปฏิบัติและรู้เห็นความอัศจรรย์จากธรรมะ แม้จะยังไม่สมบูรณ์เต็มภูมิที่ใฝ่ฝันมานานก็ตาม
แต่ก็ยังจัดว่าอยู่ในขั้นพอกินพอใช้ ไม่ขัดสนจนมุมในความสุขที่เป็นอยู่และที่จะเป็นไปซึ่งตัวเองก็แน่ใจว่า
จะถึงแดนแห่งความสมหวังในวันหนึ่งข้างหน้าแน่นอน ถ้าไม่ตายเสียในระยะกาลที่ควรจะเป็นนี้ ท่านพระอาจารย์มั่นเล่าว่า การ
บำเพ็ญภาวนาต่อสู้กับทุกขเวทนาในคืนนี้ ยังได้ก่อให้เกิดความรู้แปลกๆ ที่ไม่เคยรู้มาก่อนปรากฏขึ้นมากมายทั้งประเภทถอดถอน
กิเลสอาสวะ และความรู้พิเศษด้วยอภิญญาจิตตามวิสัยวาสนาบารมี
ขอบคุณข้อมูลจาก : http://www.watpanonvivek.com/index.php?option=com_content&view=article&id=1609:2010-02-22-18-59-26&catid=39:2010-03-02-03-51-18