พระอรหันต์ โดยสมเด็จพระสังฆราช

พระอรหันต์

(คัดลอกบางส่วนจาก “แสงส่องใจ”)

โดยสมเด็จพระสังฆราช

พระพุทธภาษิตที่อัญเชิญมาไว้เบื้องต้นของ “แสงส่องใจ” ฉบับวิสาขบูชานี้ มีความว่า

“พระอรหันต์ทั้งหลายอยู่ในที่ใด คือบ้านก็ตาม ป่าก็ตาม ที่ลุ่มก็ตาม ที่ดอนก็ตาม ที่นั้นย่อมเป็นภูมิน่ารื่นรมย์” ความหมายของ

พระพุทธภาษิตบทนี้ก็คือพระอรหันต์มีอิทธิฤทธิพิเศษสุด สามารถทำที่ทุกแห่งให้เป็นที่รื่นรมย์ได้ และอิทธิฤทธิพิเศษสุดของพระ

อรหันต์ท่านนั้นมิได้เสกเป่าด้วยเวทมนต์คาถาใดๆทั้งสิ้น และท่านก็มิได้ทำได้สำเร็จบ้าง ไม่สำเร็จบ้าง คือไม่ใช่ว่าบางทีบางที่ที่พระ

อรหันต์ท่านอยู่ก็มิได้รื่นรมย์เสมอไป ไม่ใช่เช่นนั้น ที่ใดพระอรหันต์อยู่ที่นั้นเป็นที่รื่นรมย์เสมอไป ทุกที่เสมอไป เพราะเหตุความ

รื่นรมย์นั้นเกิดจากใจที่ผ่องแผ้วไกลกิเลสแล้วอย่างสิ้นเชิงของพระอรหันต์ท่าน

ความบริสุทธิ์แห่งใจของพระอรหันต์ท่านนั่นแล้วที่ทำให้ทุกที่ทุกเวลาที่พระอรหันต์ท่านอยู่ มีแต่ความรื่นรมย์ ผู้ใดเข้าไปอยู่ในที่นั้น

พร้อมกับพระอรหันต์ท่านย่อมได้รับความรื่นรมย์ทุกผู้ทุกคนทุกเวลา

ใจที่ไกลกิเลสแล้วสิ้นเชิง คือใจพระอรหันต์ทั้งหลาย คือใจที่ปราศจากแล้วทั้งความโลภความโกรธความหลง

ไม่มีความโลภความโกรธความหลงแม้เล็กน้อยเพียงใดในใจพระอรหันต์ท่านทั้งหมด นั่นก็คือไม่มีความร้อนในใจท่าน ความโลภ

ร้อน ความโกรธร้อน ความหลงร้อน เมื่อหมดจดจากทั้งสามประการนี้ ความร้อนจะมีได้อย่างไร เหมือนไม่มีกองไฟที่ใด ที่นั้นก็ย่อม

ไม่มีความร้อน ฉันใดก็ฉันนั้น พระอรหันต์ทั้งหลายท่านไม่มีความร้อนของความโลภความโกรธความหลง ท่านอยู่ที่ไหนก็เท่ากับ

ไม่มีกองไฟในที่นั้น ไม่มีความร้อนในที่นั้น และนอกจากไม่มีความร้อนแล้วยังมีความเย็นจากใจพระอรหันต์ท่าน ที่ใดมีความเย็น ที่

นั้นย่อมเป็นที่รื่นรมย์ของทุกชีวิตที่เข้าไปสู่ จึงมีพระพุทธภาษิตว่า

“พระอรหันต์ทั้งหลายอยู่ในที่ใด คือบ้านก็ตาม ป่าก็ตาม ที่ลุ่มก็ตาม ที่ดอนก็ตาม ที่นั้นย่อมเป็นภูมิน่ารื่นรมย์”

ใจของท่านผู้ไกลกิเลสแล้วสิ้นเชิง ไม่มีความโลภความโกรธความหลงในใจท่านทั้งหลายนั้น คือใจของพระอรหันต์พุทธสาวก ใจ

ของท่านไม่เป็นพิษไม่เป็นภัยแก่องค์ท่านเอง และไม่เป็นพิษไม่เป็นภัยแก่ผู้ใดทั้งสิ้น กล่าวได้ไม่ผิดว่านี่คือความไม่ก่อทุกข์ก่อร้อน

แก่ผู้ใดทั้งสิ้น ใจของท่านเป็นคุณเป็นประโยชน์แก่องค์ท่านเอง และเป็นคุณเป็นประโยชน์แก่คนทั้งปวง ให้ความเย็นแก่องค์ท่านเอง

ให้ความรื่นรมย์แก่องค์ท่านเอง และให้ความเย็นให้ความรื่นรมย์แก่ทุกชีวิตแก่คนทั้งหลายที่มีโอกาสได้เข้าใกล้ท่าน ได้สัมผัสความ

รื่นรมย์จากใจท่าน ที่ปราศจากพิษภัยแม้เล็กน้อยเพียงใดของความโลภความโกรธและความหลง

พระอรหันต์ผู้ไกลกิเลสแล้วสิ้นเชิงมีแต่ในพระพุทธศาสนาเท่านั้น

ไม่มีในศาสนาอื่น ไม่มีในลัทธิอื่น ดังนั้นเมื่อกล่าวว่าพระอรหันต์อยู่ที่ไหนที่นั่นเป็นที่รื่นรมย์ ก็ควรเข้าใจได้ ว่าพระพุทธศาสนา

สามารถให้ความรื่นรมย์ได้แน่นอน เพราะพระอรหันต์ในพระพุทธศาสนานั้น มิได้มีเพียงองค์เดียวหรือสององค์เท่านั้น เมื่อพระ

อรหันต์องค์สององค์อยู่ที่ใด ก็ยังให้ความรื่นรมย์แก่ที่นั้นได้

พระพุทธศาสนาซึ่งมีพระอรหันต์มากมายจะสามารถให้ความรื่นรมย์ได้เพียงไหน มิยิ่งกว่ามากนักหรือ น่าจะสรุปได้ถูกต้องมิใช่หรือ

ว่าพระพุทธศาสนามีอยู่ในประเทศชาติใด ประเทศชาตินั้นย่อมเป็นที่รื่นรมย์

พระอรหันต์ไม่มีอยู่ ที่ไหนเลย แต่พระอรหันต์มีอยู่ในพระพุทธศาสนาเป็นจำนวนมาก ทั้งในอดีตและปัจจุบัน และจะตลอดไปถึงใน

อนาคตด้วยแม้จะไม่พากันละเลยทอดทิ้งพระพุทธศาสนาให้มากกว่า ทุกวันนี้ จนทำให้พระพุทธศาสนาแทบจะไม่หลงเหลืออยู่ใน

จิตใจผู้คนในประเทศไทยของเรา พระอรหันต์ให้ความรื่นรมย์ร่มเย็น หรืออีกนัยหนึ่งก็คือพระพุทธศาสนาให้ความรื่นรมย์ร่มเย็น

เป็นสุขได้จริง น่าเสียใจน่าเสียดายอย่างที่สุด ที่ทุกวันนี้พากันทอดทิ้งพระพุทธศาสนาเสียมากเกินไป จึงไม่มีความรื่นรมย์ร่มเย็น

เป็นสุขเท่าที่ควร ทั้งที่พระพุทธศาสนาหรือพระอรหันต์ทั้งหลายมีอยู่เป็น

ความรื่นรมย์ร่ม เย็นได้มากมายนัก ความผิดไม่ใช่เป็นของพระพุทธศาสนาหรือพระอรหันต์ทั้งหลาย แต่เป็นของผู้นับถือพระพุทธ

ศาสนาทั้งนั้น ที่ให้ความสำคัญเทิดทูนพระพุทธศาสนาน้อยนัก พระพุทธศาสนาไม่ได้รับการเทิดทูนให้สูงส่งโดยควรเลย

พระพุทธศาสนาเป็น ศาสนาที่สุดประเสริฐไม่มีที่เสมอเหมือนได้

เหตุผลที่เป็นรูปธรรมชัดเจนก็คือพระผู้ทรงประดิษฐานพระพุทธศาสนา ประทานไว้แก่โลก ทรงเป็นพระผู้ประเสริฐเลิศล้น ทรง

พร้อมด้วย พระมหากรุณา พระปัญญาคุณ และพระบริสุทธิคุณ แม้ความมีเมตตามีปัญญาจะพอมีได้บ้างในบุคคลทั่วไป แต่

ความบริสุทธิ์แห่งจิตใจหามีในบุคคลส่วนใหญ่ไม่ จึงหามีบุคคลใดพรั่งพร้อมด้วยพระคุณอันเลิศล้นถึงเพียงนี้สักคนเดียว ไม่ว่าใน

ชาติใดภาษาใดทั้งสิ้น มีเพียงสมเด็จพระบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าสมเด็จพระบรมครูของเราเพียง พระองค์เดียว อันผู้เข้าใจ

ชัดเจนพอสมควรในพระคุณ 3 ประการแม้จะมีไม่มาก แต่ก็จะซาบซึ้งในสมเด็จพระบรมศาสดาอย่างพ้นจะรำพัน โดยเฉพาะพระ

มหากรุณา ยิ่งใหญ่มหัศจรรย์ที่สุดเหนือเมตตากรุณาของใครในโลกทั้งหลาย และพระมหากรุณานี้ที่เป็นเหตุให้ได้ปรากฏประจักษ์

แจ้งในธรรมสำคัญที่สุด ประการหนึ่ง คือเมตตาธรรม มีคุณพ้นจะพรรณนา เป็นคุณที่ยิ่งใหญ่ที่สุดจริงๆ นั่นก็คือพระเมตตาใน

สมเด็จพระบรมศาสดา เป็นเหตุให้เจ้าชายพระองค์หนึ่ง คือเจ้าชายสิทธัตถะแห่งพระราชวงศ์ศากยะ ทรงได้เป็นถึงสมเด็จพระบรม

ศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า คิดให้ดี จะไม่รู้สึกหรือว่าเมตตามีคุณยิ่งใหญ่ได้ถึงเพียงนี้

แม้เมตตาของเราทั้งหลายจะไม่ยิ่งใหญ่เสมอด้วยพระมหากรุณาคุณในสมเด็จพระบรม ศาสดา ผลแห่งความเมตตาจึงไม่อาจ

ทัดเทียมผลที่ทำให้ทรงถึงความเป็นพระพุทธเจ้า แต่เมตตาย่อมให้ผลดีแน่นอน ปรารถนาผลยิ่งใหญ่เพียงใดในชีวิต ก็พึงอบรม

เมตตาของตนให้ยิ่งใหญ่ให้เพียงนั้น ให้เต็มสติปัญญาความสามารถเถิด จะได้พบความสูงส่งแห่งเมตตาแน่นอน เป็นความสุขความ

ร่มเย็นอย่างยิ่งแน่นอน จงเชื่อในความจริงนี้จะมีบุญได้เป็นสุขนัก

—————————–

แม้เป็นผู้ชอบเรื่อง อิทธิฤทธิ ปาฏิหาริย์ บารมี ไม่น่าจะมองข้ามความสูงสุดในเรื่องเหล่านี้ที่มียิ่งกว่าพร้อมในสมเด็จพระ บรมศาสดา

สัมมาสัมพุทธเจ้า ไม่มีท่านผู้ใด หรือสิ่งศักดิ์สิทธิ์ใดในโลกทั้งปวง จะพรั่งพร้อมด้วยอิทธิฤทธิ ปาฏิหาริย์ และบารมีเสมอ

ด้วยสมเด็จพระบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าแน่นอน มีกรรมหนักหนานักที่มองข้ามความยิ่งใหญ่ที่สุดนี้ไปตามกันทั้งที่ชื่นชอบ

นักหนาในเรื่องเหล่านี้ ที่เป็นเพียงความสำคัญเล็กน้อยนักที่สมเด็จพระบรมศาสดาทรงมี ทรงมีพระมหากรุณาธิคุณ พระปัญญาคุณ

และพระปริสุทธิคุณ ที่ยิ่งใหญ่ สูงสุดเหนือความยิ่งใหญ่สูงส่งทั้งหลายทั้งปวง ในโลกทั้งนั้น ทรงเป็นพระผู้ทรงชนะที่ไม่กลับแพ้ก็

ด้วยพระคุณทั้งสาม ทั้งด้วยพระคุณนี้ยังทรงสามารถนำผู้ไม่ดื้อกับพระองค์ เชื่อฟังปฏิบัติตามที่ทรงสอนอย่างจริงจังสม่ำเสมอ ให้

ได้เป็นผู้ชนะที่ไม่กลับแพ้ เช่นเดียวกับพระพุทธองค์ มีจำนวนไม่น้อย ตั้งแต่ยังทรงพระชนมายุสังขารอยู่ และแม้จนทุกวันนี้ ที่เสด็จ

ดับขันธปรินิพพานแล้ว ไม่ทรงมีพระรูปกายให้ผู้ไม่มีตาหาเห็นได้ไม่

การ เสด็จดับขันธปรินิพพานแห่งองค์สมเด็จพระบรมศาสดาจารย์หาได้เป็นเช่นเดียวกับ

การละโลกนี้ไปของสัตว์โลกทั้งหลาย

ท่านพระอาจารย์มั่น ภูริทัตตมหาเถระ เคยเล่าไว้ว่า พระพุทธองค์เคยเสด็จลงทรงสอนท่านในยามที่ท่านกำลังพยายามปฏิบัติ

ตามคำทรงสอน เพื่อให้ถึงความเป็นผู้ชนะที่ไม่กลับเป็นผู้แพ้อีกต่อไป อีกนัยหนึ่งก็คือให้ได้ไกลกิเลสสิ้นเชิง พ้นความเกิดแก่เจ็บ

ตายตลอดไป ไม่มีการต้องเวียนว่ายอยู่ในวัฏฏะ ในขณะที่ท่านพระอาจารย์ท่านกำลังร่ำร้องต้องการพระมหากรุณามาช่วยให้ท่าน

บรรลุจุดมุ่งมาดปรารถนา ได้โดยเสด็จสมเด็จพระบรมศาสดาถึงจุดสูงสุดที่หัวใจท่านร่ำร้องปรารถนาอยู่ ทุกขณะจิต และด้วยพระ

มหากรุณาคุณสมเด็จพระบรมศาสดาทรงปรากฎพระองค์ต่อหน้าท่านพระ อาจารย์มั่นมหาเถระในขณะนั้น ขณะที่ท่านกำลังปฏิบัติอยู่

ในทางจงกรม ทรงแสดงตั้งแต่วิธีเดินจงกรม ตลอดไปถึงวิธีทำจิตทำใจให้ไกลจากกิเลส ที่พระพุทธองค์ทรงได้ทรงถึงแล้ว เป็นพระ

บริสุทธิคุณ ที่เกิดได้ด้วยพระปัญญาคุณที่บริบูรณ์พร้อม และท่านพระอาจารย์มั่นก็สามารถ โดยเสด็จถึงจุดสูงสุดในพระพุทธศาสนา

คือความไกลกิเลสสิ้นเชิง พ้นการเวียนว่ายตายเกิด ได้เป็นผู้ชนะที่ไม่กลับแพ้

“ความชนะใดที่ไม่กลับแพ้ ความชนะนั้นดี” นี้เป็นภาษิตสำคัญประการหนึ่งในพระ พุทธศาสนา

พระคุณทั้ง 3 องค์ในสมเด็จพระบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าที่ทรงแสดงแก่ท่านพระอาจารย์มั่น จนเป็นเหตุสำคัญให้ท่านพระ

อาจารย์ได้เป็นพระสำคัญ ได้ปฏิบัติแทนพระพุทธองค์อยู่ทุกวันนี้ ที่น่าจะเป็นเหตุให้ได้คิด ว่าสมเด็จพระบรมศาสดาเสด็จดับขันธ

ปรินิพพาน ทรงพ้นไปแต่พระรูปกาย ที่เพียงผู้ไม่มีตาเท่านั้นที่หาเห็นไม่ แต่ความยิ่งใหญ่ด้วยพระอิทธิฤทธิ พระปาฏิหาริย์ พระบารมี

หาได้พ้นไปพร้อมกับพระรูปกาย กรณีท่านพระอาจารย์มั่นเป็นเหตุให้มั่นใจได้สำหรับผู้รู้ใช้ปัญญาทั้งหลาย

http://www.watpanonvivek.com/index.php/section-table/2012-07-14-12-23-28/2905-2010-12-04-12-08-29

. . . . . . .