เป้าหมายของชีวิต โดย ท่านพุทธทาส ภิกขุ
หน้าที่ 1 – จุดหมายปลายทาง
เมื่อมันเดินไปอย่างถูกต้องมันก็ถึงจุดหมายปลายทางแน่นอนนี่เราเรียกว่าธรรมมะก็เป็นเรื่องที่ทำให้ชีวิตก้าวหน้าไปจนถึงจุดหมายปลายทางที่นี่ผู้ให้หัวข้อนี้มันก็บอกหรือแสดงอยู่แล้วว่าไม่รู้ว่าจุดหมายปลายทางนั้นคืออะไรเราก็ต้องพูดถึงกันเรื่องจุดหมายปลายทางนั้นเองของชีวิตหรือเป้าหมายของชีวิตคือจุดหมายปลายทางชีวิตที่นี่มันก็มามีปัญหาอยู่ตรงที่ว่าในชีวิตนี้คืออะไรแต่ดูกันตามทางวัตถุคือทางร่างกายนี่ชีวิตมีนก็มีความหมายอย่างหนึ่ง ถ้าดูกันทางของจิตของวิญญาณชีวิตมีความหมายอีกประการหนึ่งดูกันในแง่วัตถุในแง่ร่างกายหญ้าบอนมันก็มีชีวิตสัตว์เดรัจฉานมันก็มีชีวิตคนก็มีชีวิตตลอดเวลาที่มันยังไม่ตายทางร่างกายมันยังไม่ตายชีวิตทางกายล้วนๆอย่างนี้มันก็มีอยู่ระบบหนึ่งเป้าหมายของมันก็คือจุดสูงสุดแห่งวิวัฒนาการด้วยเหมือนกันวิวัฒนาทางกายจะเป็นไปได้อย่างไรมันก็เป็นไปจนกว่าจะถึงที่สุดเราจึงเห็นได้ตามที่เคยศึกษาเล่าเรียนสั่งสอนกันมาว่าวิวัฒนาการทางกายทางรูปร่างโครงสร้างในของมนุษย์นี้ของสัตว์ที่มีชีวิตมันวิวัฒนาการมาตั้งแต่ว่าเป็นสัตว์เซลล์เดียวหลายเซลล์เป็นสัตว์ที่อยู่สูงขึ้นมาเป็นพืชพันธุ์มาเป็นสัตว์มาเป็นคนกว่ามันจะสูงสุดคือไม่ๆไปได้ไกลไปกว่านั้นได้อีกแล้วก็เรียกว่าจบวิวัฒนาการทางชีวิตในด้านร่างกาย แต่เราก็ยังพูดไม่ได้ว่ามันจะไปจบลงที่ตรงใหนอย่างไรและก้ไม่จำเป็นด้วยที่จะต้องไปรู้มันมันยังไม่ใช่ปัญหาเฉพาะหน้าปล่อยให้มันเป็นไปตามธรรมดาของวัตถุ่งประกอบกันขึ้นเป็นเรื่องเป็นร่างกายเป็นไปในทางฝ่ายกายมันยังอีกนานมากนักไม่รู้กี่หมื่นปีกี่แสนปีต่อไปในอนาคตทีนี้มาดูชีวิตที่มันเป็นปัญหากันดีกว่าคือเมื่อยังไม่ตายก็มีความเป็นอยู่อย่างใดอย่างหนึ่งระบบใดระบบหนึ่งอยู่ทุกวันๆๆนี่มันเป็นชีวิตในด้านจิตใจฝ่ายจิตฝ่ายวิญญาณฝ่ายจิตนี่คือเรื่องจิตที่ติดอยู่กับกายแต่ฝ่ายวิญญาณนั้นเป็นเรื่องของสติปัญญาที่แยกออกมาได้เขาเรียกว่าเป็นเรื่องฝ่ายวิญญาณฝ่ายสติปัญญาถ้าเรายังไม่ตายเราก็มีจิตคิดนึกอะไรได้แล้วก็ปรับปรุงให้มันดีที่สุดเป็นจิตที่ฝึกฝนอารมณ์แล้วดีที่สุดอย่างที่พูดกันเมื่อคืนมันก็เท่านั้นแหละ
ทีนี้มันไม่มีความรู้พอมันก็ไปไกลไม่ได้มันยังออกไปจากความทุกข์ไม่ได้นี้มันเป็นฝ่ายสติปัญญาที่มันเป็นอิสระออกไปจะผิดจะถูกอย่างไรก็คอยสังเกตดูเรามีความรู้ผิดมีความเข้าใจผิดมีความเห็นผิดมีความเชื่อผิดนี่ชีวิตชนิดนี้มันก็มืดมนทางวิญญาณแล้วก็มีความทุกข์แน่นั้นจึงไม่ใช่เป้าหมายแต่ถ้าเราทำถูกต้องมีความสว่างในทางวิญญาณถูกต้องในทางความรู้ ความคิด ความเข้าใจ ความเชื่อฟังอะไรที่เป็นหลักเกณฑ์สำหรับยึดถือดำเนินไปๆในลักษณะที่ความทุกข์ละลายไป ความทุกข์ละลายไปไม่มีความทุกข์เหลืออยู่ในที่สุดหมดจดจากความทุกข์สิ้นเชิงที่เรียกว่าพระนิพพาน งั้นเป้าหมายของชีวิตในทางวิญญาณเนี่ยมันคือพระนิพพานใครจะรู้ก็ได้ไม่รู้ก็ได้ใครจะชอบก็ได้ไม่ชอบก็ได้มันอาจจะไม่ชอบก็ได้โดยไม่เข้าใจบ้างและมองเห็นว่าดีเกินไปไม่เหมาะสำหรับเราไม่เหมาะสำหรับเราบ้างมันก็พูดไม่รู้เรื่องตอนนี้เขาให้อัตมาพูดตามความพอใจก็จะต้องพูดอย่างนี้ในชีวิตฝ่ายจิตฝ่ายวิญญาณมันก็ต้องไปสิ้นสุดจบไปจบไปจบครึ่งลงที่ขันลุถึงนิพพานนิพพานนี้แปลว่าเย็นสนิท ไม่มีความร้อนแต่เป็นเรื่องทางนามธรรมความร้อนก็ร้อนแห่งกิเลสร้อนแห่งความโลภร้อนแห่งความโกรธร้อนแห่งความโง่ความหลงในทางจิตทางวิญญาณเป็นไฟในทางจิตทางวิญญาณถ้าไฟเหล่านี้ดับสนิทเราก็เย็นสนิทแล้วก็ไม่ต้องตายบรรลุนิพพานในที่สุดได้โดยไม่ต้องตายถึงอาจจะผิดในที่ท่านทั้งหลายเคยฟังมาแล้วก็ได้ท่านอาจจะเคยฟังมาในทางที่ว่าจะไปนิพพานทำไมต้องตายก็เป็นเฒ่านิพพานอย่างนี้ก็ได้ ถ้าอย่างนี้ก็ขอให้เข้าใจว่ามันคนละเรื่องนิพพานไม่ได้หมายถึงความตายที่สอนในผิดๆในโรงเรียนให้ลูกเด็กๆเข้าใจผิดให้รู้ต้องแต่เล็กว่านิพพานคือความตายของพระอรหันต์หรือของพระพุทธเจ้านิพพานแปลว่าตายเป็นราชาศัพท์สูงสุดอย่างนี้มันผิดโดยสิ้นเชิงนิพพานคือภาวะเย็นสนิทแห่งจิตแห่งวิญญาณโดยที่คนไม่ต้องตายถ้าใครคนไหนก็ได้เอาไอ้เรื่องร้อนๆออกไปจากจิตใจแล้วไม่ให้มันเกิดมาได้อีกเพราะนั้นเป็นนิพพานเข้าถึงนิพพานอยู่กับนิพพานโดยที่ไม่ต้องตายร่ายกายไม่ต้องตายเมื่อร่างกายตายลงไปอีกหลังจากนั้นแล้วก็นึกว่าตายด้วยนิพพานตายด้วยนิพพานไม่ใช่ว่านิพพานคือการตายคิดว่าตายอย่างเย็นตายด้วยนิพพานคนอื่นตายด้วยร้อนตายอย่างตายด้วยกิเลสตายในกิเลสนั่นก็ตายร้อนเหมือนคนธรรมดาทั่วไปมันก็ตายร้อนเข้าถึงพระนิพพานด้วยความเย็นมันก็ตายเย็นเพราะมันไม่มีกิเลสคนหนึ่งตายด้วยกิเลส คนหนึ่งตายด้วยนิพพานคือความสิ้นกิเลสที่ได้รับมาก่อนแล้วแต่นี่ร่างกายมันตายลงไอ้การตายนั้นก็เรียกว่าตายด้วยนิพพานคือความสิ้นสุดแห่งกิเลสนี่เรียกว่าเป้าหมายของชีวิตถ้าตายแล้วไม่มีชีวิตแล้วมันก็ไม่ใช่เป้าหมายของชีวิตคิดดูถ้ามันตายแล้วมันไม่มีชีวิตแล้วมันจะเป้าหมายอะไรกันอีกมันต้องรู้ถึงว่ายังมีชีวิตอยู่สำหรับชีวิตนั้นเองก็คือการเป็นอยู่มีชีวิตอยู่อย่างที่เย็นสนิทอย่างแท้จริงไม่กลับร้อนไม่กลับมีความทุกข์ใดๆได้เลยนี่คือเป้าหมายของชีวิตที่มันยังเป็นตัวชีวิตและมันได้รู้และถึงจุดสูงสุดของมัน อย่าไปยึดในคำบาลีทางศาสนาที่ฟังยากเข้าใจยากจำยากเพราะมันยุ่งยากป่วยการลืมเสียเถอะแต่พระนิพพานคือความเย็นจริงๆถ้าจะรู้จักนิพพานก็ต้องไปศึกษาความร้อนที่ทุกคนร่ำรวยกันอยู่แล้วที่ทุกคนมันร่ำรวยอยู่ในความร้อนร้อนราคะ ร้อนเพราะโทสะ ร้อนเพราะโมหะร้อนเพราะปัญหาต่างๆมันประดังเข้ามายึดถือเอาว่าเป็นตัวตนเพราะเร่าร้อนเผารนอยู่นั้นถ้าจะศึกษาธรรมมะก็ต้องศึกษาจากชีวิตอีกเหมือนกันไม่ใช่ศึกษาจากอาตมาไม่ใช่ศึกษาจากหนังสือหนังหาจากพระธรรมคัมภีร์อะไร โดยส่วนเดียวนั้นมันเป็นไปไม่ได้มันจะได้ก็แต่เพียงจำได้จำคำพูดของเราได้มันอยู่ในหนังสือถ้าจะเรียนธรรมมะจริงให้ตั้งต้นเรียนจากความทุกข์ที่มีอยู่จริงถ้าใครไม่มีความทุกข์ไม่ต้องมาเรียนธรรมมะให้ป่วยการมันเป็นคนบ้ามันไม่มีความทุกข์และมันจะมาเรียนเรื่องความดับทุกข์มันบ้าถ้าคุณไม่มีความทุกข์คุณก็ไม่ต้องมาหาธรรมมะไม่ต้องมาเรียนธรรมมะจะรู้ธรรมมะก็ต้องมีความทุกข์เรียนความทุกข์ให้รู้จักความทุกข์นั้นจะแก้มันอย่างไรจะดับความทุกข์นั้นอย่างไรกิริยาที่ดับความทุกข์ได้นั่นเป็นธรรมมะอย่างดีที่จะช่วยให้เราเข้าถึงความเย็นนี่เป็นเป้าหมายแห่งชีวิตเดี๋ยวนี้ทุกคนเป็นชาวนาชาวสวนกันพ่อค้ากันเป็นนักศึกษาเป็นข้าราชการทหารเป็นอะไรก็เป็นกันอยู่แล้วมันมีความทุกข์ความร้อนกันหรือไม่ เอออยากจะพูดสักนิดนึงว่าเรามีความทุกข์แตกต่างกันเหมือนกับที่ว่าเราเป็นต่างกันไปเป็นชาวนาชาวสวนข้าราชการนักศึกษานี่ก็ต่างกันแต่พอมาเห็นความทุกข์มันต่างกันอย่างนั้นหรือไม่ถ่คนสายตาตื้นปัญญาตื้นมันก็จะตอบว่าต่างกันชาวนนาเป็นทุกข์อย่างชาวนาชาวสวนเป็นทุกข์อย่างชาวสวนข้าราชการเป็นทุกข์อย่างข้าราชการนักศึกษาเป็นทุกข์อย่างนักศึกษานั่นมันเรื่องผิวๆเป็นเรื่องสายตาสั้นมองเห็นได้เท่านั้นแล้วก็ไม่ใช่ความทุกข์จริงถ้ามองถึงความทุกข์จริงจะเห็นว่าเหมือนกันแหละความทุกข์เกิดมาจากความโง่สำคัญผิดในสิ่งต่างๆแล้วไม่ยินดียินร้ายกับสิ่งที่เข้ามาเกี่ยวข้องด้วยนั่นก็เป็นความทุกข์เพราะความโลภ เพราะความโกรธ เพราะความหลงเหมือนกันทั้งนั้นให้ดูดีสักหน่อย
ให้เห็นว่ากิเลสนี้เหมือนกันเลยความโลภ ความโกรธ ความหลง ราคะ โทสะ โมหะแล้วแต่จะเรียกนี่คือกิเลสเหมือนกันทั้งนั้นเลยไม่มีกิเลสเด็กไม่มีกิเลสผู้ใหญ่ไม่มีกิเลสตังผู้ไม่มีกิเลสตัวเมียไม่มีกิเลสคนไทยไม่มีกิเลสฝรั่งไม่มีจะเหมือนกันไปหมดเมื่อเป็นมนุษย์จะมีกืเลสที่เป็นเหมือนกันหมดฉะนั้นความทุกข์ก็เหมือนกันหมด นั่นแหละคือทุกข์เพราะว่ามีกิเลสนั้นกิเลสมันนำไปสู่ความยึดมั่นถือมั่นเพราะความโง่กิเลสมันมาจากความโง่ยึดมั่นถือมั่นมีตัวกูมีอะไรของกูมีทุกอย่างเป็นของกูแล้วก็เป็นทุกข์ด้วยเรื่องของตัวกูมันไม่ได้อย่างที่ตัวกูต้องการมันก็เป็นทุกข์ถ้ายึดมั่นในสิ่งต่างๆก็จะเป็นไปตามความจำนงของตนแล้วมันก็ไม่เป็นตามความประสงค์ของตนมันก็ต้องเป็นทุกข์ก็มีความอยากอย่างยิ่งมีความหวังอย่างยิ่งมันก็ไม่ได้ตามที่อยากที่หวังมันก็เป็นทุกข์ตามหลักของพระพุทธศาสนาถือว่าความอยากเป็นเหตุให้เกิดทุกข์เพราะว่าความอยากมันทำให้เกิดความรู้สึกอีกอันนึงว่าฉัน กู อยากพอมีฉันมีอยากมีปัญหาที่มากับตัวกู กูก็ต้องทนทุกข์ทนทรมานกับปัญหานั้นๆยึดถือบ้านเรือนของกูปัญหาเกี่ยวกับบ้านเรือนก็มาทับถมกูยึดถือว่าเงินทองทรัพย์สมบัติของกูปัญหาของกูขณะนั้นมาทับถมกูครอบครัวอะไรของกูปัญหาเหล่านั้นก็มาทับถมกูความเกิดของกูปัญหาความเกิดก็มาทับถมกูความแก่ความเจ็บของกูปัญหานั้นก็มาทับถมกูความตายของกูปัญหาเรื่องความตายก็มาทับถมกูก็เป็นทุกข์ไปหมดร้อนไปหมดไม่มีเย็นเลย
หน้าที่ 2 – จุดหมายปลายทาง
ถ้าเมื่อใดมันไม่มีสิ่งเหล่านั้นมันก็เย็นฉะนั้นพยายามที่จะดับความร้อนเหล่านั้นเสียแล้วก็พบความเย็นที่สุดนั่นก็คือความหมายของชีวิตอยู่ที่นั่นไม่ต้องรอจนตายแล้วไปที่นั่นที่ไหนอย่างที่เขาเชื่อกันเขาพูดกันมันเข้านิพพานไปเข้าที่ไหนตายแล้วอะไรจะไปเข้ามีชีวิตที่มีประโยชน์อย่างไรมันก็ไม่มีประโยชน์อะไรเลยก็เป็นเรื่องตายแล้วมีชีวิตแล้วมันยังเป็นๆมีชีวิตอยู่นี่ฉะนั้นความเย็นเด็ดขาดร้อนอีกไม่ได้เรียกว่านิพพานคือหมดกิเลส เดี๋ยวนี้เราอยู่ที่นี่นี่ไม่เรียกว่าจุดหมายปลายทางคือเราอยู่ที่ต้นทางหรือตัวทางก็แล้วแต่จะเรียกเรามีปัญหาพอว่าเราถึงจดหมายปลายทางจึงจะไม่เป็นทุกข์เดี๋ยวนี้เราแต่งงานกับกิเลสมันก็ต้องเป็นทุกข์มารู้จักกิเลสที่เรากอดรัดหรือถือไว้และกว้างทิ้งออกไปเพื่อหยุดร้อนแล้วมันก็จะเย็นพอถึงเป้าหมายของชีวิตจุดนี้ก็เย็นเป็นอยู่ด้วยความเย็นมีชีวิตอยู่ด้วยความเย็นใช้คำว่าความเย็นมาเป็นภาพพจน์เป็นอุปมา
ถ้าจะให้ไม่มีความทุกข์เลยเราเรียกว่าความเย็นถ้าทุกข์มันร้อนเพราะว่ากิเลสเป็นของร้อนมีกิเลสเผาก็ร้อนไม่มีกิเลสเผาก็เย็นพอดิ้นรนไปๆเรื่อยไปๆจนกว่าจะถึงจุดที่ว่าไม่มีกิเลสแล้วมันเย็นก็เป็นเป้าหมายใฝ่หาไปมีชีวิตอยู่อย่างเย็นไม่มีทุกข์เลยแล้วเวลาทั้งหมดก็เคลื่อนไหวไปด้วยการทำประโยชน์แก่ทุกคนไม่ใช่เย็นแค่น้ำแข็งนอนตายอยู่ในน้ำแข็งเย็นแต่ทางจิตทางวิญญาณเป็นสุขที่สุดพอใจที่สุดก็ทำงานทำอะไรต่างๆพอที่มันจะทำได้และสิ่งอันนั้นมันก็เป็นประโยชน์แก่ทุกคนนั้นมันเลยไม่ใช่เย็นคนเดียวไม่ให้คนอื่นปล่อยไปสู่ความเย็นหรือให้ความเย็นได้โดยลำดับงั้นเป้าหมายชีวิตที่แท้จริงไม่ได้เย็นคนเดียวไม่ใช่ถึงคนเดียวถ้าถึงแล้วมันจะเป็นประโยชน์แก่ทุกคนด้วยพระพุทธเจ้าบรรลุนิพพานตั้งแต่วันตรัสรู้ท่านก็อยู่ด้วยความเย็นมาตลอดพระชนม์ชีพของท่าน แล้วก็พลอยคนทั้งหมดทั้งปวงพลอยเย็นไปด้วยดำเนินไปตามความเย็นอีกมากมายนับไม่ถ้วนนั่นแหละเป้าหมายปลายทางเป็นผู้ที่กำหนดช่วยผู้อื่นให้หมดจากความทุกข์ได้ด้วยก็ไปคิดเองเราจะไม่มีความทุกข์เลยเคลื่อนไหวจะเป็นประโยชน์แก่คนทุกคนอยู่จนกว่าจะถึงวาระสุดท้ายคือสังขารร่างกายแตกดับลงไปแล้วมันก็เลิกกันไม่ต้องพูดกัน เดี๋ยวนี้ถึงความเย็นที่เป็นพระนิพพานกันได้แล้งคนนั้นจะมีประโยชน์แก่ทุกคนด้วยนี่เป้าหมายแห่งชีวิตตามหลักแห่งพระธรรมหรือพระพุทธศาสนาเมื่อให้อาตมาตอบมันก็ต้องตอบตามหลักธรรมมะในพระพุทธศาสนาที่ศึกษาค้นคว้าอยู่ตลอดเวลาจะไปตอบโดยทางอื่นแนวอื่นกระแสอื่นนั้นไม่ได้ถ้าเขาจะใช้จิตวิทยาใช้ปรัชญาใช้อะไรกันมาเป็นหลักวินิจฉัยว่าเป้าหมายของชีวิตคืออะไรแล้วก็ต้องเป็นเรื่องอื่นแน่ไม่มาสู่อันนี้ไม่มาสู่อันที่ว่าเย็นแห่งชีวิตในลักษณะที่เป็นนิพพานที่เรียกว่าพูดกันทีเดียวถึงจุดปลายทางสูงสุดของมนุษย์ผู้มีสติปัญญาถ้าเราไปถามขี้เมากลางถนนว่าเป้าหมายของชีวิตคืออะไรมันก็คือมีเหล้ากินมากๆ นั้นล่ะเป้าหมายแห่งชีวิตหรือจะไปถามไอ้คนอันธพาลบางคนว่าเป้าหมายของชีวิตคืออะไรมันก็เรื่องสนุกสนานเอร็ดอร่อยเนื้อหนังปรนเปรอนั้นคือเป้าหมายแห่งชีวิตนั้นมันคือคนที่ยังไม่รู้ว่าชีวิตคืออะไรมีความคิดเห็นของตนเองเป็นมิจฉาทิฐิอวิชารู้จักชีวิตแต่ในทางมุ่งหมายแต่ความโง่ของเขารู้เขาก็เอาตามแบบเป้าหมายของชีวิตไปตามแบบความโง่ของเขาคนธรรมดาสามัญอาจจะพูดว่ามีสติทรัพย์สมบัติพอตัวมีเกียรติยศชื่อเสียงพอตัวมีคนรักใคร่แวดล้อมพอตัวนี่ เป็นเป้าหมายแห่งชีวิตก็ได้เหมือนกันถูกเพียงแค่นั้นมันไม่ได้ถามว่าเย็นหรือเปล่ามีทรัพย์สมบัติด้วยมีอำนาจวาสนามีเกียรติยศชื่อเสียงมีพวกพ้องบริวารแล้วมันเย็นหรือเปล่าถ้าเย็นก็ได้เหมือนกัน ถ้าไม่เย็นก็ไม่ใช่นี่นี้คนธรรมดาเขามีสิ่งเหล่านั้นแล้วเขาไม่รู้จักทำให้มันเย็นอาจเป็นร้อนมากกว่าเดิมก็ได้ยิ่งมีเงินมากก็ร้อนมากยิ่งมีเกียรติยศชื่อเสียงมากยิ่งร้อนมากยิ่งมีวาสนามากยิ่งร้อนมากก็ได้นั้นยังไม่ใช่นิพพานถ้ามีสิ่งเหล่านั้นด้วยแล้วก็มีความเย็นอย่างที่ว่านี้ด้วยก็ได้นิพพานเป้าหมายแห่งชีวิตที่สมบูรณ์ที่สุดคือในแง่จิตแง่วิญญาณก็สมบูรณ์ในแง่วัตถุร่างกายก็สมบูรณ์แต่ที่น้ำมันไม่จำเป็นถ้าเราต้องการความเย็นอย่างแท้จริงทางจิตทางวิญญาณเราก็ไม่มีปัญหาเรื่องทรัพย์สมบัติเรื่องเกียรติยศชื่อเสียงอำนาจวาสนาพูดให้มันตรงลงไปเลยว่าไม่ต้องมีทรัพย์สมบัติไม่ต้องมีอำนาจวาสนาเกียรติยศชื่อเสียงอะไรก็ได้ แต่สามารถบรรลุนิพพานได้อย่างพระอรหันต์มีทรัพย์สมบัติเพียงจีวรอยู่กับบาตรใบหนึ่งสำหรับขอทานมันมีเท่านั้นล่ะจึงบรรลุนิพพานซึ่งเป็นเป้าหมายหนึ่งของชีวิตได้นั้นมันจึงถือว่าไม่เกี่ยวกันถ้าเราต้องการมีทรัพย์สมบัติมีอะไรมากๆเรื่องมันก็ยุ่งมากมันก็รบกวนมากมันก็ทำให้เกิดกิเลสได้ง่ายมันก็ไม่เย็นนั้นเรามีทรัพย์สมบัติแต่พอสมควรจะมีเกียรติยศชื่อเสียงบ้างก็มีแต่พอสมควรมีอำนาจวาสนาก็มีแต่พอสมควรมีคนรักใคร่เพื่อนฝูงมิตรสหายบริวารก็พอสมควรคำว่าพอสมควรคือไม่ทำให้ร้อนขึ้นมาถ้าทำให้ร้อนขึ้นมาก็ถือว่าเกินและและเกินควรถือว่าทีไม่ถูกมีไม่เป็นร้อนนะนั้นมีที่เท่าจำเป็นที่ควรจะมีและก็มีให้ถูกต้องมีให้เป็นและก็ไม่ร้อนเลยและมันก็เย็นไปคิดหาทางเอาเองเมื่อยังต้องการเป็นชีวิตฆราวาสครองเรือนมีทรัพย์สมบัติมีบุตรภรรยาสามี มีอะไรต่างๆนั่นแล้วจะไปทำให้มันเย็นได้อย่างไรถ้าไม่สามารถจะทำให้เย็นที่สุดได้ก็ทำเท่าที่จะทำได้ก็แล้วกันเขาเรียกว่ามันมีส่วนเย็นอยู่แล้วมีส่วนเย็นอยู่บ้างเพียง แต่ว่ามันไม่ถึงที่สุดถ้าถึงที่สุดก็เรียกว่านิพพานนั้นเป็นเป้าหมายของชีวิตที่สมบูรณ์ที่สุดมันก็เย็นบ้างหรือเป็นส่วนมากที่ยังเป็นความร้อนแล้วก็ยังมีแบ่งชั้นแบ่งความจริงเป็นไว้ชั้นพระโสดาบัน ชั้นพระจิตาคามี ชั้นพระอนาคามี 3ชั้นนี้เป็นฆราวาสก็ได้เพราะว่าชั้นสุดท้ายคือพระอรหันต์นั้นจึงจะเป็นนิพพานสมบูรณ์คือเย็นสนิทเป้าหมายชีวิตสมบูรณ์ถ้าเป็นโสดาบัน จิตาคามี อนาคามีมันเกือบสมบูรณ์คือมันใกล้เข้าไปในเขตสมบูรณ์เป้าหมายชีวิตที่เกือบสมบูรณ์ใกล้ต่อความสมบูรณ์ถ้าเป็นพระนิพพานพระอรหันต์ ก็สมบูรณ์ที่สุดนี่เราเป็นฆราวาสที่เอียงเข้าไปหาเป้าหมายชีวิตที่ถูกต้องมากอยู่เหมือนกันเป็นพระโสดาบัน หมายความว่ามีความเข้าใจถูกต้องมีความคิดเห็นถูกต้องมีความเชื่อถูกต้องและก็มีความต้องการอย่างถูกต้องแล้วมันก็มีการพูดจาการทำงานการดำรงชีวิตอย่างถูกต้องพากเพียรมีสติสมาธิที่อยู่อย่างถูกต้องนี้ก็เรียกว่าเป็นพระโสดาบันถ้าถือกระแสความถูกต้องของเป้าหมายแห่งชีวิตคือนิพพานแต่ยังไม่ถึงพระนิพพานโดยตรงแต่เข้าไปในกระแสเป้าหมายแห่งถูกต้องคือพระนิพพานเราจะทำได้เท่าไรก็ไปคิดดูความร้อนมันดับลงไปได้เท่าไรมันก็ใกล้ความเย็นและเป้าหมายของชีวิตเข้าไปเท่านั้นและศึกษาจากจิตใจ โดยตรงอย่าศึกษาจากคนหรือตำรับตำรานักเลยมันรู้ไม่ได้แต่ความร้อนแห่งจิตใจไอ้ความเย็นแห่งจิตใจมันเป็นเรื่องที่ต้องรู้สึกจากจิตใจศึกษาจากจิตใจภายในอ่านหนังสือสักกี่ร้อยเล่มด้วยเรื่องนี้แต่มันก็รู้สึกถึงความเย็นไม่ได้ต้องไปเอาความร้อนออกแล้วเอาความเย็นให้ความเย็นปรากฎออกมาเดี๋ยวนี้เรื่องของความร้อนความทุกข์เราก็ไม่สนใจเราก็ไม่รู้จักนั้นเราก็จะทำลายมันได้อย่างไรเราก็ไม่รู้จักความเย็นไม่ถึงความเย็นนั้นเมื่อผู้ใดมีความร้อนที่เป็นเรื่องของกิเลสหรือความทุกข์ทำลายมันเสียให้พบความเย็นที่ตรงนั้นนั้นแหละคือดีที่สุดมีธรรมมะที่สุดก้าวหน้าทางธรรมมะที่สุดนั้นท่านผู้ใดคนใดมีความร้อนที่เป็นกิเลสหรือความทุกข์ที่เกิดขึ้นมาศึกษาให้รู้ต้นเหตุต้นตอของมันทำลายมันเสียป้องกันมันเสียแล้วเย็นอยู่นี่คือเรียนธรรมมะที่ดีที่สุด จงเพิ่มขึ้นเพิ่มขึ้นเรื่องนี้ร้อนขึ้นมาดับเย็นเสียเรื่องอื่นร้อนขึ้นมาดับเย็นเสียๆอย่างนี้ทุกๆเรื่องไปมันก็ก้าวหน้าไปในทางชีวิตที่แท้จริงที่ไปสู่เป้าหมายของชีวิตอันแท้จริงนั่นก็คือพระนิพพานนั่นเองเดี๋ยวนี้แต่ละวัน แต่ละเดือน แต่ละปีเราไม่ได้ทำอย่างนี้เราก็ได้อยากจะรู้บ้างว่าเป้าหมายของชีวิตคืออะไรเราไม่รู้จักตัวชีวิตเองด้วยซ้ำไปเราไม่รู้จักอุปสรรคในชีวิตด้วยซ้ำไปเราก็ไม่มีจุดหมายปลายทางที่เป็นเป้าหมายแห่งชีวิตเอาละนี่เป็นการที่จะศึกให้รู้จักชีวิตรู้จักเป้าหมายแห่งชีวิตแล้วก็รู้จักวิธีเดินไปสู่เป้าหมายแห่งชีวิตนับว่าเราได้เข้ามาเกี่ยวข้องกับเรื่องที่ดีที่สุดสำหรับมนุษย์แล้วเรื่องสำหรับมนุษย์ไม่มีอะไรดีกว่านี้ว่าจะรู้จักตัวชีวิตรู้จักขจัดปัญหานาๆชนิดในตัวชีวิตออกไปเสียก็เป็นชีวิตที่หลุดพ้นการทั้งปวงนั่นแหละคือเป้าหมายแห่งชีวิตในชีวิตที่ยังเป็นๆอยู่นี่ไม่ใช่หลังตายแล้วไม่มีประโยชน์อะไร แต่คนอื่นยังมียึดถือกันแบบนั้นอยู่ว่านิพพานต้องถึงกับตายแล้วก็เป็นเรื่องของเขาอาตมาพูดไม่เป็นพูดอย่างนั้นพูดด้วยไม่ได้พูดไปถึงไอ้ชีวิตนี่มันทีความทุกข์มีปัญหาแล้วก็เอาออกไปเสียให้หมดแล้วมันก็หยุดมันก็เย็นมันก็เกลี้ยงมันก็เป็นอิสระมันก็ไม่มีความทุกข์เลยเอาที่ไม่มีความทุกข์เลยก็โปรดทราบไว้เลยว่าพระพุทธเจ้าเป็นหลักเป็นทางการท่านจะตรัสถึงแต่ความหมดไปแห่งความทุกข์ท่านจะไม่พูดถึงความสุขปัญหามันอยู่ที่ความทุกข์หมดความทุกข์ทุกคนคงจะพอใจ
ถ้าพูดถึงความสุขมันเป็นคำพูดแบบชวนเชื่อโฆษณาให้คนสนใจทุกคนมันชอบความสุขจึงมาความสุขนี้ดีกว่าความสุขนี้ดีกว่ามันก็ถูกเหมือนกันแหละแต่แท้ที่จริงมันคือความสิ้นสุดแห่งความทุกข์เมื่อสิ้นสุดแห่งความทุกข์จะมาเรียกว่าความสุขก็ได้แต่กลัวจะไปยึดถือหลงใหลให้ทันหนักอกหนักใจขึ้นมาอีกฉะนั้นก็กลัวว่าความสุขนี้จะหายไปเสียอีกมันก็ยุ่งนั้นเราดูตัวปัญหาที่แท้จริงให้พบเพราะเอามันมี แต่ความทุกข์นี่เมื่อความทุกข์ดับหมดไปแล้วมันก็ควรจะหมดปัญหาเมื่อไฟเผามันร้อนอยู่ดับไฟแล้วมันเย็นมันก็ควรจะพอใจไม่มีความทุกข์อีกแต่คนมันติดรสอร่อยเดี๋ยวนี้มีรสอร่อยทางกามรมณ์ทางเพศทางอะไรติดแน่นเป็นนิสัยสันดารอยู่ว่าไอ้ความสุขหรือว่าที่ควรจะพอใจนั้นต้องอร่อยแล้วจะมาเอาอร่อยกับพระนิพพานอย่างนี้มันเป็นไปไม่ได้มันคนละเรื่องถ้าจะใช้คำว่าอร่อยต้องเปลี่ยนความหมายคำว่าอร่อยเสียใหม่เรียกว่ามันเป็นความสุขที่แท้จริงเป็นความเย็นที่แท้จริงมันอร่อยเหมือนกินน้ำจืดไอ้กินน้ำหวานกินน้ำอะไรนั้นมันก็อร่อยไปตามแบบของมันไอ้น้ำจืดสนิทมันมีรสอร่อยตามแบบของมันนั้น
หน้าที่ 3 – กิเลส
เราเอาความอร่อยชนิดที่จืดสนิทมาน้ำที่จืดเย็นสนิทไม่ใช่น้ำชากาแฟน้ำตาลน้ำส้มน้ำมะนาวอะไรต่างๆแต่ทีนี้คนเรามันไปติดรสอร่อยแล้วก็เลยหวังว่าพระนิพพานต้องมีรสอร่อยแล้วก็อร่อยมากกว่าธรรมดาสามัญที่เคยอร่อยอย่างนี้ไม่มีทางที่จะพบพระนิพพานได้เพราะว่าความอร่อยมันเป็นที่เกิดแห่งปัญหาหากความอร่อยเป็นต้นตอของกิเลส แล้วก็เกิดกิเลสแล้วก็ร้อนถ้าเราไม่ต้องการจะร้อนไม่ต้องการจะเกิดไฟก็อย่าไปชอบเชื้อไฟความหลงใหลในอร่อยหรือไม่อร่อยก็ตามยินดีก็ตามยินร้ายก็ตามเป็นเชื้อไฟให้เกิดไฟแล้วก็อยู่กับไฟทั้งวันทั้งคืนทั้งเดือนทั้งปีตลอดชาติเดี๋ยวรักนั่นเดี๋ยวเกลียดนี่เดี๋ยวกลัวโน่นเดียวรักนี่เดี๋ยวเกลียดนี่ยินดีนี่ยินร้ายโน่นวนอยู่แต่ไอ้ 2 ฝ่ายนี่คือชีวิตที่ชอบกับไม่ชอบนั้นเลือกชอบกับไม่ชอบ 2 อย่างนี่ก็อยู่เป็นกลางนี่จะหยุดหรือจะเย็นมันไม่ต้องอร่อยหรือไม่ต้องไม่อร่อยอยู่ที่ตรงกลางและมันก็หยูดและมันก็เย็นเป็นอิสระนี่เรียกว่าเย็นแบบพระนิพพานชีวิตนี่มันไปถึงนั่นมันหยุดแล้วมันไม่มีอะไรจะช่วยให้ดิ้นรนขวนฝายหาให้หวังอีกต่อไปอย่างตะกะหรือรัตจิตมันตคือหยุดความอยากหรือความหวังเสียเพราะมันไปถึงที่สุดของความอยากและความหวังนี่คือเป้าหมายแห่งชีวิตอยู่ด้วยความอยากอยู่ด้วยความหวังมันก็ทนทรมานด้วยความอยากและความหวังหยุดความอยากและความหวังเสียมันก็จบเรื่องถ้าอยากเพราะเกิดยึดมั่นถือมั่นก็ต้องเป็นทุกข์ไม่ต้องสงสัยไม่มีทางช่วยการที่ท่านทั้งหลายสนใจคำว่าเป้าหมายแห่งชีวิตให้อาตมาอธิบายตามหลักพระพุทธศาสนา
มันก็มีแต่อย่างนี้มันไม่มีอย่างอื่นแล้วจะชอบหรือไม่ชอบก็เป็นอิสระที่จะตัดสินเอาเองจะเลือกเอาเองถ้ายังมีอย่างอื่นดีกว่าก็เอาแต่ขอให้มันดีกว่าจริงอย่าให้มันดีกว่าหลอกเดี๋ยวนี้ก็ยืนยันว่าพระนิพพานนั้นเป็นสิ่งสูงสุดเป็นธรรมมะสูงสุดไม่มีอะไรสูงสุดกว่านี้จึงถือเป็นเป้าหมายแห่งชีวิตสิ้นสุดแห่งกิเลสและความทุกข์เย็นมันก็ไม่มีร้อนเพราะกิเลสมันเกิดจากความทุกข์ชีวิตนี้เย็นมันอยู่ในความเย็นชนิดที่ไม่เปลี่ยนแปลงเรียกว่าเย็นนิรันดรเมื่อชีวิตเข้าถึงความเย็นนิรันดรชีวิตมันก็ปล่อยเป็นนิรันดรไปด้วยนี่ก็เข้าถึงอมะตะธรรมคือความไม่ตายเข้าถึงความไม่ตายนั่นแหละเป้าหมายแห่งชีวิตเมื่อเข้าใจตัวชีวิตปลายทางของชีวิตการเดินวิธีเดินแห่งชีวิตพอสมควรแล้วก็ขอให้เอาไปจับกับชีวิตจริงๆของท่านเองแต่ละคนๆตามเรื่องราวของตนๆในชีวิตประจำวันให้กำจัดความทุกข์ความร้อนออกไปให้ได้เสียเรื่อยๆไปในชีวิตประจำวันกว่าจะหมดเกลี้ยงก็อยู่ในความเย็น บางคนจะเห็นว่าเหลือวิสัยไม่เอาแล้วเอาไปตามบุญตามกรรมดีกว่าอย่างงี้ซะโดยมากมันก็ไม่ต้องพบปะกันกับเรื่องสูงสุดในพระพุทธศาสนาเรื่องธรรมมะความเป็นนิพพานถ้ามีจิตเข้าถึงความเย็นเป็นภาวะสูงสุดเป็นพระนิพพานเป็นสิ่งสูงสุดของมนุษย์หรือของอะไรทั้งหมดก็ได้สูงสุดอยู่ที่ไม่มีกระทบกระทั่งให้ร้อนวิธีปฏิบัติที่จะเกิดการถึงเป้าหมายแห่งชีวิตก็ควรจะพูดกันบ้างช่วงเวลาที่เหลืออยู่ขอให้ทุกๆวันนี้อยู่ด้วยสติสัมปชัญญะถ้าเกิดความทุกข์ร้อนขึ้นมาขอให้มองเห็นเป็นความทุกข์เป็นกิเลสกับสิ่งไม่พึงปรารถนาแล้วก็ชิมความร้อนแห่งความทุกข์หรือกิเลสนั้นให้รู้รสให้ดีแล้วเมื่อเกิดความไม่พอใจอยากจะกำจัดสิ่งเสียก็พยายามมองลึกเข้าไปพบไปถึงสาเหตุของมัน ต้นเหตุคือความโง่ไปหลงเมื่อมีอะไรมาเกี่ยวข้องทางหู ทางตา ทางจมูก ทางกาย ทางใจเองเมื่อมีอะไรมาเกี่ยวข้องแล้วมันก็ไปหลงรักหลงเกียจ่งแล้วแต่เกิดกิเลสทุกๆฝ่ายถ้ามันรู้จริงมันไม่หลงรักหลงเกียจมันรู้แต่ว่าเราจะต้องทำยังไงกับมันถ้าต้องทำอย่างไรกับมันก็ทำถ้าไม่ต้องทำอย่างไรกับมันก็ไม่ต้องทำอย่างนี้ไม่โง่แล้วก็ไม่ไปหลงรักไม่ไปหลงเกียจกิเลสก็เกิดไม่ได้นั้นเราอยู่ในโลกนี้โดยไม่ต้องเกิดกิเลสแห่งความทุกข์ไม่ได้เพราะปฎิบัติอย่างนี้อย่าโง่เมื่อมีอะไรมากระทบทางตาสวยไม่สวยทางหูเพราะไม่เพราะทางจมูกหอมหรือเหม็นทาวลิ้นอร่อยหรือไม่อร่อยทางผิวหนังนิ่มนวลหรือกระด้างทางจิตน่ายินดีหรือไม่น่ายินดีก็มันมี 6 ทางอย่าโง่เมื่อมีอะไรมากระทบที่อวัยวะทั้ง 6 นั้นฉลาดให้ทันเวลาแล้วก็ไม่ยินดียินร้ายเพราะยินดียินร้ายแล้วมันก็ไม่เกิดกิเลสไม่ยินดียินร้อนแล้วมันก็เป็นนิพพาน โดยอัตโนมัติถ้าใครทำได้ควบคุมได้จะมีพระนิพพานโดยอัตโนมัติเพราะเรื่องที่มันจะเกิดนี่มันมัแต่ทางตาทางหูทางจมูกทางปากทางลิ้น ทางกาย ทางจิตใจ เท่านั้นเองถ้าประพฤติปฏิบัติถูกต้องใน6ทางนี้แล้วจะไม่เกิดกิเลสคือความทุกข์มันฝึกฝนสติปัญญาให้เพียงพอฝึกฝนสติให้รวดเร็วว่องไวในการที่จะเอาปัญญามาให้ทันเวลาอย่าโง่เกี่ยวกับไอ้สิ่งที่มากระทบตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ มีเท่านี้ๆ เพราะว่าเรามีสติเพียงพอมีปัญญาเพียงพอมันก็ไม่โง่เมื่อมีมีอะไรมากระทบ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจแต่เดี๋ยวนี้เรามันชอบความอร่อยชอบความยินดีบางทีเราก็ชอบความยินร้ายไปด้วยนะชอบโทสะชอบบรรดาลโทสะชอบสนุกไปเลยแต่ทีนี้มันก็ทำไม่ได้นีเรียกว่าอวิชชาหรือความโง่ที่ทำให้เราไปหลงรักพอใจในสิ่งซึ่งเป็นต้นเหตุแห่งกิเลสและความทุกข์อย่างนี้ไกลพระนิพพานมากเรียกว่าอยู่คนละฝั่งฝั่งสมุทรเลยถ้าเราจะมีชีวิตอยู่อย่างเย็นก็ระวังอย่าโง่เมื่อมีอะไรมากระทบ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ มีสติปัญญารู้สึกทันทีว่าจะต้องจัดการอะไรกับสิ่งนี้ก็จัดการไปถ้าไม่ต้องจัดการก็ไม่ต้องจัดการอะไรก็ทำเรื่องอื่นที่ควรทำต่อไปนี้มันจะเย็นพูดง่ายๆว่าไฟลุกขึ้นมามันก็เย็นระวังถ้าไฟลุกขึ้นตมามันก็เย็นอยู่ตลอดเวลาทั้งกลางวันกลางคืนทั้งหลับทั้งตื่นมันก็เย็นนี่เรียกว่าเราถึงเป้าหมายแห่งชีวิตอยู่ตลอดเวลาทีนี้สำหรับคนที่มันเผลอเก่งหรือยังมีกิเลสมากมันเย็นแล้วกับร้อน เย็นแล้วกับร้อนนี่ก็เหมือนกับว่าวิ่งถอยหน้าถอยหลังอยู่อย่างนั้นทำยังไงอย่าให้มันมีการถอยหลังมีแต่รุจไปข้างหน้าห่างไกลจากความร้อนไปสู่ความเย็นคือว่าความทุกข์น่ะมันดับด้วยไฟๆๆกว่าจะสิ้นสุดคำว่าเย็น ในที่นี้มีความหมายที่สุดไม่ใข่เย็นอย่างน้ำแข็งกินแล้วอร่อย น้ำธรรมดาอย่างนี้ไม่ใช่เย็นอย่างนั้นแต่ก็เอาความหมายนั้นมาใช้ก็ได้เพราะว่าเย็นมันดีกว่าร้อนนิพพานแปลว่าเย็นไม่ใช่เย็นอย่างเรื่องธรรมดาที่ว่าคู่กับร้อนหอมคู่กับเหม็นอร่อยคู่กับไม่อร่อยอย่างนี้ไม่ใช่คู่เทียบอย่างนั้นเอาไปเทียบว่าไอ้ทั้งหมดนั่นแหละมันร้อนแต่อีกทางหนึ่งมันไม่ร้อน เย็น นั้นมันร้อนแห่งกิเลสไม่ใช่มันร้อนอย่างไฟธรรมดามันร้อนเป็นไฟกิเลสจึงจำเป็นอย่างยิ่งที่ต้องรู้จักกิเลสซะบ้างพูดแล้วก็คล้ายๆจะดูหมิ่นดูถูกท่านทั้งหลายมากเกินไปในวันนี้อาตมาจะพูดว่าท่านทั้งหลายยังไม่รู้จักแม้แต่กิเลสไม่รู้จักแม้แต่ตัวเองไม่รู้จักแม้แต่ตัวชีวิตนั้นเองและมันก็ไม่รู้ความหมายชีวิตได้ยังไงเดี๋ยวนี้เอากิเลสเป็นชีวิตเอาความทุกข์เป็นชีวิตเป็นชีวิตคือความทุกข์ไปเสียหมดเพราะเราไม่รู้จักกิเลสแล้วก็ไม่รู้จักชีวิตแล้วก็ไม่รู้จักความทุกข์ด้วยมันเจ็บปวดทนทรมานๆ แต่ไม่รู้จักว่ามันคืออะไรก็จัดการกับมันไม่ถูกก็ไปศึกษาตัวกิเลสตัวความทุกข์นี่ให้ถูกต้องให้เข้าใจถูกต้องแล้วควบคุมมันได้จัดการมันได้สะสนปัญญาเกี่ยวกับเรื่องนี้ให้มากขึ้นต้องศึกษาฝึกสมาธิให้มากขึ้นมีสติรวดเร็วเอาปัญญามาใช้ให้ทันเวลา เวลาคับขันคือว่าตากระทบรูป หูกระทบเสียง จมูกกระทบกลิ่น ลิ้นกระทบรส กายกระทบสิ่งมาสัมผัสผิวกาย ใจกระทบอารมณ์ที่พุ่งขึ้นมาในใจให้มีสติรวดเร็วเอาปัญญามาใช้ทันเมื่อมันกระทบและมันก็ไม่เกิดกิเลสแน่
ถ้าไม่มีปัญญามาเพราะสติไม่ดีมันก็ต้องเกิดกิเลสแน่แล้วมันก็ต้องเกิดความทุกข์แน่ตลอดเวลานี้เรียกว่ามันโง่ไปคือมีแต่อวิชชามันก็เป็นชีวิตชีวิตคือตัวทุกข์ ตัวทุกข์คือชีวิต ชีวิตคือความทุกข์เป็นชีวิตที่อยู่ในกองไฟ รู้จักไฟ รู้จักชีวิตดับไฟให้แก่ชีวิตแล้วมันก็ออกไปทางไกลคือความเย็นคือพระนิพพานเป็นเป้าหมายแห่งชีวิตได้นี่เรื่องมันมีอยู่อย่างนี้ท่านผู้ใดจะเอาหรือไม่เอาก็ตามใจไม่มีใครบังคับใครได้แต่ว่าเรื่องมันมีอยู่อย่างนี้จะเอาหรือไม่เอาหรือจะชอบปฏิบัติหรือไม่ชอบปฏิบัติก็ตามใจมีเสรีภาพของความคิดนึกของบุคคล แต่เดี๋ยวนี้เรามามองกันว่าอย่าเสียทีที่ได้เกิดมาอย่าเสียทีที่มีชีวิตมามันควรจะได้อะไรก็มาศึกษากันดูพิจารณากันดูถ้าเข้าใจและพอใจก็ลงมือเถอะตั้งต้นที่จะปรับปรุงชีวิตให้ดำเนินไปโดยถูกวิถีทางไปสู่จุดหมายปลายทางคือความเย็นสนิทแห่งชีวิตใช้คำอย่างนี้ดีกว่าใช้คำว่านิพพานใช้คำว่านิพพานมันสลัวไปซะอีกใช้ว่าความเย็นแห่งชีวิตนี่มันชัดๆง่ายๆนั่นแหละคือพระนิพพาน เพียงแต่เย็นเป็นทางกลับร้อนอีกไม่ได้คำว่านิพพานมันก็แปลว่าหมดแห่งความร้อนดับไฟแห่งความร้อนหมดสิ้นมันก็คือเย็นคือไม่ร้อนทำชีวิตที่นี่ตรงนี้เดี๋ยวนี้ให้มันเย็นได้ก็คือเป้าหมายแห่งชีวิตมันอยู่ที่ตรงนี้จุดหมายปลายทางแห่งชีวิตมันอยู่ที่ตรงนี้คือมันอยู่ในชีวิตนั่นเองทำชีวิตให้เย็นก็ถึงจุดหมายปลายทางแห่งชีวิตที่นี่เดี๋ยวนี้ไม่ต้องต่อตายแล้วไม่หวังตายแล้วมันก็ไม่มีประโยชน์อะไรกันให้เรา อยู่ที่นี่ก็เป็นดังกล่าวไปคิดดูทำให้มันทันแก่เวลาอย่าให้เป็นหมันเปล่าถ้าถึงเป้าหมายแห่งชีวิตคือความเย็นสนิทแห่งชีวิตก็มีธรรมมะพอ ปัญญาพอ มีสติพอ มันก็พอทั้งนั้นแหละต้องการเท่านั้นแหละเมื่อมีสติพอ มีปัญญาพอมันก็มีชีวิตอยู่อย่างถูกต้องเรื่อยไปเมื่อชีวิตมันอยู่อย่างถูกต้องกิเลสหรือไฟก็เกิดไม่ได้มันก็หมดเรื่องหมดปัญหามีชีวิตอยู่อย่างถูกต้องไฟเกิดไม่ได้ในชีวิตมันก็หมดปัญหาคือมันเย็นเอาเป็นว่าอาตมาได้ตอบคำถามของท่านที่ได้เสนอขึ้นมาว่าเป้าหมายแห่งชีวิตคืออะไรรวมความว่าชีวิตทำให้เย็นได้เมื่อได้เย็นสูงสุดได้นั่นคือเป้าหมายแห่งชีวิต เห็นว่าการบรรยายนี้สมควรแก่เวลาแล้วก็ขอยุติการบรรยายด้วยความหวังว่าท่านทั้งหลายนั้นคงจะมีความรู้ความเข้าใจไปจัดการกับไอ้สิ่งที่เรียกว่าชีวิตนั่นให้ได้รับประโยชน์ยิ่งขึ้นกว่าที่แล้วมาจงทุกๆคนเทิอญขอยุติการบรรยายไว้เพียงเท่านี้
http://www.vcharkarn.com/varticle/33045
เป้าหมายของชีวิต โดย ท่านพุทธทาส ภิกขุ
หน้าที่ 1 – จุดหมายปลายทาง
เมื่อมันเดินไปอย่างถูกต้องมันก็ถึงจุดหมายปลายทางแน่นอนนี่เราเรียกว่าธรรมมะก็เป็นเรื่องที่ทำให้ชีวิตก้าวหน้าไปจนถึงจุดหมายปลายทางที่นี่ผู้ให้หัวข้อนี้มันก็บอกหรือแสดงอยู่แล้วว่าไม่รู้ว่าจุดหมายปลายทางนั้นคืออะไรเราก็ต้องพูดถึงกันเรื่องจุดหมายปลายทางนั้นเองของชีวิตหรือเป้าหมายของชีวิตคือจุดหมายปลายทางชีวิตที่นี่มันก็มามีปัญหาอยู่ตรงที่ว่าในชีวิตนี้คืออะไรแต่ดูกันตามทางวัตถุคือทางร่างกายนี่ชีวิตมีนก็มีความหมายอย่างหนึ่ง ถ้าดูกันทางของจิตของวิญญาณชีวิตมีความหมายอีกประการหนึ่งดูกันในแง่วัตถุในแง่ร่างกายหญ้าบอนมันก็มีชีวิตสัตว์เดรัจฉานมันก็มีชีวิตคนก็มีชีวิตตลอดเวลาที่มันยังไม่ตายทางร่างกายมันยังไม่ตายชีวิตทางกายล้วนๆอย่างนี้มันก็มีอยู่ระบบหนึ่งเป้าหมายของมันก็คือจุดสูงสุดแห่งวิวัฒนาการด้วยเหมือนกันวิวัฒนาทางกายจะเป็นไปได้อย่างไรมันก็เป็นไปจนกว่าจะถึงที่สุดเราจึงเห็นได้ตามที่เคยศึกษาเล่าเรียนสั่งสอนกันมาว่าวิวัฒนาการทางกายทางรูปร่างโครงสร้างในของมนุษย์นี้ของสัตว์ที่มีชีวิตมันวิวัฒนาการมาตั้งแต่ว่าเป็นสัตว์เซลล์เดียวหลายเซลล์เป็นสัตว์ที่อยู่สูงขึ้นมาเป็นพืชพันธุ์มาเป็นสัตว์มาเป็นคนกว่ามันจะสูงสุดคือไม่ๆไปได้ไกลไปกว่านั้นได้อีกแล้วก็เรียกว่าจบวิวัฒนาการทางชีวิตในด้านร่างกาย แต่เราก็ยังพูดไม่ได้ว่ามันจะไปจบลงที่ตรงใหนอย่างไรและก้ไม่จำเป็นด้วยที่จะต้องไปรู้มันมันยังไม่ใช่ปัญหาเฉพาะหน้าปล่อยให้มันเป็นไปตามธรรมดาของวัตถุ่งประกอบกันขึ้นเป็นเรื่องเป็นร่างกายเป็นไปในทางฝ่ายกายมันยังอีกนานมากนักไม่รู้กี่หมื่นปีกี่แสนปีต่อไปในอนาคตทีนี้มาดูชีวิตที่มันเป็นปัญหากันดีกว่าคือเมื่อยังไม่ตายก็มีความเป็นอยู่อย่างใดอย่างหนึ่งระบบใดระบบหนึ่งอยู่ทุกวันๆๆนี่มันเป็นชีวิตในด้านจิตใจฝ่ายจิตฝ่ายวิญญาณฝ่ายจิตนี่คือเรื่องจิตที่ติดอยู่กับกายแต่ฝ่ายวิญญาณนั้นเป็นเรื่องของสติปัญญาที่แยกออกมาได้เขาเรียกว่าเป็นเรื่องฝ่ายวิญญาณฝ่ายสติปัญญาถ้าเรายังไม่ตายเราก็มีจิตคิดนึกอะไรได้แล้วก็ปรับปรุงให้มันดีที่สุดเป็นจิตที่ฝึกฝนอารมณ์แล้วดีที่สุดอย่างที่พูดกันเมื่อคืนมันก็เท่านั้นแหละ
ทีนี้มันไม่มีความรู้พอมันก็ไปไกลไม่ได้มันยังออกไปจากความทุกข์ไม่ได้นี้มันเป็นฝ่ายสติปัญญาที่มันเป็นอิสระออกไปจะผิดจะถูกอย่างไรก็คอยสังเกตดูเรามีความรู้ผิดมีความเข้าใจผิดมีความเห็นผิดมีความเชื่อผิดนี่ชีวิตชนิดนี้มันก็มืดมนทางวิญญาณแล้วก็มีความทุกข์แน่นั้นจึงไม่ใช่เป้าหมายแต่ถ้าเราทำถูกต้องมีความสว่างในทางวิญญาณถูกต้องในทางความรู้ ความคิด ความเข้าใจ ความเชื่อฟังอะไรที่เป็นหลักเกณฑ์สำหรับยึดถือดำเนินไปๆในลักษณะที่ความทุกข์ละลายไป ความทุกข์ละลายไปไม่มีความทุกข์เหลืออยู่ในที่สุดหมดจดจากความทุกข์สิ้นเชิงที่เรียกว่าพระนิพพาน งั้นเป้าหมายของชีวิตในทางวิญญาณเนี่ยมันคือพระนิพพานใครจะรู้ก็ได้ไม่รู้ก็ได้ใครจะชอบก็ได้ไม่ชอบก็ได้มันอาจจะไม่ชอบก็ได้โดยไม่เข้าใจบ้างและมองเห็นว่าดีเกินไปไม่เหมาะสำหรับเราไม่เหมาะสำหรับเราบ้างมันก็พูดไม่รู้เรื่องตอนนี้เขาให้อัตมาพูดตามความพอใจก็จะต้องพูดอย่างนี้ในชีวิตฝ่ายจิตฝ่ายวิญญาณมันก็ต้องไปสิ้นสุดจบไปจบไปจบครึ่งลงที่ขันลุถึงนิพพานนิพพานนี้แปลว่าเย็นสนิท ไม่มีความร้อนแต่เป็นเรื่องทางนามธรรมความร้อนก็ร้อนแห่งกิเลสร้อนแห่งความโลภร้อนแห่งความโกรธร้อนแห่งความโง่ความหลงในทางจิตทางวิญญาณเป็นไฟในทางจิตทางวิญญาณถ้าไฟเหล่านี้ดับสนิทเราก็เย็นสนิทแล้วก็ไม่ต้องตายบรรลุนิพพานในที่สุดได้โดยไม่ต้องตายถึงอาจจะผิดในที่ท่านทั้งหลายเคยฟังมาแล้วก็ได้ท่านอาจจะเคยฟังมาในทางที่ว่าจะไปนิพพานทำไมต้องตายก็เป็นเฒ่านิพพานอย่างนี้ก็ได้ ถ้าอย่างนี้ก็ขอให้เข้าใจว่ามันคนละเรื่องนิพพานไม่ได้หมายถึงความตายที่สอนในผิดๆในโรงเรียนให้ลูกเด็กๆเข้าใจผิดให้รู้ต้องแต่เล็กว่านิพพานคือความตายของพระอรหันต์หรือของพระพุทธเจ้านิพพานแปลว่าตายเป็นราชาศัพท์สูงสุดอย่างนี้มันผิดโดยสิ้นเชิงนิพพานคือภาวะเย็นสนิทแห่งจิตแห่งวิญญาณโดยที่คนไม่ต้องตายถ้าใครคนไหนก็ได้เอาไอ้เรื่องร้อนๆออกไปจากจิตใจแล้วไม่ให้มันเกิดมาได้อีกเพราะนั้นเป็นนิพพานเข้าถึงนิพพานอยู่กับนิพพานโดยที่ไม่ต้องตายร่ายกายไม่ต้องตายเมื่อร่างกายตายลงไปอีกหลังจากนั้นแล้วก็นึกว่าตายด้วยนิพพานตายด้วยนิพพานไม่ใช่ว่านิพพานคือการตายคิดว่าตายอย่างเย็นตายด้วยนิพพานคนอื่นตายด้วยร้อนตายอย่างตายด้วยกิเลสตายในกิเลสนั่นก็ตายร้อนเหมือนคนธรรมดาทั่วไปมันก็ตายร้อนเข้าถึงพระนิพพานด้วยความเย็นมันก็ตายเย็นเพราะมันไม่มีกิเลสคนหนึ่งตายด้วยกิเลส คนหนึ่งตายด้วยนิพพานคือความสิ้นกิเลสที่ได้รับมาก่อนแล้วแต่นี่ร่างกายมันตายลงไอ้การตายนั้นก็เรียกว่าตายด้วยนิพพานคือความสิ้นสุดแห่งกิเลสนี่เรียกว่าเป้าหมายของชีวิตถ้าตายแล้วไม่มีชีวิตแล้วมันก็ไม่ใช่เป้าหมายของชีวิตคิดดูถ้ามันตายแล้วมันไม่มีชีวิตแล้วมันจะเป้าหมายอะไรกันอีกมันต้องรู้ถึงว่ายังมีชีวิตอยู่สำหรับชีวิตนั้นเองก็คือการเป็นอยู่มีชีวิตอยู่อย่างที่เย็นสนิทอย่างแท้จริงไม่กลับร้อนไม่กลับมีความทุกข์ใดๆได้เลยนี่คือเป้าหมายของชีวิตที่มันยังเป็นตัวชีวิตและมันได้รู้และถึงจุดสูงสุดของมัน อย่าไปยึดในคำบาลีทางศาสนาที่ฟังยากเข้าใจยากจำยากเพราะมันยุ่งยากป่วยการลืมเสียเถอะแต่พระนิพพานคือความเย็นจริงๆถ้าจะรู้จักนิพพานก็ต้องไปศึกษาความร้อนที่ทุกคนร่ำรวยกันอยู่แล้วที่ทุกคนมันร่ำรวยอยู่ในความร้อนร้อนราคะ ร้อนเพราะโทสะ ร้อนเพราะโมหะร้อนเพราะปัญหาต่างๆมันประดังเข้ามายึดถือเอาว่าเป็นตัวตนเพราะเร่าร้อนเผารนอยู่นั้นถ้าจะศึกษาธรรมมะก็ต้องศึกษาจากชีวิตอีกเหมือนกันไม่ใช่ศึกษาจากอาตมาไม่ใช่ศึกษาจากหนังสือหนังหาจากพระธรรมคัมภีร์อะไร โดยส่วนเดียวนั้นมันเป็นไปไม่ได้มันจะได้ก็แต่เพียงจำได้จำคำพูดของเราได้มันอยู่ในหนังสือถ้าจะเรียนธรรมมะจริงให้ตั้งต้นเรียนจากความทุกข์ที่มีอยู่จริงถ้าใครไม่มีความทุกข์ไม่ต้องมาเรียนธรรมมะให้ป่วยการมันเป็นคนบ้ามันไม่มีความทุกข์และมันจะมาเรียนเรื่องความดับทุกข์มันบ้าถ้าคุณไม่มีความทุกข์คุณก็ไม่ต้องมาหาธรรมมะไม่ต้องมาเรียนธรรมมะจะรู้ธรรมมะก็ต้องมีความทุกข์เรียนความทุกข์ให้รู้จักความทุกข์นั้นจะแก้มันอย่างไรจะดับความทุกข์นั้นอย่างไรกิริยาที่ดับความทุกข์ได้นั่นเป็นธรรมมะอย่างดีที่จะช่วยให้เราเข้าถึงความเย็นนี่เป็นเป้าหมายแห่งชีวิตเดี๋ยวนี้ทุกคนเป็นชาวนาชาวสวนกันพ่อค้ากันเป็นนักศึกษาเป็นข้าราชการทหารเป็นอะไรก็เป็นกันอยู่แล้วมันมีความทุกข์ความร้อนกันหรือไม่ เอออยากจะพูดสักนิดนึงว่าเรามีความทุกข์แตกต่างกันเหมือนกับที่ว่าเราเป็นต่างกันไปเป็นชาวนาชาวสวนข้าราชการนักศึกษานี่ก็ต่างกันแต่พอมาเห็นความทุกข์มันต่างกันอย่างนั้นหรือไม่ถ่คนสายตาตื้นปัญญาตื้นมันก็จะตอบว่าต่างกันชาวนนาเป็นทุกข์อย่างชาวนาชาวสวนเป็นทุกข์อย่างชาวสวนข้าราชการเป็นทุกข์อย่างข้าราชการนักศึกษาเป็นทุกข์อย่างนักศึกษานั่นมันเรื่องผิวๆเป็นเรื่องสายตาสั้นมองเห็นได้เท่านั้นแล้วก็ไม่ใช่ความทุกข์จริงถ้ามองถึงความทุกข์จริงจะเห็นว่าเหมือนกันแหละความทุกข์เกิดมาจากความโง่สำคัญผิดในสิ่งต่างๆแล้วไม่ยินดียินร้ายกับสิ่งที่เข้ามาเกี่ยวข้องด้วยนั่นก็เป็นความทุกข์เพราะความโลภ เพราะความโกรธ เพราะความหลงเหมือนกันทั้งนั้นให้ดูดีสักหน่อย
ให้เห็นว่ากิเลสนี้เหมือนกันเลยความโลภ ความโกรธ ความหลง ราคะ โทสะ โมหะแล้วแต่จะเรียกนี่คือกิเลสเหมือนกันทั้งนั้นเลยไม่มีกิเลสเด็กไม่มีกิเลสผู้ใหญ่ไม่มีกิเลสตังผู้ไม่มีกิเลสตัวเมียไม่มีกิเลสคนไทยไม่มีกิเลสฝรั่งไม่มีจะเหมือนกันไปหมดเมื่อเป็นมนุษย์จะมีกืเลสที่เป็นเหมือนกันหมดฉะนั้นความทุกข์ก็เหมือนกันหมด นั่นแหละคือทุกข์เพราะว่ามีกิเลสนั้นกิเลสมันนำไปสู่ความยึดมั่นถือมั่นเพราะความโง่กิเลสมันมาจากความโง่ยึดมั่นถือมั่นมีตัวกูมีอะไรของกูมีทุกอย่างเป็นของกูแล้วก็เป็นทุกข์ด้วยเรื่องของตัวกูมันไม่ได้อย่างที่ตัวกูต้องการมันก็เป็นทุกข์ถ้ายึดมั่นในสิ่งต่างๆก็จะเป็นไปตามความจำนงของตนแล้วมันก็ไม่เป็นตามความประสงค์ของตนมันก็ต้องเป็นทุกข์ก็มีความอยากอย่างยิ่งมีความหวังอย่างยิ่งมันก็ไม่ได้ตามที่อยากที่หวังมันก็เป็นทุกข์ตามหลักของพระพุทธศาสนาถือว่าความอยากเป็นเหตุให้เกิดทุกข์เพราะว่าความอยากมันทำให้เกิดความรู้สึกอีกอันนึงว่าฉัน กู อยากพอมีฉันมีอยากมีปัญหาที่มากับตัวกู กูก็ต้องทนทุกข์ทนทรมานกับปัญหานั้นๆยึดถือบ้านเรือนของกูปัญหาเกี่ยวกับบ้านเรือนก็มาทับถมกูยึดถือว่าเงินทองทรัพย์สมบัติของกูปัญหาของกูขณะนั้นมาทับถมกูครอบครัวอะไรของกูปัญหาเหล่านั้นก็มาทับถมกูความเกิดของกูปัญหาความเกิดก็มาทับถมกูความแก่ความเจ็บของกูปัญหานั้นก็มาทับถมกูความตายของกูปัญหาเรื่องความตายก็มาทับถมกูก็เป็นทุกข์ไปหมดร้อนไปหมดไม่มีเย็นเลย
หน้าที่ 2 – จุดหมายปลายทาง
ถ้าเมื่อใดมันไม่มีสิ่งเหล่านั้นมันก็เย็นฉะนั้นพยายามที่จะดับความร้อนเหล่านั้นเสียแล้วก็พบความเย็นที่สุดนั่นก็คือความหมายของชีวิตอยู่ที่นั่นไม่ต้องรอจนตายแล้วไปที่นั่นที่ไหนอย่างที่เขาเชื่อกันเขาพูดกันมันเข้านิพพานไปเข้าที่ไหนตายแล้วอะไรจะไปเข้ามีชีวิตที่มีประโยชน์อย่างไรมันก็ไม่มีประโยชน์อะไรเลยก็เป็นเรื่องตายแล้วมีชีวิตแล้วมันยังเป็นๆมีชีวิตอยู่นี่ฉะนั้นความเย็นเด็ดขาดร้อนอีกไม่ได้เรียกว่านิพพานคือหมดกิเลส เดี๋ยวนี้เราอยู่ที่นี่นี่ไม่เรียกว่าจุดหมายปลายทางคือเราอยู่ที่ต้นทางหรือตัวทางก็แล้วแต่จะเรียกเรามีปัญหาพอว่าเราถึงจดหมายปลายทางจึงจะไม่เป็นทุกข์เดี๋ยวนี้เราแต่งงานกับกิเลสมันก็ต้องเป็นทุกข์มารู้จักกิเลสที่เรากอดรัดหรือถือไว้และกว้างทิ้งออกไปเพื่อหยุดร้อนแล้วมันก็จะเย็นพอถึงเป้าหมายของชีวิตจุดนี้ก็เย็นเป็นอยู่ด้วยความเย็นมีชีวิตอยู่ด้วยความเย็นใช้คำว่าความเย็นมาเป็นภาพพจน์เป็นอุปมา
ถ้าจะให้ไม่มีความทุกข์เลยเราเรียกว่าความเย็นถ้าทุกข์มันร้อนเพราะว่ากิเลสเป็นของร้อนมีกิเลสเผาก็ร้อนไม่มีกิเลสเผาก็เย็นพอดิ้นรนไปๆเรื่อยไปๆจนกว่าจะถึงจุดที่ว่าไม่มีกิเลสแล้วมันเย็นก็เป็นเป้าหมายใฝ่หาไปมีชีวิตอยู่อย่างเย็นไม่มีทุกข์เลยแล้วเวลาทั้งหมดก็เคลื่อนไหวไปด้วยการทำประโยชน์แก่ทุกคนไม่ใช่เย็นแค่น้ำแข็งนอนตายอยู่ในน้ำแข็งเย็นแต่ทางจิตทางวิญญาณเป็นสุขที่สุดพอใจที่สุดก็ทำงานทำอะไรต่างๆพอที่มันจะทำได้และสิ่งอันนั้นมันก็เป็นประโยชน์แก่ทุกคนนั้นมันเลยไม่ใช่เย็นคนเดียวไม่ให้คนอื่นปล่อยไปสู่ความเย็นหรือให้ความเย็นได้โดยลำดับงั้นเป้าหมายชีวิตที่แท้จริงไม่ได้เย็นคนเดียวไม่ใช่ถึงคนเดียวถ้าถึงแล้วมันจะเป็นประโยชน์แก่ทุกคนด้วยพระพุทธเจ้าบรรลุนิพพานตั้งแต่วันตรัสรู้ท่านก็อยู่ด้วยความเย็นมาตลอดพระชนม์ชีพของท่าน แล้วก็พลอยคนทั้งหมดทั้งปวงพลอยเย็นไปด้วยดำเนินไปตามความเย็นอีกมากมายนับไม่ถ้วนนั่นแหละเป้าหมายปลายทางเป็นผู้ที่กำหนดช่วยผู้อื่นให้หมดจากความทุกข์ได้ด้วยก็ไปคิดเองเราจะไม่มีความทุกข์เลยเคลื่อนไหวจะเป็นประโยชน์แก่คนทุกคนอยู่จนกว่าจะถึงวาระสุดท้ายคือสังขารร่างกายแตกดับลงไปแล้วมันก็เลิกกันไม่ต้องพูดกัน เดี๋ยวนี้ถึงความเย็นที่เป็นพระนิพพานกันได้แล้งคนนั้นจะมีประโยชน์แก่ทุกคนด้วยนี่เป้าหมายแห่งชีวิตตามหลักแห่งพระธรรมหรือพระพุทธศาสนาเมื่อให้อาตมาตอบมันก็ต้องตอบตามหลักธรรมมะในพระพุทธศาสนาที่ศึกษาค้นคว้าอยู่ตลอดเวลาจะไปตอบโดยทางอื่นแนวอื่นกระแสอื่นนั้นไม่ได้ถ้าเขาจะใช้จิตวิทยาใช้ปรัชญาใช้อะไรกันมาเป็นหลักวินิจฉัยว่าเป้าหมายของชีวิตคืออะไรแล้วก็ต้องเป็นเรื่องอื่นแน่ไม่มาสู่อันนี้ไม่มาสู่อันที่ว่าเย็นแห่งชีวิตในลักษณะที่เป็นนิพพานที่เรียกว่าพูดกันทีเดียวถึงจุดปลายทางสูงสุดของมนุษย์ผู้มีสติปัญญาถ้าเราไปถามขี้เมากลางถนนว่าเป้าหมายของชีวิตคืออะไรมันก็คือมีเหล้ากินมากๆ นั้นล่ะเป้าหมายแห่งชีวิตหรือจะไปถามไอ้คนอันธพาลบางคนว่าเป้าหมายของชีวิตคืออะไรมันก็เรื่องสนุกสนานเอร็ดอร่อยเนื้อหนังปรนเปรอนั้นคือเป้าหมายแห่งชีวิตนั้นมันคือคนที่ยังไม่รู้ว่าชีวิตคืออะไรมีความคิดเห็นของตนเองเป็นมิจฉาทิฐิอวิชารู้จักชีวิตแต่ในทางมุ่งหมายแต่ความโง่ของเขารู้เขาก็เอาตามแบบเป้าหมายของชีวิตไปตามแบบความโง่ของเขาคนธรรมดาสามัญอาจจะพูดว่ามีสติทรัพย์สมบัติพอตัวมีเกียรติยศชื่อเสียงพอตัวมีคนรักใคร่แวดล้อมพอตัวนี่ เป็นเป้าหมายแห่งชีวิตก็ได้เหมือนกันถูกเพียงแค่นั้นมันไม่ได้ถามว่าเย็นหรือเปล่ามีทรัพย์สมบัติด้วยมีอำนาจวาสนามีเกียรติยศชื่อเสียงมีพวกพ้องบริวารแล้วมันเย็นหรือเปล่าถ้าเย็นก็ได้เหมือนกัน ถ้าไม่เย็นก็ไม่ใช่นี่นี้คนธรรมดาเขามีสิ่งเหล่านั้นแล้วเขาไม่รู้จักทำให้มันเย็นอาจเป็นร้อนมากกว่าเดิมก็ได้ยิ่งมีเงินมากก็ร้อนมากยิ่งมีเกียรติยศชื่อเสียงมากยิ่งร้อนมากยิ่งมีวาสนามากยิ่งร้อนมากก็ได้นั้นยังไม่ใช่นิพพานถ้ามีสิ่งเหล่านั้นด้วยแล้วก็มีความเย็นอย่างที่ว่านี้ด้วยก็ได้นิพพานเป้าหมายแห่งชีวิตที่สมบูรณ์ที่สุดคือในแง่จิตแง่วิญญาณก็สมบูรณ์ในแง่วัตถุร่างกายก็สมบูรณ์แต่ที่น้ำมันไม่จำเป็นถ้าเราต้องการความเย็นอย่างแท้จริงทางจิตทางวิญญาณเราก็ไม่มีปัญหาเรื่องทรัพย์สมบัติเรื่องเกียรติยศชื่อเสียงอำนาจวาสนาพูดให้มันตรงลงไปเลยว่าไม่ต้องมีทรัพย์สมบัติไม่ต้องมีอำนาจวาสนาเกียรติยศชื่อเสียงอะไรก็ได้ แต่สามารถบรรลุนิพพานได้อย่างพระอรหันต์มีทรัพย์สมบัติเพียงจีวรอยู่กับบาตรใบหนึ่งสำหรับขอทานมันมีเท่านั้นล่ะจึงบรรลุนิพพานซึ่งเป็นเป้าหมายหนึ่งของชีวิตได้นั้นมันจึงถือว่าไม่เกี่ยวกันถ้าเราต้องการมีทรัพย์สมบัติมีอะไรมากๆเรื่องมันก็ยุ่งมากมันก็รบกวนมากมันก็ทำให้เกิดกิเลสได้ง่ายมันก็ไม่เย็นนั้นเรามีทรัพย์สมบัติแต่พอสมควรจะมีเกียรติยศชื่อเสียงบ้างก็มีแต่พอสมควรมีอำนาจวาสนาก็มีแต่พอสมควรมีคนรักใคร่เพื่อนฝูงมิตรสหายบริวารก็พอสมควรคำว่าพอสมควรคือไม่ทำให้ร้อนขึ้นมาถ้าทำให้ร้อนขึ้นมาก็ถือว่าเกินและและเกินควรถือว่าทีไม่ถูกมีไม่เป็นร้อนนะนั้นมีที่เท่าจำเป็นที่ควรจะมีและก็มีให้ถูกต้องมีให้เป็นและก็ไม่ร้อนเลยและมันก็เย็นไปคิดหาทางเอาเองเมื่อยังต้องการเป็นชีวิตฆราวาสครองเรือนมีทรัพย์สมบัติมีบุตรภรรยาสามี มีอะไรต่างๆนั่นแล้วจะไปทำให้มันเย็นได้อย่างไรถ้าไม่สามารถจะทำให้เย็นที่สุดได้ก็ทำเท่าที่จะทำได้ก็แล้วกันเขาเรียกว่ามันมีส่วนเย็นอยู่แล้วมีส่วนเย็นอยู่บ้างเพียง แต่ว่ามันไม่ถึงที่สุดถ้าถึงที่สุดก็เรียกว่านิพพานนั้นเป็นเป้าหมายของชีวิตที่สมบูรณ์ที่สุดมันก็เย็นบ้างหรือเป็นส่วนมากที่ยังเป็นความร้อนแล้วก็ยังมีแบ่งชั้นแบ่งความจริงเป็นไว้ชั้นพระโสดาบัน ชั้นพระจิตาคามี ชั้นพระอนาคามี 3ชั้นนี้เป็นฆราวาสก็ได้เพราะว่าชั้นสุดท้ายคือพระอรหันต์นั้นจึงจะเป็นนิพพานสมบูรณ์คือเย็นสนิทเป้าหมายชีวิตสมบูรณ์ถ้าเป็นโสดาบัน จิตาคามี อนาคามีมันเกือบสมบูรณ์คือมันใกล้เข้าไปในเขตสมบูรณ์เป้าหมายชีวิตที่เกือบสมบูรณ์ใกล้ต่อความสมบูรณ์ถ้าเป็นพระนิพพานพระอรหันต์ ก็สมบูรณ์ที่สุดนี่เราเป็นฆราวาสที่เอียงเข้าไปหาเป้าหมายชีวิตที่ถูกต้องมากอยู่เหมือนกันเป็นพระโสดาบัน หมายความว่ามีความเข้าใจถูกต้องมีความคิดเห็นถูกต้องมีความเชื่อถูกต้องและก็มีความต้องการอย่างถูกต้องแล้วมันก็มีการพูดจาการทำงานการดำรงชีวิตอย่างถูกต้องพากเพียรมีสติสมาธิที่อยู่อย่างถูกต้องนี้ก็เรียกว่าเป็นพระโสดาบันถ้าถือกระแสความถูกต้องของเป้าหมายแห่งชีวิตคือนิพพานแต่ยังไม่ถึงพระนิพพานโดยตรงแต่เข้าไปในกระแสเป้าหมายแห่งถูกต้องคือพระนิพพานเราจะทำได้เท่าไรก็ไปคิดดูความร้อนมันดับลงไปได้เท่าไรมันก็ใกล้ความเย็นและเป้าหมายของชีวิตเข้าไปเท่านั้นและศึกษาจากจิตใจ โดยตรงอย่าศึกษาจากคนหรือตำรับตำรานักเลยมันรู้ไม่ได้แต่ความร้อนแห่งจิตใจไอ้ความเย็นแห่งจิตใจมันเป็นเรื่องที่ต้องรู้สึกจากจิตใจศึกษาจากจิตใจภายในอ่านหนังสือสักกี่ร้อยเล่มด้วยเรื่องนี้แต่มันก็รู้สึกถึงความเย็นไม่ได้ต้องไปเอาความร้อนออกแล้วเอาความเย็นให้ความเย็นปรากฎออกมาเดี๋ยวนี้เรื่องของความร้อนความทุกข์เราก็ไม่สนใจเราก็ไม่รู้จักนั้นเราก็จะทำลายมันได้อย่างไรเราก็ไม่รู้จักความเย็นไม่ถึงความเย็นนั้นเมื่อผู้ใดมีความร้อนที่เป็นเรื่องของกิเลสหรือความทุกข์ทำลายมันเสียให้พบความเย็นที่ตรงนั้นนั้นแหละคือดีที่สุดมีธรรมมะที่สุดก้าวหน้าทางธรรมมะที่สุดนั้นท่านผู้ใดคนใดมีความร้อนที่เป็นกิเลสหรือความทุกข์ที่เกิดขึ้นมาศึกษาให้รู้ต้นเหตุต้นตอของมันทำลายมันเสียป้องกันมันเสียแล้วเย็นอยู่นี่คือเรียนธรรมมะที่ดีที่สุด จงเพิ่มขึ้นเพิ่มขึ้นเรื่องนี้ร้อนขึ้นมาดับเย็นเสียเรื่องอื่นร้อนขึ้นมาดับเย็นเสียๆอย่างนี้ทุกๆเรื่องไปมันก็ก้าวหน้าไปในทางชีวิตที่แท้จริงที่ไปสู่เป้าหมายของชีวิตอันแท้จริงนั่นก็คือพระนิพพานนั่นเองเดี๋ยวนี้แต่ละวัน แต่ละเดือน แต่ละปีเราไม่ได้ทำอย่างนี้เราก็ได้อยากจะรู้บ้างว่าเป้าหมายของชีวิตคืออะไรเราไม่รู้จักตัวชีวิตเองด้วยซ้ำไปเราไม่รู้จักอุปสรรคในชีวิตด้วยซ้ำไปเราก็ไม่มีจุดหมายปลายทางที่เป็นเป้าหมายแห่งชีวิตเอาละนี่เป็นการที่จะศึกให้รู้จักชีวิตรู้จักเป้าหมายแห่งชีวิตแล้วก็รู้จักวิธีเดินไปสู่เป้าหมายแห่งชีวิตนับว่าเราได้เข้ามาเกี่ยวข้องกับเรื่องที่ดีที่สุดสำหรับมนุษย์แล้วเรื่องสำหรับมนุษย์ไม่มีอะไรดีกว่านี้ว่าจะรู้จักตัวชีวิตรู้จักขจัดปัญหานาๆชนิดในตัวชีวิตออกไปเสียก็เป็นชีวิตที่หลุดพ้นการทั้งปวงนั่นแหละคือเป้าหมายแห่งชีวิตในชีวิตที่ยังเป็นๆอยู่นี่ไม่ใช่หลังตายแล้วไม่มีประโยชน์อะไร แต่คนอื่นยังมียึดถือกันแบบนั้นอยู่ว่านิพพานต้องถึงกับตายแล้วก็เป็นเรื่องของเขาอาตมาพูดไม่เป็นพูดอย่างนั้นพูดด้วยไม่ได้พูดไปถึงไอ้ชีวิตนี่มันทีความทุกข์มีปัญหาแล้วก็เอาออกไปเสียให้หมดแล้วมันก็หยุดมันก็เย็นมันก็เกลี้ยงมันก็เป็นอิสระมันก็ไม่มีความทุกข์เลยเอาที่ไม่มีความทุกข์เลยก็โปรดทราบไว้เลยว่าพระพุทธเจ้าเป็นหลักเป็นทางการท่านจะตรัสถึงแต่ความหมดไปแห่งความทุกข์ท่านจะไม่พูดถึงความสุขปัญหามันอยู่ที่ความทุกข์หมดความทุกข์ทุกคนคงจะพอใจ
ถ้าพูดถึงความสุขมันเป็นคำพูดแบบชวนเชื่อโฆษณาให้คนสนใจทุกคนมันชอบความสุขจึงมาความสุขนี้ดีกว่าความสุขนี้ดีกว่ามันก็ถูกเหมือนกันแหละแต่แท้ที่จริงมันคือความสิ้นสุดแห่งความทุกข์เมื่อสิ้นสุดแห่งความทุกข์จะมาเรียกว่าความสุขก็ได้แต่กลัวจะไปยึดถือหลงใหลให้ทันหนักอกหนักใจขึ้นมาอีกฉะนั้นก็กลัวว่าความสุขนี้จะหายไปเสียอีกมันก็ยุ่งนั้นเราดูตัวปัญหาที่แท้จริงให้พบเพราะเอามันมี แต่ความทุกข์นี่เมื่อความทุกข์ดับหมดไปแล้วมันก็ควรจะหมดปัญหาเมื่อไฟเผามันร้อนอยู่ดับไฟแล้วมันเย็นมันก็ควรจะพอใจไม่มีความทุกข์อีกแต่คนมันติดรสอร่อยเดี๋ยวนี้มีรสอร่อยทางกามรมณ์ทางเพศทางอะไรติดแน่นเป็นนิสัยสันดารอยู่ว่าไอ้ความสุขหรือว่าที่ควรจะพอใจนั้นต้องอร่อยแล้วจะมาเอาอร่อยกับพระนิพพานอย่างนี้มันเป็นไปไม่ได้มันคนละเรื่องถ้าจะใช้คำว่าอร่อยต้องเปลี่ยนความหมายคำว่าอร่อยเสียใหม่เรียกว่ามันเป็นความสุขที่แท้จริงเป็นความเย็นที่แท้จริงมันอร่อยเหมือนกินน้ำจืดไอ้กินน้ำหวานกินน้ำอะไรนั้นมันก็อร่อยไปตามแบบของมันไอ้น้ำจืดสนิทมันมีรสอร่อยตามแบบของมันนั้น
หน้าที่ 3 – กิเลส
เราเอาความอร่อยชนิดที่จืดสนิทมาน้ำที่จืดเย็นสนิทไม่ใช่น้ำชากาแฟน้ำตาลน้ำส้มน้ำมะนาวอะไรต่างๆแต่ทีนี้คนเรามันไปติดรสอร่อยแล้วก็เลยหวังว่าพระนิพพานต้องมีรสอร่อยแล้วก็อร่อยมากกว่าธรรมดาสามัญที่เคยอร่อยอย่างนี้ไม่มีทางที่จะพบพระนิพพานได้เพราะว่าความอร่อยมันเป็นที่เกิดแห่งปัญหาหากความอร่อยเป็นต้นตอของกิเลส แล้วก็เกิดกิเลสแล้วก็ร้อนถ้าเราไม่ต้องการจะร้อนไม่ต้องการจะเกิดไฟก็อย่าไปชอบเชื้อไฟความหลงใหลในอร่อยหรือไม่อร่อยก็ตามยินดีก็ตามยินร้ายก็ตามเป็นเชื้อไฟให้เกิดไฟแล้วก็อยู่กับไฟทั้งวันทั้งคืนทั้งเดือนทั้งปีตลอดชาติเดี๋ยวรักนั่นเดี๋ยวเกลียดนี่เดี๋ยวกลัวโน่นเดียวรักนี่เดี๋ยวเกลียดนี่ยินดีนี่ยินร้ายโน่นวนอยู่แต่ไอ้ 2 ฝ่ายนี่คือชีวิตที่ชอบกับไม่ชอบนั้นเลือกชอบกับไม่ชอบ 2 อย่างนี่ก็อยู่เป็นกลางนี่จะหยุดหรือจะเย็นมันไม่ต้องอร่อยหรือไม่ต้องไม่อร่อยอยู่ที่ตรงกลางและมันก็หยูดและมันก็เย็นเป็นอิสระนี่เรียกว่าเย็นแบบพระนิพพานชีวิตนี่มันไปถึงนั่นมันหยุดแล้วมันไม่มีอะไรจะช่วยให้ดิ้นรนขวนฝายหาให้หวังอีกต่อไปอย่างตะกะหรือรัตจิตมันตคือหยุดความอยากหรือความหวังเสียเพราะมันไปถึงที่สุดของความอยากและความหวังนี่คือเป้าหมายแห่งชีวิตอยู่ด้วยความอยากอยู่ด้วยความหวังมันก็ทนทรมานด้วยความอยากและความหวังหยุดความอยากและความหวังเสียมันก็จบเรื่องถ้าอยากเพราะเกิดยึดมั่นถือมั่นก็ต้องเป็นทุกข์ไม่ต้องสงสัยไม่มีทางช่วยการที่ท่านทั้งหลายสนใจคำว่าเป้าหมายแห่งชีวิตให้อาตมาอธิบายตามหลักพระพุทธศาสนา
มันก็มีแต่อย่างนี้มันไม่มีอย่างอื่นแล้วจะชอบหรือไม่ชอบก็เป็นอิสระที่จะตัดสินเอาเองจะเลือกเอาเองถ้ายังมีอย่างอื่นดีกว่าก็เอาแต่ขอให้มันดีกว่าจริงอย่าให้มันดีกว่าหลอกเดี๋ยวนี้ก็ยืนยันว่าพระนิพพานนั้นเป็นสิ่งสูงสุดเป็นธรรมมะสูงสุดไม่มีอะไรสูงสุดกว่านี้จึงถือเป็นเป้าหมายแห่งชีวิตสิ้นสุดแห่งกิเลสและความทุกข์เย็นมันก็ไม่มีร้อนเพราะกิเลสมันเกิดจากความทุกข์ชีวิตนี้เย็นมันอยู่ในความเย็นชนิดที่ไม่เปลี่ยนแปลงเรียกว่าเย็นนิรันดรเมื่อชีวิตเข้าถึงความเย็นนิรันดรชีวิตมันก็ปล่อยเป็นนิรันดรไปด้วยนี่ก็เข้าถึงอมะตะธรรมคือความไม่ตายเข้าถึงความไม่ตายนั่นแหละเป้าหมายแห่งชีวิตเมื่อเข้าใจตัวชีวิตปลายทางของชีวิตการเดินวิธีเดินแห่งชีวิตพอสมควรแล้วก็ขอให้เอาไปจับกับชีวิตจริงๆของท่านเองแต่ละคนๆตามเรื่องราวของตนๆในชีวิตประจำวันให้กำจัดความทุกข์ความร้อนออกไปให้ได้เสียเรื่อยๆไปในชีวิตประจำวันกว่าจะหมดเกลี้ยงก็อยู่ในความเย็น บางคนจะเห็นว่าเหลือวิสัยไม่เอาแล้วเอาไปตามบุญตามกรรมดีกว่าอย่างงี้ซะโดยมากมันก็ไม่ต้องพบปะกันกับเรื่องสูงสุดในพระพุทธศาสนาเรื่องธรรมมะความเป็นนิพพานถ้ามีจิตเข้าถึงความเย็นเป็นภาวะสูงสุดเป็นพระนิพพานเป็นสิ่งสูงสุดของมนุษย์หรือของอะไรทั้งหมดก็ได้สูงสุดอยู่ที่ไม่มีกระทบกระทั่งให้ร้อนวิธีปฏิบัติที่จะเกิดการถึงเป้าหมายแห่งชีวิตก็ควรจะพูดกันบ้างช่วงเวลาที่เหลืออยู่ขอให้ทุกๆวันนี้อยู่ด้วยสติสัมปชัญญะถ้าเกิดความทุกข์ร้อนขึ้นมาขอให้มองเห็นเป็นความทุกข์เป็นกิเลสกับสิ่งไม่พึงปรารถนาแล้วก็ชิมความร้อนแห่งความทุกข์หรือกิเลสนั้นให้รู้รสให้ดีแล้วเมื่อเกิดความไม่พอใจอยากจะกำจัดสิ่งเสียก็พยายามมองลึกเข้าไปพบไปถึงสาเหตุของมัน ต้นเหตุคือความโง่ไปหลงเมื่อมีอะไรมาเกี่ยวข้องทางหู ทางตา ทางจมูก ทางกาย ทางใจเองเมื่อมีอะไรมาเกี่ยวข้องแล้วมันก็ไปหลงรักหลงเกียจ่งแล้วแต่เกิดกิเลสทุกๆฝ่ายถ้ามันรู้จริงมันไม่หลงรักหลงเกียจมันรู้แต่ว่าเราจะต้องทำยังไงกับมันถ้าต้องทำอย่างไรกับมันก็ทำถ้าไม่ต้องทำอย่างไรกับมันก็ไม่ต้องทำอย่างนี้ไม่โง่แล้วก็ไม่ไปหลงรักไม่ไปหลงเกียจกิเลสก็เกิดไม่ได้นั้นเราอยู่ในโลกนี้โดยไม่ต้องเกิดกิเลสแห่งความทุกข์ไม่ได้เพราะปฎิบัติอย่างนี้อย่าโง่เมื่อมีอะไรมากระทบทางตาสวยไม่สวยทางหูเพราะไม่เพราะทางจมูกหอมหรือเหม็นทาวลิ้นอร่อยหรือไม่อร่อยทางผิวหนังนิ่มนวลหรือกระด้างทางจิตน่ายินดีหรือไม่น่ายินดีก็มันมี 6 ทางอย่าโง่เมื่อมีอะไรมากระทบที่อวัยวะทั้ง 6 นั้นฉลาดให้ทันเวลาแล้วก็ไม่ยินดียินร้ายเพราะยินดียินร้ายแล้วมันก็ไม่เกิดกิเลสไม่ยินดียินร้อนแล้วมันก็เป็นนิพพาน โดยอัตโนมัติถ้าใครทำได้ควบคุมได้จะมีพระนิพพานโดยอัตโนมัติเพราะเรื่องที่มันจะเกิดนี่มันมัแต่ทางตาทางหูทางจมูกทางปากทางลิ้น ทางกาย ทางจิตใจ เท่านั้นเองถ้าประพฤติปฏิบัติถูกต้องใน6ทางนี้แล้วจะไม่เกิดกิเลสคือความทุกข์มันฝึกฝนสติปัญญาให้เพียงพอฝึกฝนสติให้รวดเร็วว่องไวในการที่จะเอาปัญญามาให้ทันเวลาอย่าโง่เกี่ยวกับไอ้สิ่งที่มากระทบตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ มีเท่านี้ๆ เพราะว่าเรามีสติเพียงพอมีปัญญาเพียงพอมันก็ไม่โง่เมื่อมีมีอะไรมากระทบ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจแต่เดี๋ยวนี้เรามันชอบความอร่อยชอบความยินดีบางทีเราก็ชอบความยินร้ายไปด้วยนะชอบโทสะชอบบรรดาลโทสะชอบสนุกไปเลยแต่ทีนี้มันก็ทำไม่ได้นีเรียกว่าอวิชชาหรือความโง่ที่ทำให้เราไปหลงรักพอใจในสิ่งซึ่งเป็นต้นเหตุแห่งกิเลสและความทุกข์อย่างนี้ไกลพระนิพพานมากเรียกว่าอยู่คนละฝั่งฝั่งสมุทรเลยถ้าเราจะมีชีวิตอยู่อย่างเย็นก็ระวังอย่าโง่เมื่อมีอะไรมากระทบ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ มีสติปัญญารู้สึกทันทีว่าจะต้องจัดการอะไรกับสิ่งนี้ก็จัดการไปถ้าไม่ต้องจัดการก็ไม่ต้องจัดการอะไรก็ทำเรื่องอื่นที่ควรทำต่อไปนี้มันจะเย็นพูดง่ายๆว่าไฟลุกขึ้นมามันก็เย็นระวังถ้าไฟลุกขึ้นตมามันก็เย็นอยู่ตลอดเวลาทั้งกลางวันกลางคืนทั้งหลับทั้งตื่นมันก็เย็นนี่เรียกว่าเราถึงเป้าหมายแห่งชีวิตอยู่ตลอดเวลาทีนี้สำหรับคนที่มันเผลอเก่งหรือยังมีกิเลสมากมันเย็นแล้วกับร้อน เย็นแล้วกับร้อนนี่ก็เหมือนกับว่าวิ่งถอยหน้าถอยหลังอยู่อย่างนั้นทำยังไงอย่าให้มันมีการถอยหลังมีแต่รุจไปข้างหน้าห่างไกลจากความร้อนไปสู่ความเย็นคือว่าความทุกข์น่ะมันดับด้วยไฟๆๆกว่าจะสิ้นสุดคำว่าเย็น ในที่นี้มีความหมายที่สุดไม่ใข่เย็นอย่างน้ำแข็งกินแล้วอร่อย น้ำธรรมดาอย่างนี้ไม่ใช่เย็นอย่างนั้นแต่ก็เอาความหมายนั้นมาใช้ก็ได้เพราะว่าเย็นมันดีกว่าร้อนนิพพานแปลว่าเย็นไม่ใช่เย็นอย่างเรื่องธรรมดาที่ว่าคู่กับร้อนหอมคู่กับเหม็นอร่อยคู่กับไม่อร่อยอย่างนี้ไม่ใช่คู่เทียบอย่างนั้นเอาไปเทียบว่าไอ้ทั้งหมดนั่นแหละมันร้อนแต่อีกทางหนึ่งมันไม่ร้อน เย็น นั้นมันร้อนแห่งกิเลสไม่ใช่มันร้อนอย่างไฟธรรมดามันร้อนเป็นไฟกิเลสจึงจำเป็นอย่างยิ่งที่ต้องรู้จักกิเลสซะบ้างพูดแล้วก็คล้ายๆจะดูหมิ่นดูถูกท่านทั้งหลายมากเกินไปในวันนี้อาตมาจะพูดว่าท่านทั้งหลายยังไม่รู้จักแม้แต่กิเลสไม่รู้จักแม้แต่ตัวเองไม่รู้จักแม้แต่ตัวชีวิตนั้นเองและมันก็ไม่รู้ความหมายชีวิตได้ยังไงเดี๋ยวนี้เอากิเลสเป็นชีวิตเอาความทุกข์เป็นชีวิตเป็นชีวิตคือความทุกข์ไปเสียหมดเพราะเราไม่รู้จักกิเลสแล้วก็ไม่รู้จักชีวิตแล้วก็ไม่รู้จักความทุกข์ด้วยมันเจ็บปวดทนทรมานๆ แต่ไม่รู้จักว่ามันคืออะไรก็จัดการกับมันไม่ถูกก็ไปศึกษาตัวกิเลสตัวความทุกข์นี่ให้ถูกต้องให้เข้าใจถูกต้องแล้วควบคุมมันได้จัดการมันได้สะสนปัญญาเกี่ยวกับเรื่องนี้ให้มากขึ้นต้องศึกษาฝึกสมาธิให้มากขึ้นมีสติรวดเร็วเอาปัญญามาใช้ให้ทันเวลา เวลาคับขันคือว่าตากระทบรูป หูกระทบเสียง จมูกกระทบกลิ่น ลิ้นกระทบรส กายกระทบสิ่งมาสัมผัสผิวกาย ใจกระทบอารมณ์ที่พุ่งขึ้นมาในใจให้มีสติรวดเร็วเอาปัญญามาใช้ทันเมื่อมันกระทบและมันก็ไม่เกิดกิเลสแน่
ถ้าไม่มีปัญญามาเพราะสติไม่ดีมันก็ต้องเกิดกิเลสแน่แล้วมันก็ต้องเกิดความทุกข์แน่ตลอดเวลานี้เรียกว่ามันโง่ไปคือมีแต่อวิชชามันก็เป็นชีวิตชีวิตคือตัวทุกข์ ตัวทุกข์คือชีวิต ชีวิตคือความทุกข์เป็นชีวิตที่อยู่ในกองไฟ รู้จักไฟ รู้จักชีวิตดับไฟให้แก่ชีวิตแล้วมันก็ออกไปทางไกลคือความเย็นคือพระนิพพานเป็นเป้าหมายแห่งชีวิตได้นี่เรื่องมันมีอยู่อย่างนี้ท่านผู้ใดจะเอาหรือไม่เอาก็ตามใจไม่มีใครบังคับใครได้แต่ว่าเรื่องมันมีอยู่อย่างนี้จะเอาหรือไม่เอาหรือจะชอบปฏิบัติหรือไม่ชอบปฏิบัติก็ตามใจมีเสรีภาพของความคิดนึกของบุคคล แต่เดี๋ยวนี้เรามามองกันว่าอย่าเสียทีที่ได้เกิดมาอย่าเสียทีที่มีชีวิตมามันควรจะได้อะไรก็มาศึกษากันดูพิจารณากันดูถ้าเข้าใจและพอใจก็ลงมือเถอะตั้งต้นที่จะปรับปรุงชีวิตให้ดำเนินไปโดยถูกวิถีทางไปสู่จุดหมายปลายทางคือความเย็นสนิทแห่งชีวิตใช้คำอย่างนี้ดีกว่าใช้คำว่านิพพานใช้คำว่านิพพานมันสลัวไปซะอีกใช้ว่าความเย็นแห่งชีวิตนี่มันชัดๆง่ายๆนั่นแหละคือพระนิพพาน เพียงแต่เย็นเป็นทางกลับร้อนอีกไม่ได้คำว่านิพพานมันก็แปลว่าหมดแห่งความร้อนดับไฟแห่งความร้อนหมดสิ้นมันก็คือเย็นคือไม่ร้อนทำชีวิตที่นี่ตรงนี้เดี๋ยวนี้ให้มันเย็นได้ก็คือเป้าหมายแห่งชีวิตมันอยู่ที่ตรงนี้จุดหมายปลายทางแห่งชีวิตมันอยู่ที่ตรงนี้คือมันอยู่ในชีวิตนั่นเองทำชีวิตให้เย็นก็ถึงจุดหมายปลายทางแห่งชีวิตที่นี่เดี๋ยวนี้ไม่ต้องต่อตายแล้วไม่หวังตายแล้วมันก็ไม่มีประโยชน์อะไรกันให้เรา อยู่ที่นี่ก็เป็นดังกล่าวไปคิดดูทำให้มันทันแก่เวลาอย่าให้เป็นหมันเปล่าถ้าถึงเป้าหมายแห่งชีวิตคือความเย็นสนิทแห่งชีวิตก็มีธรรมมะพอ ปัญญาพอ มีสติพอ มันก็พอทั้งนั้นแหละต้องการเท่านั้นแหละเมื่อมีสติพอ มีปัญญาพอมันก็มีชีวิตอยู่อย่างถูกต้องเรื่อยไปเมื่อชีวิตมันอยู่อย่างถูกต้องกิเลสหรือไฟก็เกิดไม่ได้มันก็หมดเรื่องหมดปัญหามีชีวิตอยู่อย่างถูกต้องไฟเกิดไม่ได้ในชีวิตมันก็หมดปัญหาคือมันเย็นเอาเป็นว่าอาตมาได้ตอบคำถามของท่านที่ได้เสนอขึ้นมาว่าเป้าหมายแห่งชีวิตคืออะไรรวมความว่าชีวิตทำให้เย็นได้เมื่อได้เย็นสูงสุดได้นั่นคือเป้าหมายแห่งชีวิต เห็นว่าการบรรยายนี้สมควรแก่เวลาแล้วก็ขอยุติการบรรยายด้วยความหวังว่าท่านทั้งหลายนั้นคงจะมีความรู้ความเข้าใจไปจัดการกับไอ้สิ่งที่เรียกว่าชีวิตนั่นให้ได้รับประโยชน์ยิ่งขึ้นกว่าที่แล้วมาจงทุกๆคนเทิอญขอยุติการบรรยายไว้เพียงเท่านี้
http://www.vcharkarn.com/varticle/33045