หลวงพ่อปานพาคณะศิษย์ออกธุดงค์
พบโขลงช้างที่สระบุรี
หลวงพ่อฤๅษีฯ ได้เล่าเรื่องหลวงพ่อปานนำคณะศิษย์ อันมี หลวงพ่อฤๅษีฯ พระเขียน และพระเพื่อนของหลวงพ่อฤๅษีฯ ที่ท่านเรียกว่า “จ้าลิงขาว และ “เจ้าลิงเล็ก” รวมเป็น 4 รูป ออกธุดงค์ไว้ว่า
หลวงพ่อปานท่านสมาทานกับหลวงพ่อสุ่น วัดบางปลาหมอ อ.บางบาล จ.พระนครศรีอยุธยา พระอุปัชฌาย์ของท่าน เมื่อสมาทานแล้ว (คำว่าสมาทานคือ ขอเรียนวิธีปฏิบัติตนเมื่อขณะไปธุดงค์) ท่านก็ออกเดินทางมุ่งหน้าไปพระพุทธบาท สมัยนั้นหารถยนต์เรือยนต์ได้ที่ไหน ต้องใช้รถเท้าหรือถ่อกันทั้งนั้น
เมื่อเข้าเขตสระบุรี ท่านเห็นป่าแห่งหนึ่งว่าทุ่งว่างประมาณร้อยไร่ เห็นหมู่บ้านไกลจากทุ่งประมาณ 2 กม. ท่านเป็นหัวหน้า มีพระติดตามมาอีก 4 องค์ รวมเป็น 5 องค์ทั้งท่าน สมัยนั้นพระออกธุดงค์อย่างมากไม่เกินชุดละ 5 องค์ ทั้งนี้เพื่อไม่ให้ลำบากชาวบ้านที่จะสงเคราะห์ เมื่อท่านเห็นเหมาะ ท่านสั่งพลพรรคปักกลดตามระเบียบของธุดงค์ เมื่อปักกลดแล้วจะมีอันตรายขนาดไหนก็ตามจะถอนกลดหนีไม่ได้ ต้องยอมตายเพื่อธรรมเสมอ
เมื่อท่านจะปักกลด ท่านเลือกชัยภูมิที่ท่านเห็นว่าเหมาะสม คือ เลือกเอาปากทางที่ออกมาจากป่า มีทางเดินออกจากป่าทางเดียว ตรงนั้นมีแอ่งน้ำแต่แห้ง แล้วท่านปักกลดตรงแอ่ง กลดของท่านคลุมปากแอ่งน้ำ ทุกองค์ต่างปักกลดเสร็จ พอเรียบร้อย ชาวบ้านที่เป็นเจ้าของที่ในป่าที่มองเห็นมีบ้านประมาณ 4 หลังคาเรือน เมื่อเขามองเห็นสีเหลืองก็ทราบว่าเป็นพระมาปักกลด ต่างก็พากันออกมา นำน้ำตาลน้ำดื่มมาถวาย เมื่อพระฉันครบแล้ว เขาก็บอกว่าที่ทุ่งนี้มีโขลงช้างอยู่ 1 โขลง มันอาศัยอยู่ในป่านี้ มันออกมาอาละวาดเสมอ พระที่มาปักกลดทุ่งนี้ตายเพราะช้างหลายองค์แล้ว เขาขอให้ถอนกลดไปปักใกล้บ้านเขาจะได้ไม่มีภัย ถ้าหากมีก็จะได้ช่วยทัน
หลวงพ่อท่านรักธรรมวินัยยิ่งกว่าชีวิต ท่านบอกว่า เมื่อปักกลดแล้วถอนไม่ได้ ถ้าจะมีอันตรายถึงตายก็ยอม เพราะมาเพื่อตายกับธรรม ไม่ใช่มาแสวงหาความสุขทางกาย ชาวบ้านจะอ้อนวอนเท่าไรท่านก็ยืนยันระเบียบ พวกเขาก็จนปัญญา เมื่อเขาหวังดีแต่ไม่มีผล ต่างก็สั่งว่าถ้าบังเอิญช้างออกมาให้เคาะฝาบาตรเขาจะรีบมาช่วย
เมื่อเวลาใกล้ค่ำ เขาก็พากันกลับ ก่อนกลับแสดงความห่วงใยมาก เมื่อชาวบ้านกลับ พระก็ต่างเข้าเจริญกรรมฐานตามความสามารถของตน
เวลาผ่านไปประมาณ 22 น. ปรากฏว่าฝูงช้างออกมาจากป่าจริง ๆ เมื่อพระจะเจริญกรรมฐาน หลวงพ่อปานท่านก็สั่งให้พวกพระทั้งหมดตั้งอยู่ในพรหมวิหาร 4 ทำให้เป็นฌาน ให้แผ่เมตตาไปทั่วจักรวาลแล้วจึงพิจารณาตามอารมณ์วิปัสสนาหรือภาวนาตามแบบสมถะ ท่านมีอาวุธของท่านครบทุกองค์ พระต่างใช้พรหมวิหารเป็นหลัก เมื่ออารมณ์สบายก็ทรงฌานตามปกติ มันเป็นเรื่องง่าย ๆ สำหรับพระธุดงค์สมัยนั้น
เมื่อฝูงช้างปรากฏ มีช้างตัวใหญ่ประเภทสีดอ ช้างงาสั้น ตัวใหญ่มาก ออกมาก่อนช้างตัวอื่น มายืนคร่อมกลดหลวงพ่อปานไว้ ด้วยท่านปักกลดปากทางออกพอดี ช้างตัวอื่นเมื่อจะออกมาต่างก็ต้องเบียดช้างตัวใหญ่ออกมาแล้วเดินไปตามทางเฉย ๆ ไม่มีใครสนใจกลดพระเลย เมื่อโขลงช้างตัวปกติออกไปหมดแล้ว ช้างตัวเอกจอมเกเรมาล่าสุด
ชาวบ้านเรียกมันว่าไอ้เก เพราะงามันบิดเกไม่ตรงอยู่ข้างหนึ่ง พ่อเก พระเอกของโขลงออกมาแล้ว แกเดินแบบคนเก ตอนนั้นเป็นตอนข้างขึ้น เดือนสว่างมากเพราะใกล้กลางเดือน พระเห็นช้างถนัดทุกเชือก นายเกเมื่อเดินมาถึงทุ่งกว้างแทนที่แกจะเดินเข้าป่าตรงข้ามอย่างเชือกอื่น แกก็เริ่มวางท่าทางเกของแกออกมา เมื่อแกเหลียวซ้ายแลขวามองเห็นกลดพระธุดงค์ที่ปักอยู่เป็นระยะ แกมองด้วยใจที่ไม่เป็นมิตร แล้วก็วิ่งเข้าใส่กลดหลวงพ่อปานทันที
หลวงพ่อฤๅษีฯ เขียนไว้ว่า
“ท่านบอกว่าตอนนั้นฉันมีอารมณ์เป็นปกติ ฉันคิดถึงพระโพธิญาณเป็นอารมณ์ คิดว่าตายเมื่อไรฉันก็จะสบาย คือไปนอนรอเวลาที่ชั้นดุสิต ท่านบอกว่า ท่านไปของท่านเป็นปกติ จนมีอารมณ์รักชั้นดุสิตเป็นกำลังใหญ่ และพอใจพระโพธิญาณยิ่งกว่าอะไรทั้งหมด
เมื่อเจ้าเกวิ่งเข้ามา ท่านบอกว่า ท่านไปนอนดูมันอยู่ชั้นดุสิต แบบนี้จะหวาดหวั่นอะไร สำหรับพระที่ไปด้วยท่านบอกว่า ฉันมองดูใจเขาทุกองค์ เขาเอาใจจดจ่อพระนิพพานทุกองค์ ฉันเลยสบายใจที่ฉันมีเพื่อน ไม่เสียทีที่ร่วมทางกันมา”
เมื่อเจ้าเกวิ่งมาใกล้กลดหลวงพ่อปาน พอได้ระยะงวงของเจ้าสีดอที่ยืนคร่อมกลดหลวงพ่อปานอยู่ เจ้าสีดอก็เอางวงเหวี่ยงเจ้าเกเข้า 3 ปับ ฟาดแต่ละทีเจ้าเกหัวซุนเกือบทิ่มดิน เมื่อหวดเข้า 3 ทีแล้วก็จับงาเจ้าเกบิด หลวงพ่อปานท่านว่า ที่งามันเกคงจะเป็นเพราะอานิสงส์เกเรของมันที่ถูกนายของมันจับงาบิดนั่นเอง เมื่อถูกบิดงา เจ้าเกก็เสียหลักล้มลงอย่างแรง เมื่อนายมันปล่อย ปรากฏว่าหมดแรง เดินอย่างช้างสิ้นกำลังเข้าป่าตรงข้ามไป
เมื่อเจ้าเกไปแล้วสักครู่ นายมันเดินวนเวียนสักพักใหญ่ เห็นพระไม่มีอันตราย ไม่มีใครมารบกวน แล้วก็หันมาทางกลดพระคุกเข่าลงชูงวงขึ้น ทำท่าเหมือนจะไหว้ แล้วก็ตามโขลงช้างลูกน้องไป
แม้เมื่อช้างไปแล้ว แต่พระธุดงค์ก็ยังไม่ปลอดภัย คราวนี้ไม่ใช่เสือมารบกวน แต่เป็นเรื่องของ ธรรมชาติ ขณะนั้นพระจันทร์ที่กำลังส่องสว่างอยู่บนท้องฟ้าดี ๆ มีดาวล้อมดูสวยสดงดงามในราตรีนั้น เพียงชั่วเวลาที่ช้างไปไม่ถึงครึ่งชั่วโมง อากาศก็มืดเอาเฉย ๆ มืดจนมองไม่เห็นแสงเดือนและดาว ท้องฟ้าเริ่มต่ำ หยาดน้ำเริ่มไหลลงจากฟากฟ้า มันมาแบบไม่คอยใคร ต่างคนต่างแย่งกันมา
พระธุดงค์มีระเบียบว่าปักกลดแล้วถอนไม่ได้ยอมตายกับธรรม เมื่อช้างไป ฝนมา คราวนี้เจ้าสีดอยอดเมตตาไม่มาช่วยแล้ว ด้วยตัวเองก็อาจจะกำลังหนีฝน ฝนกระหน่ำชนิดลืมหูลืมตาไม่ขึ้น พระนั่งไม่ได้ต้องยืนในกลด ออกก็ไม่ได้ ขณะที่ยืนปรากฏว่าพระลูกน้องปักกลดบนพื้นดินปกติ น้ำท่วมขึ้นมาถึงเข่า ส่วนหลวงพ่อปานเองท่านว่า แอ่งมันลึกกว่าพื้นดินประมาณ 1 ศอก น้ำขึ้นมาถึงโคนขา
กว่าฝนจะหายก็ผ่านไปเกือบ 2 ชม. โดยประมาณ เมื่อฝนหายแล้วพื้นแผ่นดินไม่แห้ง พระทุกองค์ต่างก็เอาบาตรมารองนั่งตาม ๆ กัน
รุ่งเช้าชาวบ้านมาแต่เช้า เห็นพระไม่ตายเพราะอ้ายเก ต่างพากันเลื่อมใสมาก เมื่อเห็นพระเปียกไม่มีผ้าแทน ก็เอาผ้าพื้นผ้านุ่งผู้ชายนุ่งแทนจนกว่าผ้าเดิมจะแห้ง
ชาวบ้าน 5 หลังคาเรือนเลื่อมใสท่าน ขอให้อยู่โปรด 3 วัน เมื่อจะจากไปเขาขอของป้องกันเจ้าเก ท่านให้คาถาบทใหญ่และสำคัญที่สุดไว้ คาถาบทนั้นคือ “พุทโธ” โดยก่อนภาวนาขอให้นึกถึงบารมีพระพุทธเจ้าก่อน และแผ่เมตตาถึงเจ้าเกประกาศเป็นสัมพันธมิตรกัน ไม่เบียดเบียนซึ่งกันและกัน แล้วจึงภาวนาคาถา
ปีต่อไป เมื่อหลวงพ่อปานท่านผ่านไปแถวนั้น ต้องปักกลดที่นั่นทุกปี ด้วยชาวบ้านเขาขอร้อง ปรากฏว่าคาถาของท่านได้ผล เขาพากันบอกว่านับตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมาเจ้าเกไม่เคยอาละวาดเลย ในกาลก่อนเคยทำลายฟ่อนข้าวและทรัพย์สิน เห็นคนก็ไล่แทง เมื่อได้คาถาแล้ว มันมามันก็ไม่อยากมอง เดินก้มหน้าก้มตาไปเฉย ๆ
หลวงพ่อปานไหว้พระพุทธบาท
เมื่อหลวงพ่อปานและคณะของท่านอำลาชาวบ้านหมู่นั้นแล้ว ท่านก็มุ่งเข้าเขตพระพุทธบาท สมัยนั้นทางเข้าพระพุทธบาทไม่มีทางรถ ใช้ทางเกวียนหรือทางเดินเท้าของชาวบ้าน เมื่อเข้าพระพุทธบาทแล้วต่างก็นมัสการ เวลาที่เข้านมัสการไม่ตรงกับเทศกาลนมัสการพระพุทธบาท
หลวงพ่อปานท่านให้ความเห็นว่า การมานมัสการในงานเทศกาลนั้น คนแย่งกันไหว้ อารมณ์ตั้งมั่นน้อย มาไหว้แบบนี้เงียบสงัด อารมณ์เยือกเย็น มีปีติโสมนัสดีกว่าไหว้ในงานเทศกาลมาก
เมื่อไปถึงนั้น เวลายังไม่ใกล้ค่ำ เมื่อมีเวลาเหลือมาก ท่านก็คุยเรื่องพระพุทธบาทให้คณะที่ร่วมทางไปด้วยฟัง เพื่อเป็นการฝึกคณะธุดงค์ที่ไปกับท่านด้วย ท่านจึงสั่งว่า
“ประวัติที่เขาเขียนจะเขียนว่าอย่างไรอย่าคำนึงถึง ทุกองค์จงใช้หลักวิชชา 3 ใช้ให้เป็นประโยชน์ (คำว่าวิชา 3 หมายถึงอภิญญาเล็ก คือมีทิพยจักษุญาณและปุพเพนิวาสานุสสติญาณ) ท่านให้เวลาคนละ 3 นาที แล้วต่างคนต่างให้เขียนตอบท่านว่ามีอะไรสำคัญ”
ทุกองค์เมื่อรับบัญชา ต่างก็หยิบกระดานที่ติดตัวไปออกมา ซึ่งทุกองค์ต่างก็เขียนตรงกัน ว่า
“ที่นี่มีความสำคัญทางพุทธศาสนาจริง นอกจากมีรอยพระพุทธบาทที่ไม่ปลอม ซ่อนอยู่ใต้รอยพระพุทธบาทเทียมที่มีผู้สร้างคลุมของเก่าไว้แล้ว ยังมีพระบรมสารีริกธาตุที่พระอรหันต์ท่านนำมาบรรจุไว้อีก 3 องค์”
เมื่อทุกองค์ส่งหนังสือถวายหลวงพ่อปาน ท่านอ่านแล้วก็ยิ้ม กล่าวว่า
“พวกเธอพอใช้ได้ แต่ยังไม่ดีแท้ เอาเท่านี้พอคุ้มตัวได้ คืนนี้มาพิสูจน์ความจริงกัน ที่พวกเธอว่ามีพระบรมสารีริกธาตุ พระบรมธาตุมีที่ไหนต้องมีปาฏิหาริย์ที่นั่น
เรื่องปาฏิหาริย์ของพระบรมธาตุเป็นภาระของฉัน พวกเธอยังมีกำลังอ่อน เชิญท่านอาจไม่ปรากฏ ขอให้เธอจงปล่อยให้เป็นภาระของฉัน โน่นต้นไม้ใบไม้ที่กำลังร่วงโรยหรือสดใส จงไปพิจารณาให้เป็นวิปัสสนาญาณ วิปัสสนาไม่ใช่เกาะแต่ตำรา จงหาของจริงมาใคร่ครวญ วิปัสสนาท่านให้ดูของจริง ไม่ใช่มัวถ่างตาดูแต่ตำราแล้วก็ติดตำราแจ ของจริงไม่ใช้จะได้อะไรเป็นที่พึ่ง”
ท่านว่าแล้วท่านก็ให้คณะของท่านให้หาที่พักตามสบาย แต่ต่างคนต่างอยู่ ห้ามรวมกันตั้งแต่ 2 องค์ขึ้นไป
ปาฏิหาริย์พระบรมธาตุ
เมื่อเวลาใกล้ค่ำ คณะห้าธุดงค์มีหลวงพ่อปานเป็นประมุข ต่างก็หาที่ปักกลดตามที่ตนเห็นสมควร เมื่อปักกลดเสร็จ ทำวัตรสวดมนต์ตามระเบียบ
เมื่อยามค่ำมาถึงเวลาประมาณ 20 น. อากาศกำลังสบาย หลวงพ่อปานท่านก็เรียกพระเข้าประชุม ให้ทุกองค์ทรงพุทธานุสสติกรรมฐาน จนอารมณ์ทรงฌานตามความพอใจของท่าน
เมื่อทุกองค์ทรงฌานอยู่ในระดับที่ท่านพอใจแล้ว ท่านสั่งให้ทุกคนถอนออกจากฌาน ตั้งอารมณ์อยู่อุปจารสมาธิ เรื่องนี้เป็นเรื่องปกติของพระชุดนั้น เมื่อทุกองค์ทรงอุปจารสมาธิพร้อมแล้ว หลวงพ่อปานท่านก็เปล่งวาจาดัง ๆ ว่า
“ด้วยข้าฯ เคยบำเพ็ญบารมีมาตั้งแต่ต้นจนถึงปัจจุบัน ถ้าการบำเพ็ญบารมีนี้จะเป็นปัจจัยให้ข้าฯ ได้บรรลุพระโพธิญาณในอนาคตแล้ว ขอสมเด็จองค์พระประทีปแก้วสัมมาสัมพุทธเจ้า โปรดแสดงปาฏิหาริย์ให้เป็นมหัศจรรย์ จะเป็นปาฏิหาริย์อย่างใดอย่างหนึ่งก็ได้ตามแต่พระพุทธองค์จะทรงเมตตา เพื่อปลูกฝังศรัทธาของพระที่ร่วมเดินทางมา ณ บัดนี้เถิดพระพุทธเจ้าข้า”
แล้วท่านก็เข้าสมาธิ บรรดาคณะศิษย์ทั้งหลายก็เข้าสมาธิบ้าง เวลาผ่านไปไม่ถึง 2 นาที ก็ปรากฏเป็นดวงดาวดวงใหญ่ ประมาณว่าผ่าศูนย์กลางสัก 200 เซนต์กว่า ใหญ่เหลือเกิน ขึ้นมาจากยอดเขาที่พระพุทธบาท มี 3 ดวงด้วยกัน มีแสงสว่างมาก
หลวงพ่อปานมีคำสั่งให้บรรดาศิษย์ทั้งหลายลืมตาชมพระพุทธบารมี
ดวงดาวดวงนั้นตั้งอยู่ที่ยอดเขานานประมาณครึ่งชั่วโมง แล้วก็ลอยวนรอบเขา 3 รอบ แล้วมาตั้งอยู่ที่พระพุทธบาทนานประมาณ 1 ชั่วโมง แล้วค่อย ๆ เลื่อนไปที่เดิมอย่างช้า ๆ
หลวงพ่อปานท่านกราบ พวกศิษย์ทั้งหลายก็กราบตามด้วยอารมณ์ปีติชุ่มชื่น เมื่อดวงดาวหายเข้าที่เดิม หลวงพ่อสั่งเจริญพุทธานุสสติตลอดเวลาที่ตื่นอยู่
คณะศิษย์ทั้งหมดเกิดธรรมปีติอย่างบอกไม่ถูก ตลอดคืนไม่มีใครหลับ อารมณ์โพลงตลอดคืน อารมณ์สมถะและภาวนาแจ่มใสกว่าที่เคยทำมาแล้วหลายเท่า
ต่างเชื่อมั่นในพระพุทธศาสนาอย่างไม่มีอะไรสงสัย
ต่างเชื่อมั่นในหลวงพ่อปานว่าท่านเป็นพระโพธิสัตว์ที่มีบารมีแก่กล้าจริง
http://www.dharma-gateway.com/