ประมวลเรื่องที่เป็นประโยชน์สำหรับฆราวาส โดย ท่านพุทธทาส ภิกขุ
หน้าที่ 1 – ถ้าทำได้ถึงที่สุดมันก็ถึงที่สุดแห่งการดับทุกข์
ได้ทราบว่าท่านทั้งหลายต้องการจะไปฟังเรื่องสำหรับผู้ที่จะลาสิกขาผมก็จะพูดโดยอนุวัฒน์คือเรื่องนั้นคือเราจะประมวลในเรื่องต่างๆตามที่ได้ศึกษามาตลอดเวลาที่บวชนี่เข้าด้วยกันหาดูหลักสำคัญว่าเรื่องนั้นจะไปใช้ประโยชน์ได้อย่างไรสำหรับผู้ที่จะครองชีวิตอย่างฆารวาสในธรรมมะนั้นมันเป็นเรื่องของความดับทุกข์โดยตรงและก็ไม่ได้แยกเป็นเรื่องฆารวาสหรือเรื่องบรรพชิตพระพุทธเจ้าท่านวางแนวไว้แนวเดียวเท่านั้นอย่างเดียวเท่านั้นแต่ว่าระเบียบนั้นมันสะดวกสำหรับผู้ที่จะเป็นบรรพชิตในบรรพชิตจะปฎิบัติโดยง่ายโดยสะดวกโดยเร็วฆารวาสนั้นจะต้องลำบากบ้างและก็ช้าบ้างแต่ก็ปฎิบัติโดยหลักเดียวกันนั้นแหละคือว่าความยึดถือเป็นเหตุให้ดับทุกข์ความไม่ยึดถือก็ไม่ทุกข์เท่านั้นคำศัพท์ของพระองค์ที่ทรงยืนยันเป็นหลักเขาว่าเราพูดเราบัญญัติแต่เรื่องความทุกข์ความดับทุกข์เท่านั้นและตั้งคำถามอย่างอื่นไม่รู้จะไม่ตักตอบจะพลัดเพี้ยนอะไรก่อนมาพูดเรื่องนี้กันดีกว่ามาพูดเรื่องทุกข์เรื่องเหตุให้เกิดทุกข์เรื่องดับทุกข์เรื่องทางแห่งการดับทุกข์
ถ้าทำได้ถึงที่สุดมันก็ถึงที่สุดแห่งการดับทุกข์เมื่อเป็นพระอรหันต์จึงเหนือกว่าความเป็นฆารวาสและเหนือกว่าความเป็นบรรพชิตซะอีกนี่เรามันยังจะต้องเป็นก็ต้องเป็นอยู่อย่างฆารวาสก็พยายามทำให้ดีที่สุดที่ฆารวาสจะทำได้อย่างไรถ้าว่าจะพูดถึงการไปนิพพานคือไปจนถึงจุดที่สูงสุดเปรียบเสมือนการเดินไกลการเป็นบรรพชิตก็เหมือนการเดินตัวเปล่าอย่างมากก็มีบาตรกับจีวรที่ต้องถือเอาไปซ่อนมารวาสส่วนฆารวาสเปรียบเหมือนกับว่า แบกบ้านแบกเรือนแบกวัวควายไร่นาไปด้วยน่าน่าสังเวชก็น่าสังเวช แต่เดี๋ยวนี้ยังเป็นอย่างนั้นก็ยังเป็นอย่างนั้นมันก็ต้องทำให้ดีที่สุดเท่าที่จะทำได้และด้วยเหตุนี้ที่ธรรมมะไม่ใช่ของฆารวาสหรือบรรพชิตโดยเฉพาะถ้าใครปฎิบัติถูกต้องมันก็ช่วยได้เราจึงมุ่งหมายที่จะเป็นฆารวาสชนิดที่จะเอาธรรมมะมาใช้ให้เป็นประโยชน์ให้ได้ให้มากที่สุดที่ผมมีหลักอย่างนี้หลักธรรมมะของพระพุทธศาสนามีแนวเดียวเท่านั้นสะดวกสำหรับบรรพชิตจะปฎิบัติได้โดยเร็วถ้าฆราวาสต้องปฎิบัติแนวเดียวกันนั้นมันก็ช้าฉันก็ยืนยันว่ามันยังต้องปฎิบัติแนวเดียวกันมิฉะนั้นจะเป็นทุกข์ มิฉะนั้นจะเป็นทุกข์ในนี้ก็มีครูบาอาจารย์ทั้งหลายเข้ามาแยกกันเขาว่าพระหรือบรรพชิตจะเป็นนิพพานต้องปฎิบัติแนวหนึ่งที่จะอยู่ครองเรือนในโลกนี้ก็ต้องมีอีกแนวหนึ่งอีกเรื่องอีกระบบหนึ่งเดียวได้นั้นที่เขาพูดอย่างนั้นดูเขาจะมุ่งหมายเรื่องฆราวาสจะร่ำจะรวยด้วยทรัพย์สมบัติเกียรติยศชื่อเสียงอย่างนั้นมากกว่าเขาจึงให้ถือกันสักคนละอย่างไม่ถืออย่างหลักหลักเพียงหลักเดียวข้อเดียวสายเดียวสำหรับความดับทุกข์เชื่อว่าความดับทุกข์ต้องดับกันอย่างนี้เมื่อ2-3วันนี้ก็มีคนเขียนจดหมายมาถามทำนองให้พิสูจน์คือว่าเขาไม่เชื่อในเรื่องคำสอนเรื่องสุนยตานั้นใช้ได้แก่ฆราวาสเขาก็จะคิดว่าผมว่าเอาเองเขาจึงเขียนมาถามว่าไอ้เรื่องที่พระพุทธเจ้าสอนเรื่องสุนยตาแก่ฆราวาสมันอยู่ในพระไตรปิฎกเล่มไหนหน้าไหนแต่ว่าเขาเห็นพระพุทธเจ้าสอนแต่เรื่องประโยชน์ปัจจุบัน4อย่าง พุธทา ฆารปะทา อลักคสัมปทา พวกนั้นเขาอ้างว่าพระไตรปิฎกเล่มนั้นเล่มนั้นมันก็เหมือนกันเนี้ยแสดงว่ามีคนที่ไม่ยอมเข้าใจเรื่องตัวแท้ของพระพุทธศาสนาคือสุนยตา อนัตตาต้องใช้กับฆราวาสมันต้องใช้กับฆราวาสแต่เขาไม่ยอมเชื่อเขาว่ามันจะเป็นอุปสรรคซะอีกจะเป็นเครื่องกีดกั้นทำลายความเจริญของฆรวาาสเสียอีกเขาเข้าใจว่านั้นถ้าเอาเรื่องสุนยตา อนัตตา มาให้แก่ฆราวาสก็จะเป็นเครื่องขัดขวางความก้าวหน้าของฆราวาสเนี้ยมันไขว้กันอยู่คุณจะต้องจับใจความของเรื่องหรือมองเห็นใจความของเรื่องให้ดีๆเกี่ยวกับเรื่องนี้แหละเรื่องที่จะดับทุกข์กันได้จริงไม่มีเรื่องอื่นนอกจากเรื่องไม่ยึดมั่นถือมั่นคือเรื่องสุนยตา อนัตตานั่นเองเรื่องอื่นมันดับทุกข์ไม่ได้มันเป็นเรื่องยึดถือมันก็ดับทุกข์ไม่ได้ถ้าเป็นเรื่องปล่อยวางมันก็ดับทุกข์ได้และถ้าปล่อยวางไม่ต้องเห็นเรื่องอนัตตาหรือสุนยตามันจึงจะปล่อยหรือว่ามันจึงจะไม่มีที่ที่ยึดมั่นถือมั่นนี่ผมมองไปในทางที่ว่าฆารวาสนั้นจะต้องมีความทุกข์มากกว่าบรรพชิตอยู่อย่างฆราวาสจะเต็มไปด้วยความทุกข์คือปัญหาต่างๆมากมายกว่าบรรพชิต
หน้าที่ 2 – ประโยชน์สำหรับฆราวาส
ในเมื่อจะเป็นฆราวาสให้ลุล่วงไปกว่าจะถึงประโยชน์ที่ต้องการนั้นเขาจะเอาอะไรมาเป็นเครื่องกำจัดความทุกข์ที่มันมีอยู่หรืออาจจะเกิดขึ้นตามแบบของฆราวาสอันแสนจะมากมายแล้วก็มองเห็นว่าเรื่องนี้เรื่องไม่ยึดมั่นถือมั่นที่ฆราวาสแท้ๆฆราสดิบๆที่บ้านนั่นแหละก็ต้องรู้จักเอามาใช้เพื่อขจัดในความทุกข์ความเดือนร้อนหรือปัญหาต่างๆออกไปมิฉะนั้นเขาจะทนทรมานมากเหมือนกับว่าเป็นโรคประสาท โรคจิตวิกลจริตไปเลยหรือว่าเขาจะฆ่าตัวตายได้ง่ายที่สุดแต่ถ้าว่าเขารู้จักใช้ประโยชน์จากสุนยตา อนัตตา เขาจะไม่ต้องเป็นอย่างนั้นคือโรคประสาทหรือโรคจิตไม่ต้องคิดไปทางฆ่าตัวตายเขาจะทำจิตใจให้มันปกติได้แล้วปฏิบัติหน้าที่ของฆราวาสไปอย่างได้ผลเป็นที่พอใจเนี้ยเป็นประเด็นสำคัญที่ว่าเราจะอยู่ในกองทุกข์ของฆรวาสโดยที่ไม่ต้องทุกข์มากมายนักไม่ต้องเป็นบ้า ไม่ต้องฆ่าตัวตาย
แล้วต้องใช้ธรรมมะอย่างเดียวกันกับที่ที่เขาใช้ดับทุกข์เพื่อไปนิพพานแต่ไม่ได้หมายความว่าในมาตรฐานที่เท่ากันมันก็ต้องลดหลั่นกันอยู่แต่ก็ต้องหลักเกณฑ์เดียวกันคือไม่ยึดมั่นถือมั่นเพราะว่าคนเรามันเป็นทุกข์ได้ก็ต่อเมื่อยึดมั่นถือมั่นทั้งนั้นแม้ในที่บางแห่งจะใช้คำว่าตัณหาคือความหยาบเป็นเหตุให้เกิดความทุกข์อย่างที่คุณเรียนมาในหนังสือเรียนเรื่องตัณหาทำให้เกิดทุกข์ที่นี่มันก็พูดว่าทุกข์เกิดมาจากความยึดมั่นถือมั่นก็เข้าใจว่ากรรมหลักมีตัณหาแล้วก็อุปทานที่มีความยึดมั่นถือมั่นและมีภพมีชาติและเกิดทุกข์นี่มันถูกด้วยกันทั้งนั้นแหละว่าตัณหาเป็นเหตุให้เกิดทุกข์ก็ถูกอุปทานเป็นเหตุให้เกิดทุกข์ก็ถูกเพราะว่าตัณหาเป็นเหตุให้เกิดอุปทานถ้าตัณหา ไม่ทำให้เกิดอุปทานมันก็ทำให้เกิดทุกข์ไม่ได้ตัณหาทำให้เกิดทุกข์ด้วยเหตุที่ทำให้เกิดอุปทาน ทานเป็นทางอุปทาน ที่นี่มันยังดีถ้าความยึดมั่นถือมั่นมันมีน้อย ตัณหาก็เกิดน้อยถ้ามีความยึดมั่นถือมั่นน้อยก็จะทำให้เกิดตัณหาได้ยากมันเป็น2ด้านอยู่ ตัณหาให้เกิดอุปทานคือความยึดถือแล้วก็เป็นทุกข์นั่นก็ทางหนึ่งทีนี้ถ้ามีอุปาทานแล้วทำให้เกิดตัณหาได้ง่ายได้มากตัณหาทำให้เกิดอุปทานอีกตอนหนึ่งอีกขั้นหนึ่งก็เป็นทุกข์ ก็ถือเอาตามพระพุทธภาษิตตรงๆอย่างที่เอามาเป็นบททำวัดสวดมนต์ที่ว่าสังฆิเตนะปันจุปาทานะคันทาทุกขาเมื่อกล่าวโดยสรุปแล้วขันทั้ง 5 ที่ประกอบด้วยอุปาทานคือตัวทุกข์เมื่อเราจะพูดให้สั้น โดยสรุปเลยขัน 5 นี่ประกอบด้วยอุปาทานเป็นตัวทุกข์หรือสิ่งต่างๆที่เกี่ยวกับมนุษย์นี่มันก็รวมอยู่ในขัน 5 ทั้งนั้นทรัพย์สมบัติเงินทองที่เป็นรูปขันความรู้สึกคิดนึกเกียรติยศชื่อเสียงความหวังอะไรต่างๆมันก็เป็นส่วนของขัน 5 ส่วนใดส่วนหนึ่งถ้าเรายึดขัน 5 ส่วนใดหรือทุกส่วนว่าเป็นตัวตนหรือเป็นของตนมันก็เป็นทุกข์เราจึงมีหลักอันใหม่ที่ว่าจะทำได้โดยที่ไม่ต้องยึดถือที่จะได้ไม่เป็นทุกข์แล้วการงานที่ทำก็สำเร็จด้วยนี้มันจะทำได้อย่างไรในขั้นแรกนี้ต้องไปสังเกตดูให้เห็นชัดซะก่อนว่าตัวความยึดถือคืออย่างไรแล้วมันยึดถือในอะไรอย่างที่คนเขายึดถือทรัพย์สมบัติเงินทองเกียรติยศชื่อเสียง ซึ่งเราก็เคยยึดถือมาแล้วก็พอจะเข้าใจได้ดีว่าเราว่าคนเรามันยึดถืออะไรอยู่คือมีความหมายมั่นสิ่งเหล่านั้นว่าเป็นตัวตนหรือเป็นของของตนยึดถือร่างกายนั้นเป็นตัวตนเป็นภายในยึดถือภายนอกคือทรัพย์สมบัติเกียรติยศชื่อเสียงไอ้ที่มันออกไปสำหรับอยู่ข้างนอกทั้งข้างในทั้งข้างนอกถูกยึดถือด้วยตัวตนถ้าจะศึกษาให้ถูกตัวเรื่องตัวจริงและก็ต้องศึกษาตัวนี้ข้อนี้เมื่อไรเรายึดถือให้รู้สึกความทุกข์และความยึดถือพร้อมกันไปทีเดียวเรามีความยึดถือในสิ่งที่เรากำลังหวังอยู่อย่างมากไม่ว่าอะไรมันแล้วแต่บุคคลคนไหนกำลังมี่การงานอย่างไรแล้วเขาก็มีสิ่งที่เขายึดถืออยู่ตามแบบนั้นๆจนมีบุตรภรรยาสามีก็เลยยึดถือบุตรภรรยาสามียึดถือเรื่องทุกข์หรือเรื่องที่เกี่ยวกับภรรยาสามีหรือเกียรติยศชื่อเสียงของเราถึงพูดเป็นตัวหนังไม่มีประโยชน์อะไรคุณต้องไปจับให้ได้ว่าจิตมีความยึดถือจริงๆหรือต้องไปเรียนอีกทีหนึ่งสึกออกไปแล้วต้องไปเรียนอีกทีหนึ่งจะไปเรียนสิ่งที่เข้ามาให้ยึดถือในการข้างหน้าให้รู้สึกตัวความยึดถือที่เกิดขึ้นในจิตและสิ่งที่มันยึดถือว่าผลอะไรมันเกิดขึ้นศึกษากันจริงๆอย่างนี้ไอ้ตอนนี้คือตอนที่จะพบพระพุทธศาสนาผมเคยพูดว่ายิ่งเรียนพระไตรปิฏกยิ่งไม่รู้พุทธศาสนามีคนด่าแต่ก็ยืนยันว่า
หน้าที่ 3 – ภาษาสัพพะทะศาสวรรณคดี
อย่างนั้นแหละถ้าเรียนดึกๆมาเรียนในแง่ของภาษาสัพพะทะศาสวรรณคดีสนุกไปเลยจะไม่รู้พุทธศาสนาถ้าได้รู้พุทธศาสนาก็ต้องเรียนลงไปที่ตัวความทุกข์ลองบอกมาซิว่าต้องบอกว่าต้องเรียนลงไปที่ความยึดถือโดยสิ่งที่ยึดถือผลของความยึดถือคือความทุกข์ให้มันรู้สึกด้วยใจเรียนไปด้วยจิตใจเรียนตัวชีวิตเรียนตัวความทุกข์นั่นแหละจะรู้จักพุทธศาสนาและรู้พุทธศาสนาท่านผู้เรียนพระไตรปิฏกตามวิธีที่เรียนๆกันอยู่นี่ไม่ถึงตัวพุทธศาสนามันถึงตัววิชาภาษาศาสตร์วรรณคดีอักษรศาสตร์ก็อยู่อย่างนั้นเองจริงๆว่าสึกออกไปนี้ต้องไปเรียนตัวพุทธศาสนาจริงๆคือทำจิตปกติแม้ว่าจะมีอะไรเข้ามาทำให้จิตผิดปกติที่ยึดถือหรือเป็นทุกข์ไม่ว่าอะไรหมดเราห่วงวิตกกังวลอะไรแล้วมันก็เป็นทุกข์แล้วมันก็เป็นความยึดถือความอยาก ความต้องการ ความห่วง ความหวัง ความสงสัยวิตกกังวลอะไรแล้วแต่จะคิดมีอีกหลาย 10ชื่อล้วนแต่เป็นความยึดถือทั้งนั้นยิ่งเดี๋ยวนี้เรามาถือว่าทุกคนต้องหวังต้องมีความหวังก็ต้องยิ่งหวังเขาถือหลักอย่างนั้นต้องอยู่ด้วยความหวังก็ต้องระวังให้ดีๆมันจะเป็นบ้าเราควรจะคิดให้ออกก่อนก็ได้ว่าเราควรต้องการอะไรหรือควรจะหวังอะไรเพราะคิดออกแล้วก็ทำไปหยุดความหวังเสียเถอะเพราะว่ารู้จะต้องทำอย่างไรจะได้อะไรแน่นอนแล้วจึงหยุดความหวังเสียเถอะแล้วทำ ทำ ทำ เรียกว่าทำโดยไม่ต้องหวังทำโดยไม่ต้องมีตัณหา ทำโดยไม่ต้องมีอุปาทานและไอ้งานนั้นจะไม่เป็นทุกข์ตลอดเวลานี่จึงพูดให้สั้นๆง่ายๆว่าเดี๋ยวนี้เราจะทำทุกอย่างโดยไม่ต้องมีตัณหาไม่ต้องมีความยึดถือคืออุปาทานจะเล่าเรียนก็ได้จะทำงานอาชีพก็ได้ก็ต้องทำโดยไม่มีความยึดถือได้เงินมาก็ได้มาอย่างไม่ต้องยึดถือจะใช้กินจะใช้บริโภคก็อย่าให้มันเกิดความยึดถือถ้าเก็บไว้จะเกิดความยึดถือจะทำให้เป็นประโยชน์ก็ว่าไปแต่อย่าทำด้วยความยึดถือทำด้วยอะไรก็ทำด้วยสติสัมปชันญะด้วยยากด้วยปัญญาด้วยความรู้สึกผิดชอบชั่วดีที่มันบอกว่าทำอย่างนี้จะได้อย่างนี้ทำอย่างนี้จะได้อย่างนี้เราต้องการจะได้อะไรเราก็ทำอย่างนั้นแต่จิตอย่าไปยึดถือ
อย่าไปหมายมั่นอย่าไปหวังชนิดที่เขาเรียกกันว่าความหวังมันจะทำให้ต้องทนทรมานหวังอะไรต้องการอะไรก็คิดกันเสียให้เสร็จให้มันเป็นเรื่องไปเลยว่าคิดเสร็จแล้วอยากจะได้อะไรควรจะได้อะไรทำอย่างอะไรในความหวังในความอยากหยุดซะเถอะดับซะเถอะเหลือแต่การกระทำด้วยสติปัญญาไหนจะสติสัมปชัญญะจะไม่มีความทุกข์จะหาเงินก็ดีจะหาเกียรติยศชื่อเสียงก็ดีจะหาความก้าวหน้าในการงานในชีวิตก็ดีค่อยทำไปด้วยสติสัมปชัญญะด้วยปัญญาอย่าทำด้วยกิเลศด้วยตัณหาด้วยอุปทานเพื่อผลข้อแรกจะไม่เป็นทุกข์จะเอาข้างไม่เป็นทุกข์ไว้ก่อนถ้าไม่อย่างนั้นจะเป็นทุกข์ถึงจะทรมานเรื่อยๆไปก็เป็นโรคประสาทเป็นโรคจิตเป็นวิกลจริตหรือถ้าว่ายึดถือมากไปก็จะถึงกับฆ่าตัวเองตายฆ่าผู้อื่นตายฆ่าลูกฆ่าเมียตายฆ่าพ่อฆ่าแม่ตายเพื่อไปศึกษาจากของจริงซึ่งแปลว่าเราจะฟันฝ่าชีวิตแบบฆราวาสผ่านไปได้โดยไม่ให้มันเป็นทุกข์ทรมานถึงขนาดที่เรียกว่าอันตรายแต่ที่จะทำไม่ให้เป็นทุกข์หรือลำบากกันเลยมันก็เป็นไปไม่ได้ ให้มันมีความทุกข์ลำบากแต่ทางกายหรือความเหน็ดเหนื่อยเป็นต้น แต่อย่าให้ทุกข์ทางใจอย่าให้มีความทุกข์ชนิดที่เป็นโรคประสาทมันเป็นเพียงเหน็ดเหนื่อยทางกายก็จะเป็นแต่น้อยที่สุดถ้าจิตไม่ยึดถือถ้าจิตยึดถือแล้วทางกายก็จะเหนื่อยมากจะรู้สึกเหนื่อยมากก็มันเหนื่อยทั้งทางกายและทางจิตฉะนั้นเราจะมีหลักให้มันเป็นทุกข์แต่น้อยหรือถ้าเก่งก็ไม่ต้องเป็นทุกข์เลยเก่งมากมิลปะมากก็ไม่ต้องเป็นทุกข์เลยฝ่าฟันในชีวิตฆราวาสไปนี่เราเรียกว่าต้องการหลักพื้นฐานโดยไม่เป็นทุกข์ทีนี้มันมีข้อพลอยได้ที่วิเศษที่สุดอีกอย่างคือมันจะสนุกนอกจากไม่เป็นทุกข์แล้วการงานที่ทำจะให้ความสนุกข้อนี้สำคัญมากตามความรู้สึกของผมแต่ไม่ค่อยมีใครเชื่อกี่คนเขาพยายามเชื่ออย่างที่ผมพูดที่ว่าไอ้การงานนี่แหละทำให้สนุกได้แล้วก็ยังได้ผลดีที่สุดด้วยแล้วแต่ว่าใครจะมีการงานอะไรชาวนาก็ต้องทำนา ช่างไม้ก็ต้องทำไม้หรือว่าคนค้าขายก็ต้องทำหน้าที่ทุกคนนักเรียนก็ต้องเรียนเรียกว่าการงานมีด้วยกันทุกคนและการงานก็เป็นเครื่องทรมานใจแก่ผู้ที่ยึดถือก็จะถือว่าเรานี้มันโชคร้ายอาภัพอัป
หน้าที่ 4 – การงานมันจะเป็นเหมือนการฝีมือไปเป็นศิลปะวัตถุเป็นงานฝีมือ
โชควาสนาน้อยต้องมาเป็นคนยากจนเหน็ดเหนื่อยอาบเงื่อนต่างน้ำมันก็เป็นทุกข์ทั้งนั้นเพราะมันมีความยึดถือแล้วเอามาคิดสำหรับจะยึดถือให้มีตัวตนที่กำลังยากจนกำลังโชคร้ายกำลังไม่มีวาสนาอย่างนี้เป็นต้นก็ลืมความยึดถือชนิดนั้นเสียคอยดูว่าเราก็มีเรี่ยวมีแรงธรรมชาติสร้างมามีกำลังกายมีกำลังใจก็ต้องใช้มันให้ดีที่สุดมีประโยชน์ที่สุดก็ทำให้ดีให้ละเอียดให้ปราณีตเป็นศิลปะที่สุดแล้วก็คอยพอใจยินดีในการที่เราทำได้ดีมีฝีมือสุดฝีมือแม้จะเป็นลูกจ้างเป็นเสมียนพนักงานเป็นคนชั้นผู้น้อยอยู่ใต้บังคับบัญชาก็จงพยายามหาความสุขจากการที่ทำงานดีที่สุดพอทำงานดีที่สุดก็สบายใจพอใจตัวเองก็มีความสุขนี้เราจะทำงานให้ดีที่สุดเราต้องมีจิตใจที่ปกติที่สุดจึงต้องลืมหมดไอ้เรื่องกิเลศตัณหาอะไรต่างๆเรื่องคิดไปในความยึดถือต้องลืมหมดแล้วก็ทำโดยจิตใจที่เป็นสมาธิด้วยจิตปกติด้วยกายปกติก็ทำสนุกไปคิดดูเถอะถ้าทำด้วยจิตชนิดนี้งานจะสนุกจะบวกเลขก็สนุกจะพิมพ์ดีดก็สนุกจะทำอะไรก็สนุกทำการงานให้สนุกได้ทุกอย่าง
ไอ้การงานมันจะเป็นเหมือนการฝีมือไปเป็นศิลปะวัตถุเป็นงานฝีมือไปแล้วเราก็สนุกถ้าการงานเป็นของหนักต้องทนทำเพราะความจำเป็นแล้วก็ต้องเป็นทุกข์เปลี่ยนให้มันเป็นงานฝีมือซะทำด้วยจิตใจที่ปราณีตด้วยร่างกายที่เหมาะสมมันก็ทำได้อย่างน่าดูรู้สึกเป็นสุขแล้วชีวิตนี้มันก็เป็นสุขได้ในตัวการงานนั่นเองบางคนเขาไม่ยอมเชื่อแล้วก็ไม่ยอมทดลองด้วยจะทำการงานให้เป็นสุขแต่เราก็ได้เห็นอยู่บ่อยๆเราเองก็เคยผ่านถ้าจิตใจของเรามันว่างจากความยึดถือเรื่องการงานมันสนุกแม้จะเหงื่อไหลใครย้อยอยู่มันก็สนุกเหมือนกับเราไปทำงานบางอย่างไปช่วยเพื่อนไปอะไรมันเกี่ยวกับเรื่องตัวเองมันก็สนุกอย่างว่าไปช่วยกันขนดินจิตใจก็ไม่ได้คิดนึกอะไรหมดนอกจากจะขนดินมันก็ขนดินสนุก แต่ถ้าเห็นเป็นงานต่ำต้อยเป็นงานชั้นเลวไม่สมแก่เรามันก็ไม่สนุกแล้วก็เป็นทุกข์เนี่ยจะเป็นจะมีปัญหาที่ไม่มีใครพยายามลองดูจึงหาความสุขในการงานผมอยากจะพูดอย่างดูถูกดูหมิ่นไปสักอย่างหนึ่งว่าไอ้คนทั้งหลายในโลกมันกำลังทนทุกข์เพราะการงานทั้งนั้นเพราะว่ามันไม่อยากทำงานโดยเนื้อแท้มันไม่อยากจะทำงานแต่มันต้องการจะได้เงินเดือนมันก็ทนทำงานมันก็ต้องทนทำงานเพื่อจะได้เงินเดือนเมื่อเป็นอย่างนี้การงานต้องเป็นของหนักและก็ทำให้เกิดความทนทุกข์เราต้องฝืนใจทำเราอยากหยุดเราอยากจะไปเที่ยวเล่นทำไมไม่สนุกในการงานถ้าอยากจะหยุดถึงเวลาหยุดรอเงินเดือนออกแล้วก็จะไปหัวหกก้นขวิดให้เป็นสุขกันถึงที่ไปสุขกันตอนโน้นไปสุขตอนที่บ้าในอบายมุขได้เงินเดือนไปบ้าในอบายมุขก็เป็นสุขเมื่อทำงานอยู่ยังไม่ถึงเงินเดือนออกอยู่แต่ละวันๆไม่สุขไม่มีความสุขฝืนใจทำคือไม่อยากทำนั่นเอง แต่มันต้องทำเพราะต้องการเงินเดือนมันจะเป็นอย่างนี้กันทั้งโลกเว้นแต่คนที่มีธรรมมะแล้วสนุกในการงานเขาก็มองเห็นว่าการทำงานนั่นแหละคือการปฎิบัติธรรมคือการทำหน้าที่ของมนุษย์คือการปฎิบัติธรรมถ้ามองเห็นอย่างนั้นเขาก็พอใจยินดีว่ามันเป็นการปฎิบัติธรรมและก็สนุกในการทำการงานคือการปฎิบัติธรรมเราไปคิดให้ดีมองให้เห็นว่าไอ้สิ่งที่เรียกว่าชีวิตมีชีวิตมันอยู่นิ่งไม่ได้คนก็ดีสัตว์เดรัชฉานก็ดีมันมีชีวิตมันมีกำลังมันอยู่นิ่งไม่ได้ร่างกายต้องเคลื่อนไหวจิตมันก็ต้องเคลื่อนไหวมันอยู่นิ่งไม่ได้เขาต้องใช้ความเคลื่อนไหวให้เป็นประโยชน์ทั้งทางกายและทางจิตก็ใช้ให้เป็นประโยชน์ก็คือทำหน้าที่ที่มนุษย์จะต้องทำหรือที่สิ่งมีชีวิตจะต้องทำถ้าเป็นสัตว์ก็ไม่ต้องการอะไรมากนอกจากการหากินก็ใช้การเคลื่อนไหวในการหากินหรือสืบพันธุ์ตามเรื่องตามราวของมันแต่ถ้ามนุษย์มันยังไปไกลกว่านั้นใช้เป็นประโยชน์แก่ผู้อื่นด้วยหรือในประโยชน์ที่มันสูงๆขึ้นไปในทางจิตใจด้วยท่านก็พยายามใช้กำลังกายกำลังจิตให้ทำหน้าที่ดีที่สุดของมนุษย์แล้วรู้สึกพอใจเป็นสุขสนุกสนานอยู่ในการกระทำเช่นนั้นนี่เรียกว่าทำงานด้วยจิตว่างหือว่าทำงานอย่างพระอริยเจ้าท่านทำไม่ได้หวังเงินเดือนไม่ได้หวังประโยชน์เป็นวัตถุตอบแทนแต่ทำไปโดยเห็นประจักษ์อยู่ว่าไอ้ชีวิตมันต้องเคลื่อนไหวตามธรรมชาติมันเป็นก็ถือโอกาสใช้มันเคลื่อนไหวนั้นให้เป็นประโยชน์นี้ประโยชน์คืออะไรประโยชน์ก็คือสิ่งที่จะทำ
หน้าที่ 5 – คนที่ไม่รู้จักเหงื่อคือคนมั่งมีจัดไว้เป็นฝ่ายเทวดา
ให้เป็นสุขแล้วก็อย่าประโยชน์แต่ส่วนตนให้มันเป็นประโยชน์แก่ผู้อื่นด้วยเพราะเราอยู่คนเดียวในโลกไม่ได้ให้นึกถึงคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าที่ท่านจะเน้นว่าประโยชน์ตนและประโยชน์ผู้อื่นให้ 2 ประโยชน์คู่กันไปเลยก็จำไว้ด้วยว่าพระพุทธเจ้าท่านประสงค์ให้ทุกคนทำประโยชน์ทั้ง 2 ที่ประโยชน์ตนและประโยชน์ผู้อื่นถ้าเห็นแค่ประโยชน์ตนแล้วมันเป็นความเห็นที่แคบเป็นความคิดของความเห็นแก่ตัวเป็นความโง่ชนิดหนึ่งถ้าเราเห็นแต่ประโยชน์ตัวแล้วเป็นความโง่ชนิดหนึ่งโดยไม่รู้ว่าเราอยู่ในโลกคนเดียวไม่ได้โดยตรงก็ไม่ได้โดยอ้อมก็ไม่ได้อย่างเราเป็นพระเป็นเณรเราไม่ต้องทำนาเราก็มีอาหารกินคิดดูสิว่ามีคนทำนาแต่ว่าคนอื่นก็ต้องมีหน้าที่ทำนาทำอะไรมาให้ได้กินสำหรับคนที่ไม่ต้องทำนาเรียกว่ามันอยู่คนเดียวในโลกไม่ได้นั้นการทำประโยชน์ก็ต้องนึกถึงผู้อื่นธรรมมะที่พระพุทธเจ้าท่านตรัสไว้เป็นประโยชน์ทั้งแก่เทวดาและมนุษย์มีศาสนาไว้ในโลกก็เพื่อประโยชน์ทั้งแก่เทวดาและมนุษย์ก็หมายความว่าทั้งคนที่ยากจนและคนมั่งมี ฉะนั้นคนที่ไม่รู้จักเหงื่อคือคนมั่งมีจัดไว้เป็นฝ่ายเทวดาคนยากจนต้องอยู่กับเหงื่อนี่เป็นมนุษย์ไอ้ธรรมมะนี่จำเป็นทั้งแก่คนที่ไม่รู้จักเหงื่อและคนที่ต้องอาบเหงื่อให้รวยเป็นเศรษฐีเป็นเทวดาเป็นเทวโลกก็ยังต้องการธรรมมะเพราะมันยังมีทุกข์เพราะความยึดถือเพราะความที่ธรรมชาติเป็นไปตามธรรมชาติเช่นความเกิดแก่เจ็บตายเป็นต้นนั้นอยู่ในโลกเป็นเศรษฐีท่านไหนก็ตามก็ยังมีความทุกข์ที่ต้องการธรรมะไม่เป็นเทวดาไปเป็นพรมในยมโลกก็ยังต้องการธรรมมะเพื่อจะแก้ความทุกข์อันเกิดมาจากความยึดถือเนี่ยทำให้มองเห็นว่าคนมั่งมีกับคนยากจนมันยังมีปัญหาอย่างเดียวกันคือความทุกข์เพราะความยึดถือเอาธรรมมะมาเป็นประโยชน์ทั้งแก่เทวดาและแก่มนุษย์ ซึ่งเรียกว่ามันห่างไกลกันมากมันมีช่องว่างที่ไกลกันมากระหว่างเทวดาและมนุษย์แต่ธรรมมะก็ยังเป็นที่ต้องการทั้ง 2ฝ่ายอยู่นั่นเองแม้ว่าจะมั่งทีสักเท่าไหร่จะยากจนสักเท่าไหร่มันก็ยังมีความทุกข์เพราะความยึดถืออย่างเดียวกันเสมอกันก็เลยมีความคิดกว้างออกไปว่ามันอยู่คนเดียวไม่ได้หรอกจะทำประโยชน์แต่ฝ่ายเดียวก็ไม่ได้มันจะไม่มีสงบในสังคมนั้นจึงถือว่าประโยชน์นั้นต้องเป็นไปทั้งตัวเองและทั้งผู้อื่นดูให้ดีแม้ในหมู่สัตว์เดรัจฉานมันก็ยังเป็นอยู่ชนิดที่เป็นประโยชน์แก่กันและกันเหมือนกันไอ้ตัวไหนที่อวดดีว่าเราจะอยู่คนเดียวเราจะตายคนเดียวไม่ช้ามันก็ต้องวินาศไอ้ตัวนั้น
ฉะนั้นแม้แต่สัตว์เดรัจฉานมันก็ยังต้องการเพื่อนทีมนุษย์ยิ่งกว่านั้นยิ่งต้องการเพื่อนที่จะช่วยสร้างประโยชน์ให้ยิ่งขึ้นไปขอให้รับรู้ไว้แต่เนิ่นๆหรือล่วงหน้าว่าเราต้องทำประโยชน์ทั้ง 2 ฝ่ายและก็ต้องทำด้วยความฉลาดเพราะธรรมมะคือไม่ต้องเป็นทุกข์งั้นเตรียมไว้ได้เลยที่จะลงโทษตัวเองติเตียนตัวเองเมื่อเกิดความทุกข์เนี่ยผมขอฝากไว้อย่างยิ่งยืนยันอย่างยิ่งในวันนี้ว่าให้ทุกคนไปยึดหลักว่าเราไม่ได้เกิดมาเพื่อความทุกข์ถ้าความทุกข์มันเกิดขึ้นในใจแล้วก็ก็รีบสลัดออกไปว่าเราไม่ได้เกิดมาเพื่อความทุกข์งั้นเราจะไม่เก็บความรู้สึกอันนี้ไว้เราจะเปลี่ยนมันให้เบ็นเรื่องความปกติแล้วก็ทำงานต่อไปถ้ามันยังมีความทุกข์เหลืออยู่ก็ต้องด่ามันไอ้ชาติหมาไอ้ชาติโง่ไอ้ชาติเลวระยำที่มันยังมีความทุกข์หรือสงวนเอาความทุกข์ไว้ก็แปลว่าไม่ยอมให้ความรู้สึกที่เป็นทุกข์มาตั้งรกรากอยู่บนจิตใจได้ถ้ายังรู้สึกเป็นทุกข์อยู่ก็ให้ถือซะว่าตัวเองมันยังโง่ ยังเลว ยังต่ำยังอะไรอยู่แต่อย่างน้อยมันก็เปลี่ยนความรู้สึกได้ด้วยอำนาจของสมาธิเพราะการบังคับจิตได้ด้วยอำนาจของสมาธิ
หน้าที่ 6 – ในการบริโภคใช้สอยเงินนั้น ต้องไม่มีความทุกข์ต้องทำด้วยความไม่ยึดถือ
เราบังคับจิตได้งั้นเราสลัดความรู้สึกเป็นทุกข์ออกไปเสียทื่อๆง่ายๆงั้นแหละปกติแล้วมาทำกันใหม่ทำอย่างอื่นไม่ ต้องเป็นทุกข์งั้นอย่าไปทนทุกข์อยู่เลยเพราะความโลภก็ดี เพราะความโกรธก็ดี เพราะความโง่ก็ดีอย่าให้มีเรื่องที่ต้องทนทุกข์อยู่เลยให้ใจคอปกติจะได้เรียกว่าเป็นมนุษย์คือสัตว์ที่มันมีจิตใจสูงไม่จมอยู่ในความทุกข์ถึงแม้ว่าเดี๋ยวนี้เราจะดับทุกข์ไม่ได้ยังไม่เป็นพระอรหันต์แต่เราจะถือรั้งว่าเราไม่ได้เกิดมาเพื่อความทุกข์เมื่อกูไม่ได้เกิดมาเพื่อความทุกข์กูจะไม่ยอมมีความรู้สึกที่เป็นทุกข์จะทำจิตใจให้ปกติไม่มีตัณหาไม่มีอุปาทานในสิ่งใดโยในยะที่กล่าวเป็นต้นแล้วในการจะเล่าเรียนก็ดี ในการจะทำงานก็ดี ในการหาเงินก็ดี ในการได้เงินก็ดี ในการเก็บเงินไว้ก็ดี ในการบริโภคใช้สอยเงินนั้นก็ดีต้องไม่มีความทุกข์ต้องทำด้วยความไม่ยึดถือล้วนเป็นสิ่งที่ทำได้จริงแต่น้อยคนจะยอมเชื่อเพราะไม่เข้าใจธรรมมะนั่นเองที่จริงว่าไปศึกษากันเสียใหม่ลาสิกขาออกไปแล้วไปศึกษาพุทธศาสนาที่แท้จริงกันเสียใหม่ระหว่างที่บวชนี่ยังไม่ศึกษาตัวจริงเพียงแต่อ่านเพียงแต่ฟังมันเป็นเพียงบันทึกของธรรมมะเท่านั้นไม่ใช่ตัวธรรมมะแท้มันเป็นบันทึกธรรมมะที่เอามาอ่าน มาเรียน มาสอน มาพูดกันอยู่ไม่ใช่ตัวธรรมมะแท้มันเป็นเพียงบันทึกของธรรมมะนี่เราได้พอแล้ว
ทีนี้ไปเผชิญกับความทุกข์นั่นแหละศึกษาไอ้ตัวความทุกข์นั่นแหละจะเป็นการศึกธรรมมะโดยตรงถ้ามีความทุกข์ก็ต้องจับเอาตัวมาศึกษาสลัดออกไปให้ได้จับตัวมาก็จะเห็นว่าอ้าวมันมีตัณหาหรืออุปาทานคือความยึดมั่นถือมั่นอย่างใดอย่างหนึ่งอยู่เสมอไปความทุกข์ไม่อาจจะเกิดมาเดี่ยวโดดได้ต้องอาศัยเหตุปัจจัยตัณหาก็ได้หรืออุปาทานก็ได้มันเรื่องเดียวกันเมื่อมีความอยากมันก็มีอุปาทานเมื่อมีตัณหาคือความอยากก็ต้องมีอุปาทานคือความยึดถือตามหลักในพระบาลีมันมีความอยากเกิดขึ้นเพราะการปรุงแต่งทางจิตใจเกิดจากความรู้สึกฉันอยากเอาอยากเป็นความอยากเฉยๆก่อนและหลังจากนั้นไอ้ความรู้สึกที่ตามมาคือฉันอยากฉันจะเอาให้ได้นี่มีฉันขึ้นมาตอนนี้เป็นอุปาทานตอนความรู้สึกอยากเป็นเพียงตัณหาฉันอร่อยอยู่ก็เกิดความอยากนึกถึงความอร่อยก็เกิดความอยากเมื่อความอยากเป็นไปถึงที่สุดมันกลายเป็นความรู้สึกว่าฉันอยากฉันจะต้องเอาให้ได้ฉันจะต้องมีให้ได้ฉันจะยึดครองฉันจะสะสมรวบรวมไว้ให้มันมีฉากขึ้นมาซึ่งเป็นมายาด้วยกันทั้งนั้นด้วยความอยากก็ดีตัวฉันผู้อยากก็ดีไม่ใช่ของจริงไม่ใช่ตัวจริงเป็นความรู้สึกของจิตและเป็นมายาเท่านั้นงั้นความทุกข์มันก็เป็นมายาเหตุให้เกิดทุกข์ก็เป็นมายา ฉะนั้นความทุกข์ก็เป็นมายาแต่เรามันทนไม่ไหวทั้งที่มันเป็นมายามันทนไม่ไหวมันมีความทุกข์เจ็บปวดรวดร้าวในใจเพราะจิตมันตั้งไว้ผิดมันเลยไปผิดมันเดินไปผิดมันก็ต้องมีผลอย่านี้เรียกว่าความทุกข์ทีนี้ขจัดต้นเหตุคือความยึดถือหมายมั่นยึดถือเสียมันก็ไม่ต้องมีความรู้สึกที่เป็นทุกข์มันมีความปกติได้ให้ดีต่อไปนี้คูณจะต้องศึกษาธรรมมะตัวจริงถ้าเรามีลูกมีเมียมีผัวมีอะไรก็ตามก็ไปศึกษาไอ้ตัวความรักตัวความยึดถือตัวความหมายมั่นว่าของฉันว่ามันเป็นอะไรยังไงนั่นมันมายาหรือมันเป็นของจริงมันเป็นความสำคัญมั่นหมายไปตามเหตุตามปัจจัยต้องไปหมายมั่นว่าของฉันมันก็มาอยู่บนหัวใจฉันไม่ว่าอะไรทั้งหมด ถ้าไม่สำคัญมั่นหมายไม่ยึดถือว่าเป็นของฉันมันก็อยู่ตามที่ของมันผัวเมียลูกหลานมันก็อยู่ตามที่ของมันไม่มาอยู่บนหัวคนนั้นพอมันยึดถือเป็นของฉันมันก็ไปอยู่บนหัวของคนนั้นที่อยู่ในจิตใจของคนนั้นวัวควายไร่นารถยนต์บ้านเรือนก็ตามเมื่อไม่ได้ยึดถือมันก็อยู่ตามที่นั้น แต่พอยึดถือมันมาอยู่บนหัวของคนนั้นนี่ผมพูดหยาบคายไปหน่อยเพื่อให้จำง่ายจริงๆมันวางอยู่บนจิตใจคนนั้นจะเป็นอะไรก็ตามกี่อย่างกี่อย่างถ้าเราไม่ยึดถือมันอยู่ตามที่ของมันวัวควายก็อยู่ในนาเงินก็อยู่ในธนาคารรถยนต์ก็อยู่ในอู่แต่พอยึดถือมาอยู่บนหัวเราหมดก็ต้องมีความทุกข์งั้นการทำจิตไม่ต้องยึดถือนี่มันเป็นศิลปะอย่างยิ่งเป็นยอดสุดของศิลปะที่คนชาวโลกเขาไม่รู้เขารู้ศิลปะในเรื่องทางวัตถุเดี๋ยวนี้เป็นเรื่องศิลปะทางจิตใจมันก็เป็นชุดที่ละเอียดปราณีต สุขุมนั้นเขาจึงไม่รู้ยอดของศิลปะคือวิธีที่ทำให้ไม่รู้จักทุกข์วิธีที่เราทำไม่ให้รู้จักทุกข์ก็คือยอดของศิลปะ ศิลปะอื่น
หน้าที่ 7 – ศิลปะศิลปะที่แท้จริงคือ
เป็นศิลปะบ้าๆบอๆเสียเวลาแต่ก็นิยมคนนั้นแต่ก็นิยมกันนะหลงใหลกันนักในเรื่องศิลปะศิลปะที่แท้จริงคือทำอย่าให้เป็นทุกข์ได้เท่ากับไม่เคยสนใจนี่คือความโง่ของมนุษย์ในโลกปัจจุบันพูดกันในแง่ของศิลปะของดี ของวิเศษของละเอียด ของปราณีตของทำอยากและของน่าสรรเสริญเพราะมันอยู่ที่นี่ไม่ได้อยู่ที่ในศิลปะที่เขาหลงใหลกันมันเป็นเรื่องบ้าๆบอๆไม่ดับทุกข์ได้ถ้าเราเป็นศิลปินกันบ้างสามารถที่จะมีสติมีปัญญาอยู่ที่เนื้อที่ตัวทันแก่เวลาทำให้เกิดความอยากด้วยความโง่ให้เกิดยึดถือด้วยความโง่ถ้าเราต้องการต้องการด้วยสติปัญญานี่ก็สำคัญมากที่เขาไม่รู้กันที่ในโรงเรียนไม่ได้สอนเขามาแยกสอนในโรงเรียนก็สอนอย่างโง่เพราะถ้าอยากแล้วก็เป็นกิเลสตัณหาทั้งนั้นจนคนปฎิบัติกันไม่ถูกไอ้กิเลสตัณหาเป็นความอยากมันอยากด้วยความโง่จึงเป็นกิเลสหรือเป็นตัณหาหรือเป็นโลภะแล้วก็ให้เกิดทุกข์ที่เราต้องการด้วยสติปัญญานั้นไกลกันริบ เช่น คนหนึ่งต้องการเงินต้องการทรัพย์สมบัติด้วยสติ ปัญญาด้วยเหตุผลด้วยความคิดที่สุขุมรอบคอบมันก็ไม่ก็ไม่เผาโลมจิตใจฉะนั้นคนหนึ่งมันต้องการด้วยกิเลสตัณหาด้วยความอยากที่โง่และมันก็เผารนทันทีที่อยาก ถ้าอยากจะมีเงินต้องเผารนแล้วถ้ามันอยากได้ความโง่ถ้าท่านอยากด้วยสติปัญญามันรู้ว่าเป็นความต้องการตามปกติด้วยเหตุผลต้องอย่างนั้นอย่างนั้นเราจึงควรต้องการมันก็ไม่เผารนอะไรต้องคิดหาทางทำไปทำไปโดยที่ไม่ต้องมีกิเลสก็มีเงินได้โดยที่ไม่ต้องเป็นทุกข์อยากและความโง่พอลงมืออยากก็เป็นทุกข์ไปทำอยู่ก็เป็นทุกข์ได้มาก็เป็นทุกข์กินเข้าไปก็เป็นทุกข์เขามีความโง่อยู่ตลอดเวลางั้นรู้จักแยกกันเสียดีๆแต่ว่าด้วยความโง่หรือว่าด้วยความฉลาดหรือด้วยวิชาหรือด้วยอวิชาที่เราสัมผัสด้วยตาหูจมูกลิ้นกายสัมผัสอะไรเข้าไปมันสัมผัสด้วยความโง่หรือว่าสัมผัสด้วยความฉลาดถ้าสัมผัสด้วยปัญญาด้วยวิชามันก็ไม่เป็นไรถ้าสัมผัสด้วยความโง่มันก็เป็นทุกข์แหละมันก็มีความอยากมีความต้องการด้วยความโง่ อย่าต้องการด้วยความโง่เป็นทุกข์ทันทีและทำไปทำไปก็เป็นทุกข์ตลอดสายจะสัมผัสด้วยปัญญามันก็เป็นความรู้สึกด้วยปัญญาถ้าต้องการสิ่งนั้นก็ต้องการด้วยปัญญามันไม่ไม่มีความโง่มีแต่ปัญญารู้อะไรเป็นอะไรอยู่เสมอมันก็ไม่หลงยึดถือมันก็ไม่เป็นทุกข์เมื่อสัมผัสก็สัมผัสด้วยปัญญาเกิดเวทนาก็เวทนาด้วยปัญญาเมื่อต้องการก็ต้องการด้วยปัญญามันไม่เป็นตัณหาเมื่อไม่เป็นตัณหาก็ไม่เกิดอุปาทานนี่ว่ายึดถือด้วยความโง่ไม่กลายเป็นต้องการด้วยปัญญา แล้วก็ทำด้วยปัญญาควบคุมทุกข์อย่างเป็นไปด้วยปัญญาแล้วไม่มีความทุกข์ต้องการเงินก็ได้เงิน ต้องการชื่อเสียงก็ได้ชื่อเสียง ต้องการความสุขก็ได้ความสุขโดยที่ไม่ต้องเป็นทุกข์นี่แหละประโยชน์ของธรรมมะมาอยู่ที่ตรงนี้คือดับทุกข์ได้ด้วยแล้วก็ให้ได้สิ่งที่ควรจะได้นั้นโดยง่ายด้วยชีวิตการงานของฆราวาสไม่ต้องเป็นทุกข์แล้วก็ได้รับประโยชน์ที่ฆราวาสควรจะต้องการด้วยโดยไม่ต้องเป็นทุกข์มันดีอย่างนี้
ข้อที่ 1 ไม่ต้องเป็นทุกข์ ข้อที่ 2 การงานมันสนุกมันก็ได้ประโยชน์ตามที่ควรจะได้โดยไม่ต้องเป็นทุกข์ประโยชน์อันใหญ่หลวงของพระธรรมมันอยู่ที่ตรงนี้ครั้นว่าคูณจะสึกออกไปคุณคงจะเอาไปด้วยไม่ได้ประโยชน์อันใหญ่หลวงของธรรมมะมันจะคมไม่ให้เป็นทุกข์เพราะมันจะช่วยได้ตามที่ต้องการโดยสนุกถ้าไม่ได้อย่างนี้ก็ไม่ได้ประโยชน์จากธรรมมะไปงั้นใครจะได้หรือไม่ได้ก็ไม่รู้ต้องไปดูกันเองในอนาคตถ้าคุณได้ธรรมมะจริงธรรมมะตัวจริงไม่ใช่ธรรมมะบันทึกคูณก็จะประสบความสำเร็จในข้อนี้ชีวิตไม่เป็นทุกข์ก้าวหน้าไปในทางที่ควรปรารถนามีชีวิตมีลมหายใจโดยไม่ต้องเป็นทุกข์ก็คิดดูอะไรมันจะดีกว่านี้ไม่มีแล้วไม่มีอะไรจะดีกว่านี้แล้วสำหรับมนุษย์เราคือสิ่งนี้ทำให้ไม่เป็นทุกข์ไม่ต้อง
หน้าที่ 8 – ตัวธรรมมะ
เป็นทุกข์แล้วต้องการจะได้อะไรก็จะได้ตามที่ปรารถนาโดยที่ไม่ต้องเป็นทุกข์นี่คือตัวธรรมมะที่แท้จริงฉันขอให้พยายามอย่างยิ่งจนรู้จักสิ่งนี้จนเข้าถึงสิ่งนี้จนใช้สิ่งนี้ให้เป็นประโยชน์ได้เดี๋ยวนี้เราจะเคยอ่านหนังสือจบเป็นเล่มๆหรือหลาย 10 เล่มแล้วก็ได้แต่ยังไม่ถึงไม่ถึงตัวนี้หรือสิ่งนี้ซึ่งจะต้องไปอ่านดูที่ตัวความทุกข์หรือจะพูดว่าดูที่ร่างกายหรือจิตใจนี่ก็ได้ต่อไปนี้คุณจะต้องไปอ่านที่ร่างกายที่จิตใจที่ความรู้สึกของจิตใจที่ความเป็นไปในทางจิตใจแทนการอ่านหนังสือหรือคนพูดเช่นผมกำลังพูดอย่างนี้เป็นต้นมันไม่ช่วยให้สำเร็จได้คุณต้องไปอ่านจากตัวร่างกายตัวจิตใจตัวการงานตัวความทุกข์ที่เกิดขึ้นแล้วก็มีเหตุให้เกิดความทุกข์จิตอยู่ที่นั่นแฝดอยู่ที่นั่นต้องไปจับตัวมาอ่านเสียให้หมด
ทีนี้จะจัดการกับมันได้เรียกว่าไม่เสียทีที่ได้บวช บวชได้รับสิ่งดีที่สุดสูงสุดจากการบวชคือสิ่งที่จะเอาไปแก้ปัญหาได้หมดตลอดชีวิตฉะนั้นชีวิตจะสูงๆๆๆขึ้นไปจนมันจะเบื่อหน่ายไอ้การเป็นอยู่แบบโลกๆมันจะกับไปมีชีวิตเพื่อเป็นพระอรหันต์ในอนาคตก็ได้แต่ยังไม่ต้องพูดข้อนี้ให้เอาแต่ว่าเมื่อจะกับไปเป็นฆราวาสนี่ก็ขอให้ไปเป็นฆราวาสที่ดีที่สุดเป็นอริยสาวกของพระพุทธเจ้ามีชีวิตอยู่โดยไม่ต้องเป็นทุกข์จะได้เจริญก้าวหน้าในการงานที่เป็นประโยชน์ตั้งแต่ตนเองและผู้อื่นประโยชน์ประเทศชาติศาสนาประโยชน์ต่อโลกด้วยก็ยิ่งดีเกิดมาทีหนึ่งมันทำประโยชน์มากขนาดนี้ไม่ใช่ว่าประโยชน์ตัวตนคนเดียวหรือประโยชน์เพื่อลูกเพื่อเมีย 2-3 คนมันเล็กเกินไปมันไม่มีค่าอะไร เอาล่ะเป็นอันว่าผมพูดโดยหัวข้อใหญ่เป็นประมวลใหญ่หมดของระบบธรรมมะเนี่ยคือระบบของธรรมมะเมื่อประมวลกันให้หมดเข้ามาย่นย่อเอาแต่ใจความมันก็เป็นอย่างนี้จากใจความนี้ขยายออกไปเป็นฝืน 84000ข้อเพราะว่าอันนี้มันย่อมาจาก 84000 ข้อพระพุทธเจ้าท่านตรัสว่าไม่พูดเรื่องอื่นนอกจากเรื่องความทุกข์กับความดับทุกข์นอกจากรายระเอียดของความทุกข์ของเหตุให้เกิดทุกข์ของความดับทุกข์หนทางของความดับทุกข์เป็นข้อปีกข่อยโดยละเอียดนับได้หมื่นๆข้อ อย่างที่เราเคยได้ยินว่าพระธรรมของพระพุทธเจ้ามี 84000 พระธรรมขัน84000ข้อก็แยกเป็นประเด็นย่อยๆ แต่พอสรุปแล้วเหลือเพียง 2 ข้อคือความทุกข์กับความดับทุกข์ แล้วความทุกข์ก็คืออย่างที่ว่าก็มันยึดถือแล้วความดับทุกข์ก็คืออย่างที่ว่าคือไม่ยึดถือท่านจึงสอนว่าสิ่งทั้งปวงไม่ควรยึดมั่นถือมั่นว่าเราว่าของเรานั่นคือทางดับทุกข์ถ้ายึดมั่นถือมั่นเมื่อไหล่ก็เป็นทุกข์เมื่อนั้นนั่นเป็นฝ่ายของความทุกข์หวังว่าคำพูด 2-3 คำนี้จะเข้าไปแจ่มแจ้งส่องแสงจ้าอยู่ในจิตใจของท่านทั้งหลายทุกๆองค์ทุกๆตนจะสึกลาสิกขาออกไปถ้าหลักเกณฑ์อันนี้มันยังแจ่มแจ้งอยู่ในใจมันจะคุ้มครองยิ่งกว่าพระเครื่องยิ่งกว่าอะไรหมดมันจะคุ้มครองไม่ให้เกิดความทุกข์นี่มันดำเนินไปในทางจุดหมายปลายทางคือเป็นมนุษย์ที่ดีขึ้นดีขึ้นพร้อมกับความทุกข์น้อยลงน้อยลงๆอยู่โดยไม่ต้องเป็นทุกข์ก็เป็นดีที่สุดสำหรับมนุษย์และอย่าลืมว่าความทุกข์มีวี่แววอะไรออกมาตวาดมันกับไปเราไม่ได้เกิดมาเพื่อความทุกข์ถ้ากูเกิดมาเพื่อความทุกข์ก็เกิดเป็นหมาเสียดีกว่าเพราะว่าหมามันยังทุกข์น้อยกว่ามนุษย์เอาละผมคิดว่าโดยหัวข้อโดยใจความมันมีเพียงเท่านี้ก็ขอยุติการพูด
http://www.vcharkarn.com/varticle/32327