ชีวิตเป็นสิ่งที่ต้องพัฒนา(2) โดย พุทธทาสภิกขุ
หน้าที่ 1 – พัฒนาไปตามกฎเกณฑ์ของธรรมชาติ
ท่านนักเรียน นักศึกษา ครูบาอาจารย์ และท่านผู้สนใจในธรรมทั้งหลาย การบรรยายครั้งนี้ คิดว่าจะพูดเรื่องที่เนื่องกันกับปีใหม่ เพราะว่าอีก2-3วันก็จะถึงปีใหม่ เราควรจะได้พูดกันถึงเรื่องที่เกี่ยวกับปีใหม่ ดังนั้นก็จะให้หัวข้อในการพูดวันนี้ว่า ชีวิตเป็นสิ่งที่ต้องพัฒนา ชีวิตเป็นสิ่งที่ต้องพัฒนา ถ้ารู้จักในสิ่งที่เรียกว่าชีวิตคืออะไร เราก็จะเข้าใจยิ่งขึ้นว่ามันเป็นสิ่งที่ต้องพัฒนาอย่างไร คำว่าชีวิตนี้เป็นของแปลกที่สุดอย่างหนึ่ง คือว่า ตัวเจ้าของนั้นเองแหละไม่รู้จัก เพราะฉะนั้นคำตอบคำแรกคือ สิ่งที่มนุษย์ไม่รู้จัก เพราะว่ายังงง ยังจับต้นชนปลายไม่ค่อยจะถูก ได้แต่เล่าเรียนจากโรงเรียนมาเล็กๆน้อยๆว่า ชีวิต คือ สิ่งที่เป็นอยู่ ก็ยังไม่ตายเท่านั้นเอง แต่ตัวชีวิตจริงๆนั้นได้แก่อะไรนั้นยังเป็นปัญหาอยู่ ถึงแม้ข้อความที่จะพูดต่อไปนี้ มันยากที่จะทำ เหมือนกับว่า หยิบเอาตัวชีวิตมาดูได้ในฝ่ามือ เหมือนกับก้อนดินก้อนกรวด หยิบมาดูได้ในฝ่ามือได้ว่ามันคืออะไร โดยเหตุที่ว่า ชีวิตมันไม่ได้เป็นวัตถุอย่างนั้น ถ้าจะหมายถึงตัวร่างกาย จิตใจ ตัวร่างกาย เนื้อตัวที่ยังเป็นอยู่ ว่าชีวิตนี้มันก็ยังไม่รู้ว่าตรงไหนเป็นชีวิต มันก็ยังเป็นร่างกาย ความหมายคือว่ามันยังเป็นอยู่ มันยังไม่ตาย และเป็นสิ่งที่ต้องพัฒนา สิ่งที่ยังไม่ตายมันต้องพัฒนา เพราะว่าเรามีชีวิต คือ เรามีสิ่งที่ต้องพัฒนา นี่คำว่าต้องพัฒนานี้ยังแยกเป็น 2 ความหมาย
คือ ตัวมันเอง ต้องพัฒนา มันคงที่อยู่ไม่ได้ โดยธรรมชาติแล้วชีวิตมันจะไม่คงที่ หรือตายตัว มันจะมีวิวัฒนาการ จุดเปลี่ยน ไปสู่จุดที่สูงสุดยิ่งๆขึ้นไป อย่างนี้หมายความว่า ถ้าปล่อยไปตามลำพังตัวมันเอง มันก็พัฒนา เราจะไปดึงมันไว้ก็ไม่ได้ เพราะว่ามันต้องพัฒนาโดยธรรมชาติ นี่ข้อหนึ่งว่ามันต้องพัฒนา ทีนี้เมื่อมันเกี่ยวกับเรา กลายเป็นว่าเราต้องร่วมมือกับมันในการพัฒนา คือ เราต้องพัฒนาชีวิตนั่นเอง เรียกว่า มันต้องไปเสียทั้งนั้น มันหยุดอยู่เฉยๆไม่ได้ มันทิ้งไว้เฉยๆไม่ได้ ตัวชีวิตแท้ๆมันพัฒนาไปตามกฎเกณฑ์ของธรรมชาติ ทั้งทางวัตถุและทั้งทางจิตใจ หรือแม้แต่ทางสติปัญญา เมื่อเราเรียนชีววิทยามาพอสมควรแล้ว เราก็พบว่ามันมีการพัฒนาทางกาย ทางจิต และทางวิญญาณ แน่โดยธรรมชาติ เราไม่อาจถือได้ว่ามันเป็นเรื่องตายตัว ถ้าถือตามชีววิทยาทีแรกมันก็ยังไม่มีอะไร กว่ามันจะมีความชื้นที่หมักหมม เกิดเซลล์ที่มีชีวิต เป็นเซลล์เดียวแท้ๆ ทำอะไรไม่ได้ มันก็พัฒนาตัวมันเองขึ้นมาเป็นหลายๆเซลล์ จัดตั้งเป็นกลุ่มแห่งเซลล์ จัดตั้งเป็นสิ่งที่มีชีวิต เป็นพืช เป็นสัตว์ เป็นคนในที่สุด ที่เรียกว่ามันหยุดอยู่ไม่ได้ ใครจะบังคับมันไม่ได้ มันก็พัฒนาในส่วนที่เป็นวัตถุ ที่เป็นร่างกาย นี่ส่วนที่เป็นวัตถุ หรือเป็นร่างกายพัฒนาขึ้นมาเท่าไร ส่วนที่เป็นจิตที่อยู่ในส่วนที่เป็นร่างกายนั้น มันก็พัฒนามากขึ้นมาเท่านั้น นี้ส่วนที่เป็นจิตของสิ่งที่มีชีวิตที่สูงขึ้นมาตามลำดับ มันก็มากกว่า เป็นต้นไม้ก็มีความรู้สึกอย่างต้นไม้ เป็นสัตว์ก็รู้สึกอย่างสัตว์ เพียงแต่ว่ามันสูงกว่า เป็นคนก็รู้สึกยิ่งกว่าสัตว์เพราะมันสูงกว่า ทีนี้ดูทางสติปัญญาก็จะเห็นได้ว่าต่างกัน แทบจะเปรียบกันไม่ได้ สติปัญญาของคน สติปัญญาของสัตว์ สติปัญญาของต้นไม้ ซึ่งก็มีน้อยเหลือเกิน แต่การพิสูจน์ทางวิทยาศาสตร์ พิสูจน์ได้ว่ามันเป็นสิ่งที่มีความรู้สึก เมื่อมันมีความรู้สึก มันก็พัฒนาในความรู้สึกนั้นได้ ต้นไม้จึงรู้จักต่อสู้ รู้จักหลีกเลี่ยง รู้จักทำความเจริญรอบกายให้แก่ตนเอง นี้กำลังความรู้สึกที่เรียกว่ากำลังทางจิตก็มากขึ้นๆ ตามระดับของการพัฒนา จนกว่ามันจะมาเป็นสัตว์ สัตว์ที่ต่ำมากหรือสัตว์ที่สูงขึ้น สัตว์ในน้ำ สัตว์ครึ่งบกครึ่งน้ำ สัตว์บกแท้ๆ กระทั่งสัตว์ที่บินไปได้ในอากาศ มีร่างกายที่พัฒนา มีจิตที่พัฒนา มีสติปัญญาที่พัฒนา แต่ด้วยเหตุที่เป็นไปตามธรรมชาติ มันก็มีขอบเขตที่จำกัด มนุษย์เราเมื่อแรกเป็นมนุษย์ขึ้นมา ครึ่งคนครึ่งสัตว์ กระทั่งเป็นคนแท้ ยังเป็นคนป่าอยู่ แล้วก็เป็นคนที่เจริญก้าวหน้า จนมาเป็นคนสมัยปัจจุบัน มันต้องพัฒนาทั้งทางกาย ทั้งทางจิต และทางสติปัญญา เห็นได้ว่าร่างกายมันดีกว่ากันมาก เพราะได้รับการบริหารที่ละเอียด ที่ประณีต ที่สุขุม ก็คือพัฒนาทางกาย พัฒนาทางจิตให้มีจิตเข้มแข็ง ให้มีกำลังสมาธิ เพราะว่ากายพัฒนา ก็เป็นที่ตั้งแห่งจิตที่พัฒนา เราจึงมีกำลังจิตที่ดีกว่า สูงกว่า ส่วนทางสติปัญญานั้น แน่นอนเพราะมนุษย์มันมีการพูดจา ไม่เหมือนกับ ต้นไม้ที่มันพูดอะไรไม่ได้ การพูดจา คือ สื่อที่ดีที่สุดสำหรับการถ่ายทอด เราจึงมีการถ่ายทอดวิชาให้แก่กันและกัน ด้วยการพูดจา หรืออะไรก็ได้ที่สังเคราะห์รวมอยู่ในการพูดจา เพราะมีการมีการพูดจาจึงได้ถ่ายทอดอะไรกันได้ เพียงแต่ดูอย่างกันด้วยตาก็ยังเรียกว่าถ่ายทอดน้อยเกินไป มันก็เป็นภาษาพูดทางตา สู้ทางปากไม่ได้ เพราะว่าอธิบายกันได้ละเอียดลออ มนุษย์จึงพัฒนาเร็วมากในด้านสติปัญญา เพราะว่ามันถ่ายทอดให้แก่กันและกันได้ คนแรกที่มีสติปัญญาเท่าใดก็ถ่ายทอดให้คนทีหลัง คนทีหลังก็ไม่เสียเวลามาก แล้วก็รู้หมด จากคนก่อนสอนให้เท่าไร แล้วก็ก้าวหน้าต่อไป สอนกันต่อไป ก้าวหน้าต่อไปๆๆ มนุษย์จึงมาเป็นมนุษย์อย่างที่เราเห็นๆกันอยู่ทุกวันนี้ ว่ามันต่างกันเหลือเกินกับมนุษย์คนแรก หรือว่าถือว่ามาจากสัตว์ มาจากลิง ก็ดูเถอะมันต่างกันเหลือเกิน ถือว่ามาจากเซลล์ๆเดียวในโลกมันก็ยิ่งต่างกันลิบลับ ไม่มีทางจะเปรียบเทียบกันได้ นี่เป็นสิ่งที่ชี้ให้เห็นว่าชีวิตเป็นสิ่งที่ต้องพัฒนาอยู่ในตัวมันเอง มีคำว่าต้อง ถ้ามีคำว่าไม่ต้อง มันก็จบ คือมันไม่คงอยู่ หรือ ไม่เจริญมาได้ เพราะฉะนั้นชีวิตแท้ๆจะเป็นชีวิตในลักษณะไหน คือชีวิตส่วนที่เป็นเซลล์หนึ่งๆ มันก็ยังพัฒนา ที่ประกอบเป็นร่าง เป็นโครง เป็นอะไร มันก็พัฒนา เราต้องลองให้โอกาส ให้มันพัฒนาที่มันพัฒนาอยู่เองโดยธรรมชาติ ต้องช่วยผสมผสาน สนับสนุนกันให้ดี ให้ส่วนที่มันต้องพัฒนาไปโดยธรรมชาตินั้นเป็นไปได้ ไม่หยุดพัฒนา ทีนี้ก็มาถึงการพัฒนาชั้นที่สองที่เราต้องพัฒนา คือทางร่างกาย เราก็บริหารให้มันดีที่สุด และเป็นการบริหารที่ถูกต้อง ไม่ใช่การบริหารที่ผิดๆ ที่บริหารกันอยู่มีเหมือนกัน บริหารผิดร่างกายมันก็เลวลง ร่างกายมันก็ป่วยง่าย และก็ไม่มี ความทนทาน เข้มแข็ง ให้เหมือนกับยุคแรกๆก็ได้ นี่เรียกว่าพัฒนาลง มันไม่ได้พัฒนาขึ้น มันเป็นความโง่ของคนพัฒนานั่นเอง เดี๋ยวนี้เราชอบการกินดีอยู่ดี ฟุ่มเฟือย นี้มันเป็นเรื่องพัฒนาขึ้นหรือพัฒนาลง วิชาความรู้ของหมอ เขาบอกว่าเป็นเรื่องพัฒนาลงเสียมากกว่า ถ้าเราเป็นอยู่อย่างฟุ่มเฟือย เรื่องกินเกิน อยู่เกิน บำรุงบำเรอเกิน มันก็ล้วนแต่เกินนี้ มันก็พัฒนาลง ขอให้ทุกคนช่วยกันสังเกตดูให้ดี อย่าให้มันมีอาการอย่างนี้ คืออุตส่าห์กินเกิน อยู่เกิน ใช้เกิน ประคบประงมเกิน บำรุงบำเรอเกิน และผลที่ได้ก็คือพัฒนาลง คือมันเลวลง ในทางร่างกาย อ่อนแอ มีโรคภัยไข้เจ็บง่าย อย่างนี้เรียกว่าผิดเสียแล้ว มันผิดเสียแล้วในเรื่องพัฒนา ทีนี้เราต้อง พัฒนาจิตใจให้มีกำลังจิตยิ่งขึ้นไป คือมีจิตที่เข้มแข็ง มีจิตที่บริสุทธิ์ มีจิตที่ว่องไว มีจิตที่มีคุณสมบัติสูงในหน้าที่การงานของจิตเอง เช่นว่า คิดเก่ง จำเก่ง นึกออกเร็ว ใช้ความจำได้ดี อย่างนี้เป็นต้น เป็นลักษณะของจิตที่พัฒนาได้ดี เราสมัยนี้เป็นอย่างนี้กันหรือเปล่า ถ้าไม่เป็นอย่างนี้ก็เรียกว่าถอยหลังได้เหมือนกัน มันจะสู้การพัฒนาทางจิตอย่างสมัยโบราณ อย่างสมัยพุทธกาล เป็นต้น ก็ไม่ได้ เราจะต้องทำให้เป็นที่แน่นอนให้ได้ว่า จิตของเราต้องพัฒนา มีความเข้มแข็ง มีความอดทน เป็นโรคประสาทยาก เดี๋ยวนี้คนเป็นโรคประสาทง่าย ก็เพราะการพัฒนามันถอยหลัง นี้คนไม่สามารถจะบังคับจิต จิตมันก็ผิดปกติ เมื่อรักมันก็ผิดปกติ เมื่อโกรธมันก็ผิดปกติ เมื่อกลัวมันก็ผิดปกติ เมื่อโง่มันก็ผิดปกติ เมื่อวิตกกังวลมันก็ผิดปกติ เมื่อเครียดมันก็ผิดปกติ เมื่ออ่อนแอ โลเล ปวกเปียก มันก็เรียกว่าผิดปกติด้วยเหมือนกัน ทำอย่างไรจิตของเราจึงจะมีลักษณะเข้มแข็ง มั่นคง บริสุทธิ์อยู่ตามธรรมชาติของจิต ว่องไวในหน้าที่การงานของจิต ขอให้ลองคิดดู นี่เราต้องรู้เรื่องการพัฒนาของจิต เดี๋ยวนี้เป็นโรคประสาทกันมากก็เพราะจิตมันถอยหลัง ไม่พัฒนา มันสู้อารมณ์ไม่ได้ ความรัก ความเกลียด ความกลัว ความวิตกกังวล ความอะไรต่างๆที่รู้จักกันอยู่นี่ทำให้จิตไม่พัฒนา ไม่ทนได้ ไม่ทานได้ ไม่ยืนอยู่ได้อย่างปกติ มันก็เปลี่ยนไปเป็นโรคประสาท และจะเป็นโรคได้ทุกโรคออกมาทางร่างกาย เช่นโรคกระเพาะ มันมาจากวิตกกังวล ที่มันทนทรมานมากเกินไป หรือว่าโรคที่เขาเกลียดกลัวกันนัก เช่น โรคมะเร็ง เป็นต้น ก็เพราะว่าโลหิตมันถูกทำลายให้อ่อน ให้หย่อนอำนาจที่จะต้านทานเชื้อโรค ไม่สามารถควบคุมสิ่งต่างๆให้เป็นไปอย่างถูกต้อง มันจึงมีโรคขึ้นมาได้ เช่นโรคมะเร็ง ถ้าว่าเรามีโลหิตดี สมบูรณ์ดีในร่างกายนี้ มันก็มีการต่อต้านเชื้อโรคสูง มันก็ไม่ต้องมีการเป็นโรคเช่นนี้เอง เมื่อรักษาร่างกายดี แล้วจิตใจดี จิตใจดีมันทนทานอยู่ได้ มันไม่ถูกย่ำยี ให้เป็นเรื่องถอยกำลัง เมื่อจิตไม่ถอยกำลัง มันก็ช่วยให้ร่างกายดี ระบบประสาทดี ไม่เกิดความผิดปรกติขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ระบบที่เกี่ยวกับโลหิต ถ้าระบบนี้ไม่ดี แล้วจะเกิดการเปลี่ยนแปลงขึ้นทุกๆระบบ เช่น ระบบการย่อยอาหาร กระเพาะมันก็เสียไป มันก็เกิดโรคกระเพาะเรื้อรัง หรือระบบการใช้น้ำตาลก็เสียไป มันใช้น้ำตาลไม่ได้ ไม่หมด มันก็เกิดเป็นโรคเบาหวาน ซึ่งเป็นกันมากขึ้น เพราะมันควบคุมอะไรไม่ได้ มันก็เป็นโรคที่ว่าไขมันในเลือด หรือกระทั่งมีไขมันสูง หลายอย่างหลายประการ ซึ่งทับทวีในโลกนี้ เพราะมันมีความผิดพลาด เกี่ยวกับระบบจิต ซึ่งทำให้ระบบกายวิปริตไปโดยเท่าเทียมกัน ฉะนั้นถ้าเรามีกายที่ปรกติ มีจิตที่ปรกติ เรื่องเหล่านี้จะไม่เกิดขึ้น เหมือนอย่างคนครั้นพุทธกาลเค้าอยู่กัน พวกฤาษีมุนีอยู่ในป่าคนเดียวก็ได้ ไม่ต้องไปหาหมอที่ไหนเลย มันอยู่มีชีวิตร้อยปีร้อยยี่สิบปี มันอยู่ด้วยชีวิตที่แก้ไข ชีวิตปรับปรุงรักษาพัฒนา ชีวิตที่ถูกต้อง ไม่เหมือนเราที่มีความยุ่งยากลำบาก เพราะว่าทำผิดพลาด ต้องกินยาทั้งเช้า ทั้งเที่ยง ทั้งเย็น ทั้งกลางคืน เบื่อจะตายแล้ว เพราะว่ามันต้องกินยามากขนาดนี้ ซึ่งเมื่อก่อนเค้าก็ไม่ต้องกินกันเลย เค้าก็อยู่ได้ เพราะเค้ามีความถูกต้องในทางจิตใจ ถ้าไม่มีความผิดปรกติทางระบบประสาท ร่างกายมันก็ดี มันก็มีความถูกต้อง ที่การพัฒนามันมีอยู่อย่างนี้ คุณจะพัฒนาให้มันพัฒนาลงหรือจะให้มันพัฒนาขึ้น ถ้ามันเป็นเรื่องของการเกิน ดีเกิน อร่อยเกิน มันก็ทำให้เกิดการพัฒนาลงได้ เหมือนการครองชีวิตของมนุษย์ในยุคปัจจุบัน ที่มันทำให้เกิดโรคขึ้นมากมายหลายประการ จนเป็นปัญหาทั่วกันไปหมด ควรจะคิดดู ทีนี้ก็มาถึงส่วนที่สาม คือ ระบบสติปัญญา ต้องพัฒนา นี่คือปัญญาสำคัญที่สุด เพราะสติปัญญานี้มันนำชีวิต หรือมันนำทุกสิ่ง ถ้ามันผิดหรือมันไม่พัฒนาแล้ว มันก็จะพัฒนาลงเท่านั้นแหละ และลงอย่างเลวร้ายด้วย มีอันตรายมาก มีปัญหามาก มันมีปัญหาตั้งแต่ว่าเดี๋ยวนี้โดยพื้นฐานเรามีสติปัญญาที่ถูกต้องหรือไม่ ยังไม่ทันพัฒนาสักที ที่เรามีอยู่เป็นต้นทุน เป็นเดิมทุนอยู่แล้วนี้มันถูกต้องหรือไม่ ทำไมไม่ลองใคร่ครวญดู ถ้ามันถูกต้อง ทำให้ยิ่งขึ้นไปๆ นี่ก็เป็นการพัฒนา แต่ถ้าเดี๋ยวมันไม่ถูกต้องอยู่แล้ว มันจะพัฒนาไปทางไหน ตัวเองทำผิด ไม่ถูกต้องอย่างนี้แล้ว จะพัฒนาได้อย่างไร ยิ่งไปทำให้มากเข้า มันก็ผิดมากเข้าอย่างนั้นเอง จะเปลี่ยนให้ถูกต้อง จะเปลี่ยนด้วยวิชาความรู้นั้น จะเปลี่ยนได้อย่างไร จะเปลี่ยนด้วยของอะไร นี้ขอให้สนใจ ข้อนี้มันขึ้นอยู่กับสิ่งที่เป็นพื้นฐานที่สำคัญที่สุด เช่น วัฒนธรรม ขนบธรรมเนียมประเพณี เป็นต้น คนเดี๋ยวนี้ละเลยขนบธรรมเนียมประเพณี มันก็มีโอกาสที่จะตั้งต้นผิดพลาดมากทีเดียว เช่นว่าเด็กคลอดจากครรภ์มารดาแล้ว จะต้องแวดล้อมอบรมอย่างไรโดยวัฒนธรรมนั่น ถ้าทำถูกมันก็ถูก ที่เด็กได้รับการแวดล้อมที่ดี ถูกต้องทางวัฒนธรรม มันก็มีจุดตั้งต้นของร่างกาย จิตใจ ความคิด ความเห็นที่ดี มันก็โตขึ้นมามีความเจริญก้าวหน้าที่ถูกต้อง แต่ถ้าเด็กคลอดออกมา เติบโตขึ้นมา ด้วยการอบรมแวดล้อมที่ผิด หรือผิดวัฒนธรรม ผิดทุกอย่างทุกประการ เด็กคนนี้ก็ไม่มีความถูกต้องสำหรับจะถูกต้องต่อไป มีแต่จะไปผิดพลาดมากขึ้น ยิ่งส่งเสริมกังวลก็ยิ่งผิดไปไกล สติปัญญามันก็ผิด ความคิดนึกผิด ความเชื่อผิด การศึกษาผิด หลักเกณฑ์ที่เขาจะยึดถือไว้สำหรับชีวิตจิตใจมันก็ผิด มันก็ผิดกันเรื่อยไป เพราะมีความผิดพลาดทางสติปัญญา ไม่เป็นการพัฒนา
หน้าที่ 2 – การศึกษาสาม
ขอทุกคนมองเห็นข้อนี้เถอะว่าปัญหาใหญ่มันอยู่ที่ตั้งต้นผิด หรือลูกเด็กๆของเราคลอดออกมารับการแวดล้อมซึ่งเป็นการตั้งต้นที่ผิด แล้วก็มีผลร้ายเกิดขึ้นทีหลัง เช่น เด็กๆเดี๋ยวนี้ไม่ค่อยกลัวบาป ไม่มีบุญ ไม่มีบาป เอาแต่อารมณ์ของตัวเอง กระด้าง หยาบคาย เพราะว่าตั้งต้นมาผิด ไม่เหมือนกับเด็กสมัยก่อนที่เค้าตั้งต้นให้มันกลัวบาป ให้ยึดถือเรื่องดี เรื่องชั่ว เรื่องบุญ เรื่องบาป นับตั้งแต่ว่าเขารู้จักพระคุณ พระเดชของบิดามารดา อาตมาคิดว่าลูกเด็กๆชั้นอนุบาล 3 -4 ขวบ อย่ามาโง่ให้เขาเรียนหนังสือเลย พ่อแม่ครูบาอาจารย์อย่าไปโง่ เคี่ยวเข็ญให้เขาเรียนหนังสือเลย มาเคี่ยวเข็ญให้เค้าเรียนรู้ความถูกต้องทางกาย ทางจิต ทางวิญญาณจะดีกว่า เด็กมาโรงเรียนอนุบาลวันแรกเราให้เขาเรียนเรื่องความถูกต้องทางกาย ทางจิต ทางวิญญาณ อย่าเพิ่งเรียนกอขอคองอ ให้มันโง่ มันลงรากฐานที่มันไม่จำเป็นไปในทางถูกต้องของวัฒนธรรม ขนบธรรมเนียมประเพณีที่ดี ที่จะไปเป็นพื้นฐานของชีวิต หรือว่าลูกเด็กๆเล็กๆ มาโรงเรียนวันแรกในระบบอนุบาล มาสอนให้เขารู้ว่าแม่นี่คืออะไร พ่อนี่คืออะไร เค้าเกิดมาได้อย่างไร สำหรับทำอะไร เพื่อประโยชน์อะไร อย่างนี้เรื่อยไปอย่างนี้จนเค้ารู้สึกรักพ่อรักแม่เหลือประมาณ จนรู้สึกรักครูอาจารย์เหลือประมาณ มีรากฐานที่ถูกต้องลงไปในจิตใจว่าเราเกิดมาทำไม เราจะต้องทำอะไร อย่างนี้เรื่อยไป เรียนอย่างนี้เรื่อยไป กอขอคองอ ค่อยเรียนทีหลัง เรียนเพิ่มทีละตัวสองตัวก็ได้ แต่ที่จะเรียนเป็นพื้นฐานคือ เรียนว่าแม่นี้คืออะไร เพิ่มขึ้นมากขึ้นทุกที น้ำนมของแม่มันคืออะไร หยาดเหงื่อของแม่นั้นคืออะไร มากขึ้นๆทุกเดือน ทุกปี จนกระทั่งรู้ว่าชีวิตนี้มันคืออะไร เกิดมาทำไม แล้วหนังสือหนังหาที่เป็นวิชาความรู้วิชาชีพนั้นค่อยเรียนเพิ่มทีหลัง ทั้งนี้เพื่อว่าเราจะได้รากฐานที่ดี เป็นรากฐานที่ดีลงไปในจิตใจของทารก ของเด็ก ของวัยรุ่น ของคนหนุ่มคนสาว มีพื้นฐานที่ดี รู้จักความเป็นมนุษย์ว่ามันคืออะไร มีความเชื่อในใจอย่างแน่นแฟ้นมั่นคงว่าเราต้องเป็นมนุษย์ให้ได้ แล้วก็ต้องพยายามบังคับตนเองให้เป็นมนุษย์ให้ได้ จนเป็นที่พอใจว่าเราได้เป็นมนุษย์โดยแท้จริง นี้ปัญหาก็จะหมด ทุกๆคนมีความเป็นมนุษย์อย่างถูกต้อง ตัวผู้นั้นก็มีความสงบสุข แล้วคนทั้งหลายที่อยู่ร่วมบ้านร่วมเมืองร่วมโลกกันก็พลอยได้รับประโยชน์ ขอเพียงว่าผู้นั้นมีความสงบสุข ผู้อื่นพลอยได้รับประโยชน์ เท่านี้ก็พอแล้ว ไม่ต้องหวังอะไรให้มากไปกว่านี้ในทางสังคมหมู่มนุษย์ ผู้นั้นไม่มีความทุกข์ มีความถูกต้อง มีความสุขเป็นที่พอใจ แล้วเขาชีวิตอยู่ชนิดที่ผู้อื่นพลอยได้รับประโยชน์ด้วยทุกเวลานาที นี่เรียกว่ามีความถูกต้องของความเป็นมนุษย์มาโดยลำดับทั้งทางกาย ทางจิต ทางวิญญาณ เห็นได้ว่าชีวิตของเขามีวิวัฒนาการทั้งโดยธรรมชาติ และทั้งโดยที่เราปรับปรุงเพิ่มเติมให้ นั่นแหละคือการพัฒนาชนิดที่ต้องรู้ ต้องเข้าใจอย่างแจ่มแจ้ง และต้องทำให้สมบูรณ์ ทีนี้ถ้าพูดถึงทางธรรมะ เราใช้คำว่า พัฒนาด้วยการทำให้เกิดความถูกต้องทั้งทางกาย ทั้งทางจิต และทั้งทางสติปัญญา ซึ่งเป็นหลักสำคัญชั้นหัวใจของพระพุทธศาสนา ท่านทั้งหลายได้ยินได้ฟังกันมาแล้ว อาตมาไม่ต้องบอกก็ได้ว่า พระพุทธศาสนาเรามีหลักคือ ศีล สมาธิ ปัญญา ทุกคนคงจำได้ว่าเรามีหลักเรื่องศีล เรื่องสมาธิ เรื่องปัญญา แต่แล้วเราก็ไม่รู้ว่ามันคืออะไร เพราะเราฟังมาชินหูเกินไป ไม่ได้นำมาใช้ให้เป็นประโยชน์ อาตมาจะบอกว่าศีล สมาธิ ปัญญา นั่นแหละเป็นหลักของการพัฒนาสิ่งที่เรียกว่าชีวิต ศีล สมาธิ ปัญญา นี้ในทางพุทธศาสนาเรียกว่า สิกขา หรือ การศึกษาสามอย่าง สามประการ ใช้ในวงพุทธศาสนา ใช้ภาษาบาลี เรียกว่า สิกขา ถ้าเป็นภาษาสันสกฤต จะเรียกว่า ศิกฺษา มาเป็นภาษาไทย ออกมาจากภาษาสันสกฤต คือคำว่า ศึกษา ที่เป็นชื่อกระทรวงศึกษาธิการนั่นแหละ คำนี้ในบาลี เรียกว่า สิกขา ขอให้รู้ว่าเป็นคำเดียวกันกับ ศึกษา เมื่อได้ยินคำว่า ไตรสิกขา สิกขาสาม ก็ให้รู้ว่า การศึกษาสาม การศึกษาสาม คือ ศีลสิกขา คือศึกษาในส่วนศีล สมาธิสิกขา หรือ จิตสิกขา คือศึกษาในส่วนจิต ปัญญาสิกขานี้ ศึกษาในส่วนสติปัญญา เพราะว่าสิกขา ไม่ใช่เป็นเรื่องศึกษาอย่างที่เรากระทำกันอยู่ คือ ศึกษาในโรงเรียน ศึกษาเป็นวิชา ศึกษาเป็นทฤษฎี ศึกษาในกระดาษ ดินสอสมุด ตำรับตำรา หนังสือหนังหา ศึกษาหรือสิกขาอย่างนั้นไม่ใช่ สิกขาในพระพุทธศาสนา สิกขาในพุทธศาสนานั้นหมายถึงการเกิดการประพฤติธรรม หรือการฝึกฝนลงไปโดยตรง มีการเรียนรู้และฝึกฝนลงไปโดยตรง ที่ลงไปที่กาย วาจา เรียกว่า ศีลสิกขา ศึกษา ฝึกฝนลงไปโดยตรงที่จิต เรียกว่า จิตสิกขา ศึกษา ฝึกฝนลงไปโดยตรงเกี่ยวกับระบบปัญญา วิชาความรู้ เรียกว่า ปัญญาสิกขา เมื่อเรายืมเอาคำว่าสิกขาในภาษาบาลีมาใช้ เรียกว่า ศึกษา อย่างนี้แล้ว ก็อย่าเอามาแต่ชื่อ ขอให้เอาความหมายที่ถูกต้องมาด้วย ความหมายที่ถูกต้องนั้นคือการกระทำ มิใช่เป็นเพียงการเรียนอย่างวิชาล้วนๆ ต้องให้เป็นรูปของการกระทำ ถ้าเอาศีลสิกขามา ก็ต้องเอาระบบการประพฤติธรรม ให้เกิดความถูกต้องทางกาย ทางวาจามา ฉะนั้นในโรงเรียนของเราต้องมีการฝึกฝนอบรมให้เกิดความถูกต้องทางกายและทางวาจา เดี๋ยวนี้เราไม่ทำอย่างนั้น ศึกษาให้เรียนแต่เพียงวิชาความรู้กับ วิชาชีพ มันไม่มีความถูกต้องทางกาย ทางวาจา นักศึกษาเหล่านั้นไม่มีศีลเสียเลย จบการศึกษาแล้วยังไปเป็นฮิปปี้ จบการศึกษาแล้วยังไปบูชายาเสพย์ติด จบการศึกษาสูงๆ ได้รับหน้าที่การงานสูงๆ ก็ยังทำการคอรัปชั่น แปลว่าศึกษาสูงๆเพื่อให้ทำคอรัปชั่นให้มันเก่ง ให้มันสูงตามไปด้วย นี่คือไม่รับเอาคำว่าศีลสิกขามาโดยความหมาย ยืมมาแต่ชื่อก็ศึกษากันแต่เรื่องปาก เรื่องเสียง เรื่องกระดาษ เรื่องดินสอ ถ้าว่ารับเอาความหมายของคำว่าศีลสิกขา มันก็ต้องมามีระบบการประพฤติ กระทำ บังคับ ควบคุม ฝึกฝน จนเกิดความถูกต้องทางกาย วาจาของเด็ก ของเยาวชนทุกคน นี่เรียกว่ามีการศึกษาจริง ทีนี้จิตสิกขา ศึกษาทางจิต ก็แปลว่าเด็กๆเยาวชนของเราต้องได้รับการศึกษาให้รู้จักบังคับจิต บังคับจิตตั้งแต่ไม่ให้ฟุ้งซ่านด้วยอำนาจของนิวรณ์และกิเลส เขามีจิตสดใส มั่นคง เข้มแข็ง ปราศจากนิวรณ์ และเป็นจิตที่ดีที่มีสมรรถนะพร้อมที่จะทำงานทางจิต ไม่ใช่อ่อนแอ ขี้ขลาด ร้องไห้ง่าย หัวเราะง่ายอยู่อย่างนี้ นี่มันเป็นจิตที่ยังไม่ได้รับการอบรมทางกฎเกณฑ์ของพระศาสนา เด็กๆของเราได้รับการอบรมให้มีจิตใจที่มีความถูกต้องกันเสียจะดีกว่า เล่นกีฬานั้นไม่พอหรอก ยิ่งกีฬาสมัยนี้ยิ่งบ้าบอ ขอกล่าวตรงๆอย่างนี้ว่า การเล่นกีฬาสมัยนี้ยิ่งฝึกความเห็นแก่ตัว ในสนามกีฬามีการทำอันตรายกัน ในสนามกีฬามีความหมายของคำว่าแก้แค้น เมื่อมีคำว่าแก้แค้นอย่างนี้แล้วมันจะเป็นกีฬาไปไม่ได้ เพราะว่ากีฬา เขามุ่งหมายให้ไม่รู้จักความแก้แค้น เดี๋ยวนี้ในสนามกีฬาเต็มไปด้วยความแก้แค้น มันเป็นกีฬาบ้าๆบอๆของภูตผีปีศาจมากกว่า ฉะนั้นกีฬา หรือการกีฬาสมัยนี้ไม่ช่วยให้ยุวชนของเรา มีความถูกต้องในทางจิตใจได้ จะเป็นนักกีฬาก็ไม่ได้ เพราะมันเห็นแก่ตัวมากเกินไป จนกระทั่งมันแก้แค้น ดังนั้นระบบการศึกษาต้องปรับปรุงเสียใหม่ เปลี่ยนกันเสียใหม่ ให้นักเรียนทุกคนได้รับการฝึกฝนให้มีความถูกต้องในทางจิตใจ มีจิตบริสุทธิ์จากความรู้สึกรบกวนของกิเลสในชีวิตประจำวัน ที่เรียกกันว่า นิวรณ์ 5 ไปศึกษาดูเถิด ไม่ใช่เรื่องลึกลับ ในป่าหิมพานต์เหมาะสำหรับฤาษีมุนีก็ไม่ใช่
หน้าที่ 3 – ความก้าวหน้าแก่ชีวิต
ที่บ้านที่เรือนในบ้านในเมืองนี่คนเรายังมีจิตประกอบไปด้วยนิวรณ์ห้า เรียกว่าตั้งใจจะทำอะไรให้ดีที่สุดความรู้สึกทางเพศก็มารบกวน นี่เรียกว่า กามฉันทะ เป็นนิวรณ์ตัวที่หนึ่ง ตั้งใจจะทำอะไรก็มีความลังเลโลเล นี่เรียกว่า วิจิกิจฉา ตั้งใจจะทำอะไรก็มีความขัดแค้น โกรธเคือง ขุ่นเคืองผู้ใดผู้หนึ่งมารบกวน นี่เรียกว่า พยาบาท ก็เป็นนิวรณ์ ตัวที่สอง ตั้งใจจะทำอะไรจิตก็รู้สึกอ่อนเพลียมันอยากนอนเสียมากกว่า นี่เรียกว่านิวรณ์ที่สาม ตั้งใจจะทำอะไรดีจิตมันฟุ้งซ่านไปเสีย นี่เป็นนิวรณ์ตัวที่สี่ ตั้งใจจะทำอะไรก็มีความลังเลมีความโลเล นี่เป็นนิวรณ์ตัวที่ห้า นี่เป็นเรื่องชีวิตประจำวันแท้ๆของบุคคลที่มีจิตไม่ถูกต้อง คือเขามีจิตไม่ถูกต้อง จะทำงานอะไรดีทางจิตมันไม่ได้ นี่เราฝึกฝนให้เด็กๆยุวชนของเรามีจิตถูกต้องปราศจากนิวรณ์รบกวน เป็นจิตใจที่สดใส แช่มชื่น เข้มแข็ง จะทำอะไร จะเรียนหรือจะศึกษา จะทำการงานก็ทำด้วยจิตที่สดใส เข้มแข็ง ก็ทำได้ดี เป็นนักเรียนก็เป็นนักเรียนได้ดี เป็นศิลปินก็เป็นศิลปินได้ดี แม้จะประกอบอาชีพอะไรก็ตามเถอะ มันก็ทำได้ดี เพราะว่าจิตใจมันพร้อมที่จะทำอย่างนั้น แต่เราก็ไม่เห็นว่ามันเป็นหลักสูตรที่อบรมในโรงเรียนหรือในมหาวิทยาลัย นี่การศึกษาหมาหางด้วนมันเป็นอย่างนี้ ให้เรียนแต่หนังสือกับวิชาชีพ ส่วนที่ทำให้เกิดความถูกต้อง สมบูรณ์ ทางจิตใจ เป็นมนุษย์ กันอย่างไรนั้นไม่มี ระบบการศึกษาชนิดนี้จึงเป็นเหมือนระบบการศึกษาหมาหางด้วน ถ้าคุณไม่ชอบคำว่าหมาหางด้วน อาตมาพูดใหม่ก็ได้ พูดว่าพระเจดีย์ยอดด้วน ไม่พูดจาหยาบคาย เมื่อคุณชอบพระเจดีย์ยอดด้วน หรืออย่างเล่า มันก็อย่างเดียวกันนั่นแหละ อย่าให้มีอะไรขาดอยู่ ขอให้สมบูรณ์เถอะ โดยเฉพาะการศึกษา ทีนี้ก็มาถึงปัญญาสิกขา มีความถูกต้องทางสติปัญญา คนเราอยู่ด้วยสติปัญญาตามที่เรามี ไม่มากก็มีน้อย แล้วสติปัญญาก็ขึ้นอยู่กับความรู้ความเข้าใจ ความเชื่อถือ ความยึดถือ แม้ในส่วนที่เป็นทฤษฎี ยังไม่เป็นความจริง มันก็ยังไม่เป็นปัญญาอยู่นั่นเอง คือต้องมีปัญญาทุกระดับ แล้วก็ ปัญญาที่เกิดมาจากการศึกษาในโรงเรียนก็ถูกต้อง ปัญญาที่ใช้เหตุผลของเราไปเองก่อนก็ถูกต้อง ปัญญาที่มาจากการกระทำสมาธิภาวนา วิปัสสนา เกิดขึ้นมา มันก็ยิ่งจะถูกต้อง นั้นมีปัญญาถูกต้องหมด ก็กลายเป็นถูกต้องชั้นยอดสุด เมื่อทางสติปัญญาถูกต้องแล้วทางจิตก็ถูกต้อง เมื่อทางจิตถูกต้องแล้วทางกาย ทางวาจามันก็ถูกต้อง ดังนี้ขอให้จำไว้ว่าถูกต้องทางกายทางวาจา เลื่อนขึ้นไปถูกต้องทางจิต เลื่อนขึ้นไปถูกต้องทางสติปัญญา ความคิด ความเห็น เป็นความถูกต้องหมด ความถูกต้องของสิ่งทั้งสามนี้ ทั้งสามกลุ่มนี้เราเรียกว่าไตรสิกขา หรือการศึกษาสามอย่าง ถ้าเรายืมคำนี้มาใช้จากระบบพระศาสนาแล้วก็ขอให้ยืมเอาความหมายมาด้วย อย่ายืมมาแต่คำ ยืมมาแต่คำก็ศึกษา ศึกษาแต่เปลือก ไม่มีเนื้อในติดมาเลย นั้นก็เป็นการศึกษาที่ไม่จริง นั้นไม่ใช่การศึกษา รู้แต่หนังสือและวิชาชีพนี้ไม่มีทางเป็นมนุษย์ที่ถูกต้องหรือสมบูรณ์ได้ ถ้าเอาแต่เรียนอย่างเดียว นักเรียนจดไว้ในสมุดปิดเก็บไว้ อย่างนี้ไม่เป็นการศึกษาไปได้ เพราะว่าการศึกษาของพระพุทธเจ้านั้นหมายถึงการประพฤติ กระทำลงไปจริงๆ กระทำทางกาย ทางวาจา ทางจิต ทางสติปัญญา ทำลงไปจริงๆ การกระทำนั้นชื่อว่าการศึกษา ไม่ใช่ขีดเขียนเรียนท่องบ่น จำๆไว้ จดใส่สมุดไว้ อย่างนั้นไม่ใช่การศึกษา จะเป็นเพียงอุปกรณ์การศึกษาสักนิดหนึ่งเท่านั้นแหละ คือ ช่วยกันลืม สำหรับการประพฤติปฏิบัติ พอมีการประพฤติปฏิบัตินี้จึงจะเป็นการศึกษาโดยแท้จริง ขอฝากไว้ว่าถ้ายืมคำว่า ศึกษา จากพระศาสนามาใช้แล้ว ขอให้ยืมมาทั้งระบบ คือทั้งเนื้อทั้งตัว อย่ายืมมาแต่ชื่อ เดี๋ยวนี้ยืมมาแต่ชื่อ แล้วก็ได้มาแต่เปลือก มันก็เลยเป็นศึกษาที่ไม่สมบูรณ์นั่นแหละเป็นการศึกษาของระบบหมาหางด้วน เทียบว่าหมาหางด้วนหมายความว่า เรียนกันแต่หนังสือกับอาชีพ ส่วนจริยธรรมที่ว่าเราจะเป็นมนุษย์กันอย่างไรนั้นไม่ได้เรียน นี่เรียนกันมากมายก็รู้แต่หนังสือกับวิชาชีพ เป็นปริญญาสูงสุด มันก็เป็นส่วนหนึ่งของอาชีพ วิชานั้นก็เป็นส่วนหนึ่งของอาชีพ ไม่เรียนธรรมะ ไม่เรียนศาสนา ไม่เรียนเรื่องความเป็นมนุษย์ที่ถูกต้อง นี่เพราะว่าการศึกษามันเปลี่ยนเสียแล้ว การศึกษาสมัยโบราณในทวีปเอเชียก็ดี ในทวีปยุโรปก็ดี มีศาสนาแฝกอยู่ด้วย มีธรรมะแฝกอยู่ด้วย เช่นมหาวิทยาลัยออกฟอดซ์ แคมบริด แรกตั้งเค้ามีการศึกษาทางศาสนา ทางธรรมะแฝกอยู่ด้วย เพราะว่าพระเป็นผู้จัด อาตมาได้รับฟังมาว่ามหาวิทยาวัยออกฟอดซ์ แคมบริด ทีแรกเป็นมหาวิทยาลัยของพระในศาสนาคริสตัง พระในศาสนาได้ตั้งโรงเรียนขึ้นมา แล้วมันวิวัฒนาการขึ้นมาเป็นมหาวิทยาลัยแคมบริดและ ออกฟอดซ์ อย่างนี้ เมื่อพระจัดตั้งทำไมจึงจะไม่มีธรรมะหละ ทำไมจึงจะไม่มีศาสนาหละ ระเบียบพิธีรีตองตลอดในโรงเรียนนั้นเหมือนกับศาสนาทั้งนั้นแหละ แม้แต่จะกินอาหารมันก็ต้องขอบคุณพระเจ้าก่อน แม้แต่จะนอนมันก็ขอบคุณพระเจ้าก่อน จะลงมือเรียนก็ขอบคุณพระเจ้าก่อน ทุกอย่างมันย้อมให้เป็นเรื่องของธรรมะ ของศาสนา เดี๋ยวนี้ไม่มีเหลือ ลักษณะอาการอย่างนี้เค้ามาบอกเล่าให้ฟังว่า ไม่มีเหลือแล้ว เพราะการจัดการศึกษานั้นมันเปลี่ยนจากพระมาเป็นชาวบ้านแล้ว ทีนี้ชาวบ้านเค้าเห็นว่ามามัวศึกษาเรื่องศาสนาอยู่มันเสียเวลา มันไม่ส่งเสริมเศรษฐกิจ มันไม่ส่งเสริมการเมือง มันไม่เป็นไปเพื่อโลกปัจจุบัน มันตัดออกๆ ตัดการศึกษาทางศาสนา ทางธรรมะนี้ออก ให้เหลือแต่วิชาความรู้ เทคโนโลยีทุกแขนง นี่มันเปลี่ยนอย่างนี้ จึงเหลือแต่หนังสือกับอาชีพ ซึ่งสรุปเรียกสั้นๆว่า วิชาเทคโนโลยีทุกสาขา แม้เกี่ยวกับทหาร หรือว่าเกี่ยวกับการเมือง หรือเกี่ยวกับเศรษฐกิจ หรือเกี่ยวกับอะไรก็ตาม เราเลยมีการศึกษาที่ไม่สมบูรณ์ และทราบว่าในบางรัฐหรือในบางประเทศนั้นผิดกฎหมายเลย ถ้าเอาเรื่องธรรมะ เรื่องศาสนามาสอนในห้องเรียน ถือว่าครูคนนั้นทำผิดกฎหมาย จะลงโทษ มันเป