ชีวิตเป็นสิ่งที่ต้องพัฒนา(1) โดย ท่านพุทธทาส ภิกขุ
หน้าที่ 1 – ชีวิตเป็นสิ่งที่ต้องพัฒนา
ท่านนักเรียนนักศึกษาครูบาอาจารย์และท่านที่สนใจในธรรมทั้งหลาย การบรรยายครั้งนี้คิดว่า จะพูดเรื่องที่เนื่องกันกับปีใหม่ เพราะว่าอีกสองสามวันก็จะถึงปีใหม่แล้ว เราควรได้พูดเรื่องที่เกี่ยวกับปีใหม่ ดังนั้นก็จะให้หัวข้อในการพูดวันนี้ว่าชีวิตเป็นสิ่งที่ต้องพัฒนา ถ้ารู้จักว่าชีวิตคืออะไร เราก็จะเข้าใจได้ยิ่งขึ้นว่า มันเป็นสิ่งที่ต้องพัฒนาอย่างไร เพราะชีวิตนี้เป็นของแปลกที่สุดอยู่อย่างหนึ่ง คือว่าในตัวเจ้าของมันเองแหละไม่รู้จัก
เพราะฉะนั้นคำตอบคำแรกที่จะตอบคือว่า ชีวิตคือสิ่งที่เจ้าของไม่รู้จักใครว่ามันยังงงจับต้นชนปลายไม่ค่อยจะถูก ได้แต่เล่าเรียนมาเล็ก ๆน้อย ๆในโรงเรียนว่าชีวิตเป็นสิ่งที่เป็นอยู่ ที่ยังไม่ตายเท่านั้นเอง แต่ตัวชีวิตจริง ๆ ได้แก่อะไรนี้มันเป็นอยู่ ถึงแม้ข้อความที่จะพูดต่อไปนี้มันก็ยากที่จะทำเหมือนกับว่าเอาชีวิตมาดูได้ในฝ่ามือ เหมือนกับก้อนดินก้อนกรวดหยิบมาดูได้ในฝ่ามือ ดูได้ว่ามันคืออะไร โดยเหตุที่ว่าชีวิตมันไม่ได้เป็นวัตถุอย่างนั้น ถ้าว่าด้วยร่างกายจิตใจยึด ก็คงยังไม่รู่ว่าอะไรคือชีวิตมันก็ยังเป็นร่างกาย อันหมายความว่ามันยังเป็นอยู่คือมันยังไม่ตาย มันต้องพัฒนา แปลว่าเรามีชีวิตเป็นสิ่งที่ต้องพัฒนา สิ่งที่ยังไม่ตาย เราต้องพัฒนา แปลว่าเรามีชีวิตที่ต้องพัฒนา คำว่าต้องพัฒนานี้ มันยังแยกเป็น 2 ความหมาย คือตัวมันเอง ก็พัฒนามันคงที่อยู่ไม่ได้
โดยธรรมชาติแล้วชีวิตจะไม่คงที่ตายตัว มันจะมีวิวัฒนาการเปลี่ยนไปสู่จุดที่สูงสุด ยิ่ง ๆ ขึ้นไป นี้มีความหมายว่า ถ้าปล่อยไปตามลำพังตัวมันเองมันก็จะต้องพัฒนา เราจะไปดึงมันไว้ก็ไม่ได้เพราะมันต้องพัฒนาโดยธรรมชาติ ทำไมนี้มันถึงเกี่ยวกับเรา เราต้องร่วมมือกับมันในการพัฒนา คือเราต้องพัฒนาชีวิตนั้นเองไม่ได้หรือแม้แต่ ตัวชีวิตมันต้องพัฒนาไปตามกฎเกณฑ์ ไปทางวัตถุ และจิตใจ ทางสติปัญญา เมื่อเราเรียนชีววิทยามาพอสมควรแล้ว เราก็จะพบว่ามันมีการพัฒนา ทั้งทางกาย ทางจิตวิญญาณ แม้โดยธรรมชาติไม่อาจจะถือได้ว่ามันเป็นเรื่องตายตัว ถ้าถือทางชีววิทยาทีแรกมันก็ยังไม่มีอะไร กว่ามันจะมีความชื้นที่หมักหมม เกิดเซลล์หลาย ๆ ชีวิต เป็นเซลล์เดียวแท้ ๆ ทำอะไรไม่ได้ มันพัฒนาตัวมันเองเป็นหลายกลุ่มแห่งเซลล์ จนจัดตั้งเป็นสิ่งที่มีชีวิต เป็นพืช เป็นสัตว์ เป็นคนในที่สุด ใครจะไปหยุดมันไม่ได้ บังคับมันไม่ได้ มันจะพัฒนามาเป็นวัตถุ มาเป็นจิตใจ ส่วนที่เป็นวัตถุ หรือร่างกาย ส่วนที่เป็นวัตถุ หรือร่างกายที่ต้องพัฒนาขึ้นมากเท่าไร ส่วนที่เป็นจิตใจ ที่อยู่ในส่วนร่างกาย ก็พัฒนามามากขึ้นเท่านั้น กำลังจิตของสิ่งที่มีชีวิต ลำดับมันก็มากกว่าเหมือนต้นไม้ มันก็มีความรู้สึกเหมือนต้นไม้ สัตว์ ก็รู้สึกอย่างสัตว์ เป็นคนมันก็ยิ่งกว่าคนมากกว่าสัตว์ เพราะคนมันสูงกว่าสัตว์ ที่นี้มาดูทางสติปัญญาเราจะเห็นได้ว่าเราจะเปรียบกันไม่ได้ เพราะสติปัญญาของคนกับสติปัญญาของสัตว์ สติปัญญาของต้นไม้ที่มันน้อยเหลือเกิน แต่ทางพิสูจน์ทางวิทยาศาสตร์เป็นสิ่งที่เชื่อถือได้ ว่ามันเป็นสิ่งที่มีความรู้สึก เมื่อมันมีความรู้สึกมันก็จะมีการพัฒนาในความรู้สึกนั้นได้ ต้นไม้จึงรู้จักต่อสู้ รู้จักหลีกเลี่ยง รู้จักทำความเจริญ รู้จักการรอดตาย กำลังความรู้สึกหรือกำลังจิตมันก็มากขึ้น ๆ ตามลำดับของการพัฒนา กว่ามันจะมาเป็นสัตว์ สัตว์ที่ต่ำมาก และสัตว์ที่สูงขึ้น สัตว์ในน้ำ สัตว์ครึ่งบกครึ่งน้ำ สัตว์บกแท้ ๆ แม้กระทั่งสัตว์ที่บินได้ในอากาศ มีร่างกายที่พัฒนา มีจิตที่พัฒนา มีสติปัญญาที่พัฒนา แต่โดยเหตุที่เป็นไปตามธรรมชาติมันก็มีขอบเขตจำกัด มนุษย์เราเมื่อแรกที่เป็นมนุษย์ขึ้นมา ครึ่งคนครึ่งสัตว์ กระทั่งเป็นคนแท้ ๆ ยังเป็นคนป่าอยู่ ก็ค่อยพัฒนาก้าวหน้าจนเป็นคนในปัจจุบันนั้น ก็พัฒนาทั้งทางกาย ทางจิต และทางสติปัญญา จะเห็นได้ว่าร่างกายจะดีกว่ากันมากเพราะได้รับการบริหารที่ละเอียด ประณีต และสุขุม พัฒนาทางกาย พัฒนาทางจิต ให้มีกำลังจิตเข้มแข็งมีกำลัง สมาธิ เพราะร่างกายพัฒนาก็เป็นที่ตั้งแห่งจิตที่มันพัฒนาที่มีกำลังจิตที่
หน้าที่ 2 – มนุษย์มันมีการพูดจาไม่เหมือนสัตว์
ดีกว่า สูงกว่า ส่วนกำลังสติปัญญานั้นแน่นอนเพราะมนุษย์มันมีการพูดจาไม่เหมือนสัตว์ ไม่เหมือนต้นไม้ ที่มันพูดจาอะไรไม่ได้ การพูดจาเป็นสื่อสิ่งที่สำคัญที่สุดแห่งการถ่ายถอด เราจะมีการถ่ายถอดวิชาให้แก่กันและกัน ด้วยการพูดจาหรืออะไรก็ได้ที่สงเคราะห์อยู่ในการพูดจา เมื่อมีการพูดจาจึงมีการถ่ายถอดอะไรกันได้
ถ้าดูด้วยตาก็ยังถ่ายถอดน้อยเกินไปนั้นเป็นภาษาพูดจาด้วยทางตา สู้ทางปากไม่ได้เพราะอธิบายกันได้ละเอียด ลออ มนุษย์จึงพัฒนาเร็วมากทั้งสติปัญญา แปลว่ามันถ่ายถอดให้แก่กันและกันได้คนแรกที่มีความรู้เท่าไรก็ถ่ายถอดให้คนทีหลังได้ คนทีหลังก็ไม่เสียเวลามากจากที่คนก่อนสอนให้เท่าไรก็ก้าวหน้าต่อไป สอนมันต่อไปก้าวหน้าต่อไป มนุษย์จึงเป็นมนุษย์ที่เราเห็นจนถึงทุกวันนี้ ต่างกันเหลือเกินกับมนุษย์คนแรก ถือมาจากสัตว์มาจากลิงก็ดูเถอะมันต่างกันอยู่แล้ว ถึงว่ามาจากเซลล์เดียวในโลกก็ต่างกันลึกลับจะเห็นได้ว่าชีวิตเป็นสิ่งที่ต้องพัฒนาอยู่ในตัวมันเอง ต้องมีคำว่าต้องถ้าไม่มีคำว่าต้องมันก็จบ มันก็ไม่คงอยู่จนเจริญมาได้ ชีวิตแท้ ๆ ว่าเป็นชีวิตแบบไหน ส่วนชีวิตจึงเป็นสิ่งที่ต้องพัฒนา ที่ประกอบเป็นร่างเป็นโครงมันก็พัฒนาเราก็ต้องให้โอกาสมันพัฒนา ที่พัฒนาอยู่เองโดยธรรมชาติต้องช่วยกันผสานสนับสนุนกันให้ดีให้ส่วนที่ต้องพัฒนาไปโดยธรรมชาตินั้นก็เป็นไปได้ไม่หยุดในการพัฒนา ที่นี้ก็มาดูในชั้นที่สอง ที่เราต้องพัฒนาทางร่างกาย บริหารให้มันดีที่สุดและต้องบริหารให้ถูกต้อง ไม่ใช่บริหารที่ผิดๆ เหมือนในที่บริหารกันอยู่ก็มีเหมือนกันและก็มีความทนทาน บริหารผิด ร่างกายนี้มันก็เลวลง เจ็บไข้ได้ป่วยง่าย ไม่เข้มแข็งเหมือนกับยุคแรกๆ พัฒนาลงไม่ได้พัฒนาขึ้น มันเป็นความโง่ของคนพัฒนานั่นเอง เดี๋ยวนี้เราชอบการกินดีอยู่ดี ฟุ่มเฟือย นี้มันการพัฒนาขึ้นหรือพัฒนาลง วิชาการความรู้ของพวกหมอว่ามันเป็นการพัฒนาลงเสียมากกว่าถ้าเรากินอยู่ฟุ่มเฟือย บำรุงบำเรอเกิน อะไรก็ล้วนแต่เกินมันจะพัฒนาลง ทุกคนช่วยเอาไปสังเกตให้ดีมันมีอาการอย่างนี้ กินอยู่เกิน ใช้เกิน ประคับประหงมเกิน บำรุงบำเรอเกิน ผลที่ได้คือพัฒนาลงทางร่างกายอ่อนแอมีโรคภัยไข้เจ็บง่าย อย่างนี้มันก็เรียกว่าผิดแท้ๆ ในการพัฒนาที่มันต้องพัฒนาจิตใจให้มีกำลังจิตยิ่งขึ้นไป คือมีจิตที่เข้มแข็ง มีจิตที่บริสุทธิ์ มีจิตที่ว่องไว มีจิตที่มีคุณสมบัติสูง ทั้งในด้านการงาน เช่นว่า คิดเก่ง-ทำเก่ง นึกออกเร็วเก่ง มีความจำได้ดี เป็นลักษณะของจิตที่พัฒนาได้ดี เราในสมัยนี้เป็นอย่างนี้กันหรือเปล่าแม้ต้องทำให้เป็นที่แน่นอนได้ว่าจิตของเรามีความเข็มแข็งมันก็เป็นโรคประสาทยากเดี๋ยวนี้คนเป็นโรคประสาทง่ายการพัฒนามันถอยหลัง ชีวิตคนไม่สามารถบังคับ จิตก็ผิดปกติ เมื่อรักมันก็ผิดปกติ เมื่อโกรธมันก็ผิดปกติเมื่อกลัวมันก็ผิดปกติเมื่อโง่มันก็ผิดปกติเมื่อวิตกกังวนมันก็ผิดปกติเมื่อเครียดมันก็ผิดปกติเมื่ออ่อนแอลงเราก็ผิดปกติด้วยเหมือนกัน ทำอย่างไรจิตของเราถึงจะเข็มแข็งมั่นคงบริสุทธิ์อยู่ตามธรรมชาติของจิต ที่เราจะต้องรู้เรื่องการพัฒนาของจิตมันสู่อารมณ์ไม่ได้ เดี๋ยวนี้เป็นโรคประสาทกันมากเพราะว่าในจิตมันถอยหลัง ไม่พัฒนา ความรักความโกรธความเกียจความวิตกกังวน ความอะไรต่าง ๆ ที่รู้จักกันดี ทำให้จิตมันไม่พัฒนา ไม่ทนอยู่ได้อย่างผิดปกติมันจะเปลี่ยนไป เป็นโรคประสาท จะเป็นโรคได้ทุกโรคในร่างกาย เช่น โรคกระเพาะที่มาจากความกังวนที่ทน ๆ กันไป หรือว่าโรคที่เขาเกลียดกลัวกันนัก เช่น โรคมะเร็ง เป็นต้นก็เพราะว่าโลหิตมันถูกทำล้าย ให้อ่อนแอให้หย่อนอำนาจต้านทานเชื้อโรคควบคุมสิ่งต่างๆ ได้ดำเนินอย่างถูกต้อง จึงมีโรคขึ้นว่าได้ เช่น โรคมะเร็ง เพราะว่าเรามีโลหิตดี สมบูรณ์ดีนี้ก็จะทำให้ ร่างกายมีการต่อต้านนี้สูง รักษาร่างกายดีจิตใจดีมันทนอยู่ได้ มันไม่ถูกย้ำยี่ เมื่อจิตมันถอยกำลังก็ทำให้ระบบประสาทดีไม่เกิดความผิดปกติขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ระบบที่เกี่ยวกับโลหิต ถ้าระบบนี้ไม่ดีก็จะเกิดการเปลี่ยนแปลงขึ้นทุกระบบ เช่น ระบบย่อยอาหาร ถ้ากระเพาะที่มันเสียไป มันก็เกิดกระเพาะเรื้อรัง ระบบการใช้น้ำตาลมันก็จะเสียมมันใช้น้ำตาลไม่ได้ ใช้ไม่หมดมันก็เป็นโรคเบาหวาน ซึ่ง
หน้าที่ 3 – สติปัญญาต้องพัฒนา
เป็นกันมากขึ้นมันควบคุมอะไรไม่ได้ มันก็มีไขมันในเลือด มันก็มีความดันสูง หลายอย่างหลายประการ ซึ่งทรัพย์ทวีขึ้นในโลกนี้มันก็มีความผิดพลาดเกี่ยวกับระบบจิต ซึ่งทำให้ระบบกายวิปริตไปโดยเท่าเทียมกัน ถ้าเรามีกายที่ปกติ โรคเหล่านี้ก็จะไม่เกิดขึ้นเหมือนอย่างคนพุทธกาลสมัยโบราณที่เขาอยู่กันพวกฤาษีมุณีที่อยู่ในป่าคนเดียวก็ได้ไม่ได้ไปหาหมอที่ไหนเลยมันก็อยู่ชีวิตสิบปียี่สิบปี อยู่ด้วยชีวิตที่แก้ไข ชีวิตปรับปรุงพัฒนาชีวิตที่ถูกต้อง ไม่เหมือนเราที่มีความยุ่งยากและลำบาก เพราะว่าทำผิดพลาด จนต้องกินยาทั้งกลางวันกลางคืนเบื่อจะตายแล้ว
ที่ต้องกินยามากขนาดนี้ ซึ่งคนเมื่อก่อนเขาไม่กินกันเลยเขาก็อยู่ได้ ความถูกต้องในทางจิตใจ ถ้าไม่มีความปกติในทางระบบประสาทมันก็ดีมันก็ถูกต้อง ทางกายมันก็ดีมันก็จะถูกต้องพัฒนาลงหรือจะให้พัฒนาขึ้น ถ้ามันเป็นเรื่องของการเกิน อะไรเกิน ดีเกิน มากเกิน มันก็จะพัฒนาลงได้ เหมือนกับการครองชีวิต เหมือนมนุษย์ในยุคปัจจุบัน ที่ทำให้เกิดโรคขึ้นมากมายหลายประการ จนเป็นปัญหาไปหมด ควรจะคิดดู ที่นี้เราก็จะมาดู สิ่งที่สามคือสติปัญญาต้องพัฒนา นี้คือปัญหาที่สำคัญที่สุด เพราะสติปัญญานี้มันนำชีวิตนำทุกสิ่ง ถ้ามันผิดมันไม่พัฒนาแล้วมันก็จะลงอย่าง เลวร้ายด้วย มีอันตรายเป็นปัญหามาก เมื่อมันมีปัญหาเดียวโดยพื้นฐานเรามีสติปัญหาที่ถูกต้องหรือไม่หรือมันยังไม่พัฒนาเสียที โดยพื้นฐานเรามีพื้นฐานทางสติปัญญาหรือไม่ ทบทวนดู ถ้ามันถูกต้องมันก็จะยิ่งขึ้นไปยิ่งขึ้นไป มันก็จะเป็นการพัฒนา แต่ถ้าเดี๋ยวนี้มันไม่ถูกต้องว่ามันพัฒนาไปทางไหน ตัวเองทำผิดจนไม่ถูกต้อง เดี๋ยวนี้มันจะพัฒนาไปได้อย่างไร ถ้าทำมากเข้ามันก็ผิดมากเข้าเท่านั้นเอง จะเปลี่ยนความรู้ให้ถูกต้อง หรือจะเปลี่ยนความรู้อย่างไรดี ความให้ความสนใจ ที่เป็นพื้นฐานที่สำคัญที่สุด เช่นวัฒนธรรมขนบธรรมเนียมประเพณี เป็นต้น คนเดี๋ยวนี้ละเลยขนบธรรมเนียมประเพณีโอกาสที่จะตั้งต้นผิดพลาดอย่างมากทีเดียว เช่นว่า เมื่อเด็กคลอดมาจากครรภ์มารดาแล้วจะอบรมอย่างไรโดยวัฒนธรรมนั้นมันก็ถูก คำว่าวัฒนธรรมมันก็มีจุดเริ่มต้นทั้งทางร่างกายความคิดความเห็นที่ดี ความเจริญก้าวหน้า ที่ถูกต้อง แต่ถ้าเด็กเติบโตมาผิดที่ เด็กคนนี้ก็ไม่มีความถูกต้องต่อไป มีแต่ไปผิดพลาดมากขึ้นสติปัญญาก็ผิด ความนึกคิดผิด ความเชื่อผิด การศึกผิดมันก็ผิดไปเรื่อยมีความผิดพลาดในที่สติปัญญาในการพัฒนาไม่เป็น ขอให้ทุกคนมองเห็นข้อนี้เถิด มันอยู่ที่ผู้ใหญ่มันตั้งต้นผิดทำให้เด็ก ๆ ของเราคลอดออกมาในภาวะแวดล้อมที่ผิด และก็มีผลร้ายเกิดขึ้นที่หลัง จนเห็นว่าเด็ก ๆ ในสมัยนี้ไม่มีบุญไม่มีบาปเอาแต่อารมณ์ของตนเอง กระด้างหยาบคาย นี้ก็คือตั้งต้นมาผิดไม่เหมือนกับเด็ก ยุคสมัยก่อนทำให้มันกลัวบาป ให้มันยึดถือกันในเรื่องบุญเรื่องบาป เด็กที่ยุคตั้งต้นให้มันกลัวบาป ให้มันยึดถือในเรื่องบุญเรื่องบาป นับตั้งแต่ว่าเขา ให้รู้จักพระเดชพระคุณของบิดามารดา อาตมาคิดว่าลูกเด็ก ๆ ในชั้นอนุบาล สามขวบ สี่ขวบ อย่ามาโง่ให้เขาเรียนหนังสือเลยพ่อแม่ครูบาอาจารย์อย่าไปเขี้ยวเข็ญให้เขาเรียนรู้ความถูกต้องทางกายทางจิตจะดีกว่าเด็กโรงเรียนอนุบาลวันแรกเราให้เรียนเรื่องความถูกต้องทางกาย ทางจิต ทางวิญญาณ อย่างพึ่งเรียน ก.ข.ค.เลข ให้มันโง่ ให้ลงรากฐานที่มันไม่เป็นไปถูกต้องในทางวัฒนธรรมขนบธรรมเนียมที่ดี ที่จะไปเป็นพื้นฐานของชีวิตลูกเด็ก ๆ เล็กมาโรงเรียนวันแรกของเด็กอนุบาล ต้องเรียนให้เขารู้ว่าแม่นี้คืออะไร พ่อนี้คืออะไร เขาเกิดขึ้นมาได้อย่างไร สำหรับอะไรเพื่อประโยชน์อะไร อย่างนี้เรื่อยไปจนเขารู้สึกรัก แม่ พ่อเหลือประมาณ รักครูบาอาจารย์เหลือประมาณมีรากฐานที่ถูกต้องลงไปจิตใจ ว่าเราเกิดมาทำไม เราจะต้องทำอะไร เรียนอย่างนี้เรื่อยไป ก.ข ค.ง. ค่อยเรียนที่หลัง เรียนเพิ่มที่ละตัวสองตัวก็ได้ แต่ที่เรียนอยู่ บนพื้นฐานนั้น แม่นี้คืออะไรขึ้นไป เพราะมันมากขึ้นไปเพราะมันมากขึ้นทุกที น้ำนมของแม่นี้คืออะไร หยาดเหงื่อของแม่นั้นคืออะไรมากขึ้น ๆ ทุกเดือนทุกปีจนกระทั้งรู้ว่าชีวิตนี้คืออะไร เกิดมาทำไม หนังสือหนังหาวิชาความรู้จนวิชาชีพ ค่อยเรียนทีหลัง ทั้งนี้เพื่อว่าวางรากฐานที่ดี
หน้าที่ 4 – รากฐานที่ดีภายในจิตใจ
เป็นรากฐานที่ดีภายในจิตใจภายในของเด็กทารกของคนวัยรุ่นคนหนุ่มคนสาว ถ้ามีพื้นฐานที่ดีรู้จักความเป็นมนุษย์ว่าคืออะไร มีความเชื่อได้อย่างมั่นคงแน่นแคว้นให้ได้ว่า เราเป็นมนุษย์ให้ได้นั้นต้องพยายามบังคับตนให้ได้จนเป็นที่หน้าพอใจว่าเราแท้จริงปัญหาก็จะหมดไป ทุกคนเป็นมนุษย์ได้อย่างถูกต้อง ตัวพวกนั้นก็จะมีความสุข และคนทั้งหลายที่อยู่ร่วมบ้านร่วมเมืองร่วมโลก เพียงว่าผู้คนมีความสงบสุขผู้อื่นได้รับประโยชน์
แค่นี้ก็พอแล้วไม่ต้องหวังอะไรมากไปกว่านี้ ในสังคมมนุษย์ผู้นั้นไม่มีความทุกข์มีความถูกต้อง ให้มีความสุขเป็นที่หน้าพอใจมีชีวิตที่ทำให้ผู้อื่นได้รับประโยชน์ด้วยทุกเวลานาที นี้คือความถูกต้อง ความเป็นมนุษย์โดยลำดับทั้งทางกายและทางจิต ทางวิญญาณ เห็นได้ว่าชีวิตของเขามีวิวัตนาการทั้งโดยธรรมชาติ ทั้งโดยที่เราปรับปรุงเพิ่มเติมให้นี้แหละคือการพัฒนาที่ต้องรู้ ที่ต้องเข้าใจอย่างแจ่มแจ้งอย่างถูกต้องและอย่างสมบูรณ์ ที่นี้เรามาพูดถึงทางธรรมะเราก็ใช้คำว่าพัฒนา ด้วยการทำให้ถูกต้องทั้งทางกายและทางจิตและทางสติปัญญาซึ่งเป็นหลักสำคัญชั้นหัวใจพระพุทธศาสนา ท่านทั้งหลายเคยได้ยินได้ฟังกันมาแล้ว อาตมาคงไม่ต้อพูดก็ได้ว่าพระพุทธศาสนาเรามีหลักศีล สมาธิ ปัญญา แต่แล้วเราก็ไม่รู้ว่ามันคืออะไร ได้ยินได้ฟังมาจนชินหูเกินไปไม่ได้ใช้ให้เป็นประโยชน์ อาตมาจะบอกว่า ศีล สมาธิ ปัญญานั้นแหละ คือหลักของการพัฒนาของสิ่งมีชีวิต ศีล สมาธิ ปัญญานี้ในพระพุทธศาสนานี้เรียกว่าสิกขา หรือศึกษามี ๓ อย่าง ๓ ประการนี้ใช้ในพระพุทธศาสนาใช้ภาษาบาลีเรียกว่าสิกขา ถ้าเป็นภาษา สันตกฤษนี้เรียกว่าศึกษาเป็นภาษาไทยออกมาจากภาษาสันตกฤษแปลว่าศึกษาที่เป็นชื่อของกระทรวงศึกษาหรือไตรสิกขาสิกขา ๓ ก็ให้การศึกษา ๓ คือ ศีลสิกขาคือศึกษาในส่วนศีล จิตสิกขาคือศึกษาในส่วนจิต ปัญญาศึกษาคือศึกษาในส่วนสติปัญญา คำว่าศสิกขาหรือศึกษานี้ไม่ใช่เป็นเรื่องที่เรากระทำอยู่คือศึกษาในโรงเรียน ศึกษาเป็นวิชาศึกษาทฤษฎีศึกษาในกระดาษ ดินสอ สมุด ตำรับตำราศึกษาอย่างนั้นหรือศึกษาอย่างนี้ ไม่ใช่สิกขาในพระพุทธศาสนา สิกขาในพระพุทธศาสนานั้นหมายถึงการกระทำหรือการประพฤติ โดยตรง ทำการเรียนรู้หรือการฝึกฝนไปโดยตรง ที่ลงไปในกาย วาจา นี้เรียกว่าศีลสิกขา ศึกษาฝึกฝนลงไปโดยจิตนี้เรียกว่าจิตสิกขา จิตศึกษาเรียกว่าการฝึกฝนโดยตรง เกี่ยวกับระบบปัญญาวิชาความรู้ก็เรียกว่าปัญญาสิกขา เมื่อเรายืมคำว่าสิกขาในภาษาบาลีมาใช้ นี้เรียกว่าศึกษามาแล้วแต่อย่างเอามาแต่ชื่อให้เอาความหมายที่ถูกต้องมาด้วย ความหมายที่ถูกต้องนั้นคือการกระทำ มิใช่เป็นการเรียนวิชาอย่างล้วน ๆ ต้องให้เป็นรูปของการกระทำ ถ้าเอาศีลสิกขามาก็ต้องเอาระบบความประพฤติที่ถูกต้องทางกาย ทางวาจานั้นในโรงเรียนของเราจะต้องมีการฝึกฝนธรรมให้เกิดความถูกต้องทั้งทางกายและวาจานั้นในโรงเรียนของเราจะต้องมีการฝึกฝนทำให้เกิดความถูกต้องทั้งทางกายและวาจา เดี๋ยวนี้ไม่เป็นอย่างนั้น ศึกษาแต่วิชาความรู้กับวิชาชีพนั้นก็ไม่มีความถูกต้อง ในทางกายและวาจา นักศึกษาพวกนั้นไม่มีศีลเสียเลยจบการศึกษาแล้วยังไปเป็นฮิบปี้ จบการศึกษาแล้วยังไปบูชายาเสพติด จบการศึกษาสูง ๆ ได้งานสูง ๆ และก็ยังทำคอรัปชั่น แปลว่าการศึกษาให้สูง ๆ เพื่อมาทำคอรัปชั่นให้มันเก่ง ๆ ให้มันสูงตาม นี้คือการไม่รับเอาศีล และสิกขามาโดยแต่ปาก ยืมมาแต่ชื่อก็ศึกษาไปด้วยปากด้วยกระดาษและดินสอถ้ารับความหมายของคำว่าศีลและสิกขามาก็ต้องมีการศึกษาบังคับและฝึกฝนจนเกิดถูกต้องในทางกาย วาจาของเด็กและเยาวชนทุกคนนี้เรียกว่าศึกษาจริงที่นี้จิตสิกขาศึกษาทางจิต แปลว่าเด็ก ๆ เยวาชนของเรา ต้องได้รับการศึกษาให้รู้จักบังคับจิต บังคับจิตนี้ต้องอยู่คือไม่ฟุ้งซ่านในนิวรณ์และกิเลตให้มีจิตที่แจ่มใสมั่นคงเข็มแข็งปราศจากนิวรณ์ ก็เป็นจิตที่ดีมีสมรรถนะที่จะพร้อมทำการงานในทางจิต ไม่ใช่อ่อนแอขี้ขาดหวาดกลัวหัวเราะง่าย นี้คือเป็นจิตที่ยังมิได้รับการอบรมหลักเกณฑ์ของศาสนา เด็ก ๆ ของเราควรมีการอบรมจิตใจ ที่มีความถูกต้องเสียจะดีกว่าเล่นกีฬานี้ก็ไม่พอ
หน้าที่ 5 – กามฉันทะ
เดี๋ยวนี้กีฬามันก็บ้า ๆบอ ๆ ของพวกทูตผีปีศาจเสียมากกว่าการกีฬาหรือกีฬาในสมัยนี้ไม่ช่วยให้เยวาชนของเรามีความถูกต้องทางจิตได้จะเป็นนักกีฬาก็ไม่ได้เพราะมีความเห็นแก่ตัวกระทั้งเกิดการแก้แค้น ระบบการศึกษานี้ควรปรับปรุงเสียใหม่ ให้นักเรียนทุกคนมีการฝึกฝนให้มีความถูกต้องทางจิตใจให้มีจิตใจที่บริสุทธิ์ปราศจากความรู้สึกรบกวนของกิเลสในชีวิตประจำวัน ที่เรียกกัน นิวอน๕คือให้ศึกษาดูเถอะ ไม่ใช่ป่าลึกลับ ฤๅษีมุนีในป่าหินมะพานนี้ก็ไม่ใช่ ที่บ้านเมืองของคนเรามีจิตที่ประกอบไปด้วยนิวรณ์ ๕ เราจะตั้งใจทำอะไรให้ดีที่สุดความรู้สึกทางเพศเขามารับกวน
นี้ก็เรียกว่ากามฉันทะนี้คือ ตัวนิวรณ์ตัวที่๑ ตั้งใจทำอะไรแล้วมีความรวนเร นี้เรียกว่ามีจิตสิกขา จะทำอะไรก็มีความขุ่นแค้นเข้ามารบกวน ตัวที่สองถ้าทำอะไรแล้วจิตยังงัวเงียอ่อนเพลียอยากนอนเสียมากกว่านี้คือนิวรณ์ ตัวที่ ๓ ตั้งใจกระทำอะไรแล้วจิตมันฟุ้งซานนี้เรียกว่านิวรณ์ ที่ ๔ ถ้าตั้งใจทำอะไรแล้วมีความลังเลนี้คือนิวรณ์ ที่ ๕ นี้คือชีวิตประจำวันแท้ ๆ ของบุคคลที่มีชีวิตที่ไม่ถูกต้อง ถ้ามีจิตที่ไม่ถูกต้องนี้ทำงานทางจิตอะไรก็ไม่ได้ นี้เราควรฝึกเด็กของเราให้มีจิตที่ถูกต้อง อย่าให้นิวรณ์รบกวนจิต เป็นจิตที่สดใส ชุ่มชื้นเข็มแข็ง จะทำอะไร จะทำการเรียน หรือทำการงานก็ทำด้วยจิตที่เข็มแข็งก็จะทำได้ดี เป็นนักเรียนก็เป็นนักเรียนได้ดี เมื่อไปประกอบอาชีพอะไรเถอะ มันก็จะทำได้ดี เพราะจิตใจมันพร้อมที่จะทำอย่างนั้น แต่นี้เห็นว่าเป็นหลักสูตรในการอบรมในหลักสูตรโรงเรียนหรือมหาวิทยาลัย การศึกษาหมาหางด้วนมันเป็นอย่างนี้ ให้เรียนหนังสือกับวิชาชีพ ส่วนที่ทำให้ถูกต้องสมบูรณ์ทำอย่างไรนั้นก็ไม่มี การศึกษาในระบบนี้จึงเป็นการศึกษาระบบหมาหางด้วน ถ้าคุณไม่ชอบหมาหางด้วน อาตมาพูดใหม่ก็ได้ พูดว่าพระเจดีย์ยอดด้วนไม่พูดอย่างหยาบคาย แล้วคุณชอบพระเจดีย์ยอดด้วนหรือเปล่าเล่า อย่างเดียวกันแหละ นั้นอย่างให้มีอะไรขาดให้สมบูรณ์โดยนิพพาน การศึกษานี้ก็มาทางปัญญาสิกขา คือความถูกต้องทางสติปัญญา คนเราอยู่ด้วยสติปัญญาที่เรามีไม่มากก็น้อยสติปัญญานี้ขึ้นอยู่กับความรู้ความเข้าใจ ความเชื่อถือ ความยึดถือ แม้ในส่วนที่เรียกว่าทฤษฎีนั้นก็ถือว่า ปัญญานั้นเอง คือต้องมีปัญญาทุกระดับและถูกต้อง ปัญญาที่ศึกษาในโรงเรียนนี้ก็ถูกต้อง ปัญญาที่เราใช้เหตุผลของเราเองนั้นก็ถูกต้อง ปัญญาที่มาจากสติปัญญานั้นก็ยิ่งถูกต้องนั้น ก็มีปัญญาถูกต้องหมด เมื่อทางปัญญาถูกต้องแล้วทางจิตก็ต้องถูกต้องเมื่อทางจิตถูกต้องแล้วทางกายทางวาจาก็ต้องถูกต้องด้วย คอยจำไว้นะว่าถูกต้องทางกายทางวาจาและถูกต้องทางจิต นั้นถึงจะไปถูกต้องในทางความคิดความเห็นเป็นความถูกต้องหมดความถูกต้องของ ๓ กลุ่มนี้ เราเรียกว่าไตรสิกขา คือการศึกษา ๓ อย่าง ถ้าเรายืมคำนี้มาใช้ จากระบบของศาสนาแล้ว อย่าลืมเอาความหมายมาด้วยอย่ายืมมาแต่คำคำว่าศึกษามีแต่เปลือกยกไม่มีเนื้อติดมาเลยนั้นก็เป็นการศึกษาที่ไม่จริง นั้นก็เป็นการศึกษารู้แต่หนังสือกับวิชาชีพมันก็ไม่ถูกต้องสมบูรณ์ดีเมื่อมัวแต่เรียนอย่างเดียว จดลงแต่ในสมุด นี้มันไม่เป็นการศึกษาเพราะการศึกษาในพระพุทธเจ้านั้นการศึกษาคือ การประพฤติการกระทำลงไปจริง ๆ การกระทำทางกาย การกระทำทางจิตทางสติปัญญา การกระทำเชื่อวาการศึกษาไม่ใช่ขีดเขียน ท่องจำไว้หรือการจดใส่สมุดไว้อย่างนั้นไม่ใช่การศึกษา แต่เป็นเพียงอุปกรณ์การศึกษาชนิดหนึ่งเท่านั้น เพื่อช่วยกันลืมสำหรับนำมาประพฤติปฏิบัตินี้แหละจึงเป็นการศึกษาที่แท้จริง ที่นี้ขอฝากไว้ว่า ถ้ายืมคำว่าศึกษาในศาสนามาใช้แล้วให้ยืมมาทั้งระบบทั้งเนื้อทั้งตัว อย่ายืมมาแต่ชื่อ เดี๋ยวนี้ยืมมาแต่ชื่อยืมมาแต่เปลือก สารที่ไม่สมบูรณ์นั้นแหละเป็นการศึกษาเหมือนหมาหางด้วน หมาหางด้วนนั้นคือเรียนแต่ หนังสือกับอาชีพ ส่วนสัจธรรมที่จะเป็นมนุษย์อย่างไรให้ถูกต้องนั้นเราไม่ได้เรียน ที่เรียนกันมากมายแค่รู้แต่วิชาชีพ เป็นปริญญาสูงสุดนั้นก็เป็นส่วนในหนึ่งของอาชีพไม่เป็นส่วนของธรรมะ การศึกษาสิกขามันเปลี่ยนไปเสียแล้ว
หน้าที่ 6 – พุทธบริษัท
การศึกษาในทวีปเอเชียก็ดี ทวีปยุโรปก็ดีเขามีการศึกษาศาสนาศาสนาแฝงอยู่ด้วย เช่นมหาลัยออฟฟอร์ชคอนบิช เขามีการศึกษาแฝงอยู่ด้วย ทางธรรมะทางศาสนานั้นมีการศึกษาแฝงอยู่ด้วย เพราะพระเป็นผู้จัดและได้รับฟังมาว่าเมื่อก่อนมหาลัยออฟฟอช์ชคอนบิชที่แรกเป็นมหาลัยของพระคริสเตียล โรงเรียนในศาสนานั้นตั้งเป็นโรงเรียนราชขึ้นมาและเปลี่ยนมาเป็นมหาลัยมาจนถึงทุกวันนี้ มีระเบียบพิธีรีตรองในนั้น
เมื่อจะกินอาหารก็ต้องขอบคุณพระเจ้าก่อนจะนอนก็ต้องขอบคุณพระเจ้าก่อน จะเรียนก็ต้องขอบคุณพระเจ้าก่อน เดี๋ยวนี้ไม่มีระบบแบบนี้ไม่มีแล้วเพราะ มันจัดการศึกษาแบบพระมาเป็นแบบชาวบ้านแล้ว ชาวบ้านบอกว่ามามั่วศึกษาวิชาแบบพระนั้นมันเสียเวลา มันไม่ส่งเสริมทางเศรษฐกิจ มันไม่ส่งเสริมการเมืองมันไม่เป็นไปในโลกปัจจุบันมันก็เลยตัดออก ตัดการศึกษาทางศาสนาทางธรรมะนี้ออก ความรู้ทุกแขนงมันเลยเปลี่ยนไปอย่างนี้ จึงเหลือแต่หนังสือกับอาชีพสรุปเรียกว่าวิชาความรู้ทางเทคโนโลยีทุกสาขาทหารเกี่ยวกับการเมือง เศรษฐกิจอะไรก็ตามมันเป็นการศึกษาที่ไม่สมบูรณ์บางประเทศบางรัฐอาจถือว่าเป็นการผิดกฎหมายเลย เอาเรื่องธรรมะมาสอนในห้องเรียนคนนั้นก็ทำผิดกฎหมายต้องถูกลงโทษมันเป็นเสียอย่างนั้น แล้วจะอยู่ได้อย่างไรเอาเป็นว่าเราอยู่ในฐานะที่จะต้องนึกจะต้องทำ ถ้าเราหวังจะเป็นมนุษย์ที่ถูกต้องได้รับประโยชน์เราควรจะต้องมี การศึกษาที่สมบูรณ์คือ ศีลสิกขา จิตสิกขา ปัญญาสิกขา สิ่งทั้ง ๓ นี้เป็นเครื่องพัฒนาชีวิตเมื่อตอนตนนั้นก็บอกแล้วว่าชีวิตเป็นสิ่งที่ต้องพัฒนาใครจะไปเอาใจว่าชีวิตเป็นแบบไหนก็ไม่ว่า ให้รู้จักชีวิตให้ความสำคัญอีกแง่หนึ่งคือสิ่งที่ต้องพัฒนา เราไม่พัฒนาก็ไม่ได้ปล่อยไปตามเรื่องก็ไม่พอ มันพัฒนาตนเองก็ไม่ได้ เราต้องดำเนินชีวิตดำเนินไปอย่างถูกต้อง นั้นก็คือชีวิตต้องพัฒนาถ้าถามว่าเกิดมาทำไมตอบแบบกำปั้นทุบดินว่า เกิดมาเพื่อพัฒนาชีวิต เพราะถ้าชีวิตมันเกิดมาแล้วจะฆ่าให้ตายนั้นก็ไม่ได้ เมื่ออย่างนี้มันต้องพัฒนา เราเกิดมาแล้วโดยไม่ใช่เจตนาของเราก็จริงแต่เราเกิดมาแล้วจะสลัดไปก็ไม่ได้ ทิ้งไปก็ไม่ได้เราต้องรับรองเป็นผู้รับรองในชีวิตมันเกิดมา นั้นชีวิตเป็นสิ่งที่ต้องพัฒนาดังนั้นมันต้องพัฒนาเราเกิดมาเพื่อพัฒนาชีวิต นั้นใครเกิดมาแล้วไม่พัฒนาชีวิต มันก็เหมือนตายแล้วมันจะเลวร้ายกว่าตายแล้วก็มี ถ้ามันไม่พัฒนาชีวิตให้อย่างพัฒนาชีวิตให้ถึงที่สุดในการพัฒนาชีวิต มันไม่ได้เสียทีที่ได้เกิดมาเป็นมนุษย์ชาติก่อนว่ากันอย่างนั้น ถ้าพุทธบริษัทก็ต้องว่าไม่เสียทีที่เกิดมาเป็นมนุษย์ในการมาพบกับพระพุทธศาสนานี้มันก็ไม่เสียชาติเกดอย่างยิ่งถ้าจะให้มันถูกต้องอย่างนี้ที่จะพัฒนาเรื่องอะไรคือ ศีลสิกขา จิตสิกขา ปัญญาสิกขา ภาษาบ้า ๆ บอ ๆก็หาเป็นภาษาไทย ความถูกต้องทางกายท