ปัญญาเห็นธรรม?ความเวียนเกิดเวียนตาย
สมเด็จพระญาณสังวร
สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก
วัดบวรนิเวศวิหาร
คัดจากเทปธรรมอบรมจิต ข้อความสมบูรณ์
อณิศร โพธิทองคำ บรรณาธิการ
?บัดนี้ จักแสดงธรรมะเป็นเครื่องอบรมในการปฏิบัติอบรมจิต ในเบื้องต้นก็ขอให้ทุกๆ ท่านตั้งใจนอบน้อมนมัสการ พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น ตั้งใจถึงพระองค์พร้อมทั้งพระธรรมและพระสงฆ์เป็นสรณะ ตั้งใจสำรวมกายวาจาใจให้เป็นศีล ทำสมาธิในการฟัง เพื่อให้ได้ปัญญาในธรรม
การได้ปัญญาในธรรมนั้นก็เป็นการได้ปัญญาในธรรมตามพระพุทธเจ้า เพราะพระพุทธเจ้าแสดงตามพุทธประวัติ พระองค์ทรงได้ปัญญาในธรรมด้วยพระองค์เอง ดั่งที่เรียกว่าได้ตรัสรู้พระธรรม จึงได้ตรัสเป็นพระพุทธเจ้า ดังที่มีแสดงไว้ในพุทธประวัติว่า ในราตรีที่พระโพธิสัตว์ คือพระสิทธัตถะราชกุมาร ซึ่งได้เสด็จออกทรงผนวช และจะได้ตรัสเป็นพระพุทธเจ้านั้น ได้ทรงชนะมารพร้อมทั้งเสนามาร ตั้งแต่ในเวลาก่อนพระอาทิตย์ตกหรืออัสดง
ดังที่เราทั้งหลายคงจะได้เคยเห็นภาพพระพุทธเจ้าผจญมาร ที่เขียนเป็นภาพพระพุทธเจ้า ประทับอยู่บนที่ประทับตรงกลาง และเป็นภาพ
มารบนช้าง?คิริเมขละ?พร้อมทั้งเสนามาร ยกเข้ามาผจญพระพุทธเจ้า ด้วยศัตราวุธเป็นอันมากด้านหนึ่ง และเป็นภาพแม่ธรณีบิดมวยผมน้ำท่วมพระยามารและเสนา ต้องจมน้ำพ่ายแพ้ไปอีกด้านหนึ่ง ซึ่งเป็นภาพแสดงพระพุทธเจ้าผจญมารเป็นรูปธรรม
บารมี อุปบารมี ปรมัตถบารมี
พระอาจารย์ได้แสดงโดยเป็นธรรมาธิษฐาน คือยกธรรมะขึ้นเป็นที่ตั้ง ว่าพระองค์ทรงผจญกิเลสมาร มารคือกิเลสในพระทัยของพระองค์เอง ด้วยพระบารมีทั้ง ๑๐ ที่ทรงได้บำเพ็ญมาแล้ว คือ ทาน ศีล เนกขัมมะ ปัญญา วิริยะ ขันติ สัจจะ อฐิษฐานะ เมตตา อุเบกขา พระองค์ได้ทรงบำเพ็ญพระบารมีเหล่านี้มา เป็นพระบารมีธรรมดา เป็นพระอุปบารมี คือบารมีที่มากยิ่งขึ้นจนใกล้จะสมบูรณ์ และปรมัตถบารมี พระบารมีที่สมบูรณ์ ทรงเสี่ยงพระบารมีทั้ง ๑๐ ที่ทรงบำเพ็ญมาอย่างสมบูรณ์นี้สู้กับกิเลสมารในพระทัย
ส่วนที่แสดงเป็นแม่ธรณีบิดมวยผมนั้น ก็แสดงโดยปุคลาธิษฐาน ยกบุคคลเป็นที่ตั้งเป็นรูปธรรมดังกล่าว แต่ก็มีนัยยะที่ท่านชี้แจงว่า พระพุทธเจ้าเมื่อทรงเป็นพระโพธิสัตว์นั้น ได้ทรงบำเพ็ญพระบารมีทั้ง ๑๐ นี้มานานนักหนา โดยเฉพาะข้อหนึ่งคือทานบารมีนั้น น้ำที่หลั่งลงจากพระเต้าทักษิโณทก ในขณะที่บริจาคทาน อันแสดงถึงการให้ เช่น เมื่อทรงเป็นพระเวสสันดรได้ประทานช้างแก่พราหมณ์ที่มาขอ ด้วยทรงหลั่งน้ำลงบนแผ่นดินแสดงว่าประทานให้ เพราะว่าช้างเป็นสัตว์ใหญ่โต จะยกให้ด้วยมือไม่ได้ ก็ต้องเทน้ำให้ คือแสดงว่าให้ด้วยการเทน้ำลงบนแผ่นดิน หรือแม้การให้ส่วนกุศลที่ไม่ใช่เป็นวัตถุ ก็มีธรรมเนียมเทน้ำลงเหมือนกัน
ดังที่เราทั้งหลายเมื่อบำเพ็ญกุศลแล้ว ก็กรวดน้ำแผ่ส่วนกุศลดังที่ปฏิบัติกันอยู่ น้ำที่พระโพธิสัตว์เทลงบนแผ่นดินในการให้ทานนั้นมากมาย เพราะได้ทรงให้ทานมากับนับครั้งไม่ถ้วน ก็ตั้งเป็นข้อแสดงขึ้นว่า น้ำเหล่านั้นเองที่ตกลงบนแผ่นดิน ก็เหมือนตกลงบนมวยผมของแม่ธรณี ซึ่งหมายถึงแผ่นดิน เมื่อทรงเสี่ยงบารมี น้ำที่หลั่งลงบนแผ่นดิน เหมือนอย่างหลั่งลงบนมวยผมของแม่ธรณีนี้เอง จึงไหลมาท่วมมาร พร้อมทั้งเสนาให้พ่ายแพ้ไป ก็พึงอาศัยพระบารมีที่ทรงบำเพ็ญมา ตั้งอยู่ในพระทัย จึงทรงชนะกิเลสมารทั้งหมด ตั้งแต่ก่อนพระอาทิตย์ตกคืออัสดง
วิชชา ๓
จึ่งได้ทรงปฏิบัติทางสมถะภาวนา ทำพระทัยให้สงบ สงบจากกาม สงบจากอกุศลธรรมทั้งหลาย ทรงได้ฌานความเพ่งคือสมาธิอย่างสูง ที่ ๑ ที่ ๒ ที่ ๓ ที่ ๔ ไปโดยลำดับ แล้วทรงน้อมจิตที่เป็นสมาธิ จิตที่สงบ พิจารณาธรรม ก็ทรงเห็นธรรม ด้วยปัญญาที่เรียกว่าญาณคือความหยั่งรู้ ในปฐมยามของราตรีนั้น ทรงได้ปุพเพนิวาสานุสสติญาณที่ระลึกถึงขันธ์เป็นที่อยู่อาศัยในกาลก่อนได้ ที่เรียกว่าระลึกชาติได้ ถอยหลังไป ๑ ชาติ ๒ ชาติ ๓ ชาติ โดยลำดับ มากมาย ได้ทรงระลึกชาติได้ว่า จากชาตินั้นก็มาสู่ชาติโน้น จากชาติโน้นก็มาสู่ชาตินั้นโดยลำดับ หรือว่าถอยหลังไปเป็นชาติที่หนึ่งที่สอง ทรงระลึกได้ดั่งนี้ในปฐมยามของราตรีนั้น ทรงเห็นธรรมะด้วยพระปัญญา คือด้วยพระญาณระลึกชาติหนหลังได้ดั่งนี้
และในมัชฌิมยามทรงได้จุตูปปาตญาณ พระญาณที่หยั่งรู้จุติคือความเคลื่อน อุปบัติคือความเข้าถึงชาตินั้นๆ ของสัตว์ทั้งหลาย ว่าดีที่เรียกว่าประณีต หรือว่าเลวต่างๆ กัน เป็นไปตามกรรม จึงทรงเห็นธรรมด้วยปัญญา คือความเคลื่อน ความเข้าถึงชาตินั้นๆ ซึ่งดีหรือเลว เป็นสุขหรือเป็นทุกข์ ว่าเป็นไปตามกรรม
ครั้นถึงยามที่ ๓ ของราตรี ก็ทรงได้อาสวักขยญาณ ญาณเป็นเหตุสิ้นอาสวะทั้งหลาย ได้ทรงได้ญาณหรือปัญญาตรัสรู้ในอริยสัจจ์ทั้ง ๔ คือ ในทุกข์ ในเหตุเกิดทุกข์ ในความดับทุกข์ ในทางปฏิบัติให้ถึงความดับทุกข์ ในอาสวะ ในเหตุเกิดอาสวะ ในความดับอาสวะ ในทางปฏิบัติให้ถึงความดับอาสวะ จึงตรัสเป็นพระพุทธเจ้า
พระพุทธเจ้าเมื่อทรงเป็นพระโพธิสัตว์ก็ทรงได้ปัญญาในธรรม
คือได้ทรงระลึก ทรงรู้ระลึกชาติหนหลังได้ ทรงรู้ว่าการเคลื่อนและการเข้าถึงชาตินั้นๆ เป็นไปตามกรรม และได้ปัญญาหยั่งรู้ในอริยสัจจ์ทั้ง ๔ เป็นที่สุด เหล่านี้ก็คือว่าเป็นปัญญาเห็นธรรมของพระองค์
ความเวียนว่ายตายเกิด
ฉะนั้น คำว่าปัญญาเห็นธรรม จึงมีความหมายถึงสัจจธรรมะ ธรรมะเป็นสัจจะคือเป็นตัวความจริง ได้ทรงรู้สัจจะธรรม ธรรมะที่เป็นตัวความจริง ในความเกิดตาย ในชาติทั้งหลายเป็นอันมาก ทำให้พระองค์ทรงจับได้ว่า ได้ทรงมีอยู่สองส่วน คือส่วนที่เกิดตายอยู่เรื่อยไปนั้นส่วนหนึ่ง และส่วนที่ต้องเป็นผู้เกิดตายในชาตินั้นๆ อีกส่วนหนึ่ง?…?(?ข้อความน่าจะขาดไปเล็กน้อย?)?(?เริ่ม ๑๘๓/๑?)?…ต้องเกิดตายในชาตินั้นๆ ก็เรียกตามสมมติบัญญัติว่าเราเอง ดั่งที่ทรงใช้เรียกพระองค์เองว่าเราเอง คือพระองค์เอง ซึ่งมีขันธ์อันเป็นส่วนที่ต้องเกิดตาย เราเองหรือพระองค์เองนั้นเหมือนอย่างมีผู้เดียว หรือมีคนเดียวไม่ใช่หลายคน ซึ่งต้องท่องเที่ยวเกิดตายไปในชาตินั้นๆ แล้วสิ่งที่เกิดตายนั้นก็คือขันธ์
พระองค์จึงจับได้ว่าในตัวบุคคลทุกๆ คนนี้ มีส่วนที่เรียกว่าขันธ์ซึ่งต้องเกิดตาย แต่ว่าเรียกสมมติบัญญัติว่า?ตัวเรา?ของเรา?ของทุกๆ คนนั้นไม่เกิดตายไปตามขันธ์ แต่เป็นตัวที่ต้องท่องเที่ยวไปจากขันธ์หนึ่งไปสู่ขันธ์หนึ่ง จากขันธ์หนึ่งไปสู่ขันธ์หนึ่ง มากมาย และทุกๆ คนก็ต้องเป็นเช่นนั้น เพราะฉะนั้น จึงเป็นอันว่าได้ทรงจับรู้ว่าขันธ์ทั้งหลายต้องเกิดต้องตาย หรือว่าต้องเกิดต้องดับคือแตกสลาย
และขันธ์นั้นก็ได้ตรัสแสดงต่อมาว่าคือขันธ์ ๕
รูปขันธ์?กองรูปก็คือว่ารูปกายอันนี้ของทุกๆ คน อันประกอบขึ้นด้วยธาตุดินน้ำไฟลม?เวทนาขันธ์?กองเวทนาคือความรู้สึกเป็นสุขเป็นทุกข์เป็นกลางๆ ไม่ทุกข์ไม่สุข?สัญญาขันธ์?กองสัญญาคือความจำได้หมายรู้ จำนั่นจำนี่ได้?สังขารขันธ์?กองสังขารคือความคิดต่างๆ คิดไปในรูปบ้าง ในเสียงบ้าง ในสิ่งนั้น ในสิ่งนี้ ดีบ้าง ไม่ดีบ้าง เป็นกลางๆ บ้าง และความรู้ทางอายตนะคือรู้ที่เรียกว่าเห็นเมื่อตากับรูปประจวบกัน ที่เรียกว่าได้ยินเมื่อหูกับเสียงประจวบกัน ที่เรียกว่าได้ทราบเมื่อจมูกกับกลิ่น ลิ้นกับรส กายและโผฏฐัพพะ ได้ประจวบกัน ตลอดจนถึงรู้หรือคิดเรื่องราวในเมื่อมโนคือใจกับธรรมะคือเรื่องราวได้มาประจวบกัน ความรู้ดังกล่าวมานี้เรียกว่า?วิญญาณขันธ์?กองวิญญาณ รูปก็เป็นรูป เวทนาสัญญาสังขารวิญญาณก็เป็นนาม จึงทรงแสดงในเวลาต่อมาว่าย่อลงเป็นนามรูป แต่แยกออกไปก็เป็นขันธ์ ๕ ก็คือขันธ์ดังที่แสดงว่า ญาณคือความหยั่งรู้ขันธ์เป็นที่อาศัยอยู่ในปางก่อนได้คือรู้ระลึกชาติได้
เพราะฉนั้น ความเวียนเกิดเวียนตายอยู่เป็นอันมาก พระองค์จึงได้ทรงรู้ และทรงรู้ว่าขันธ์เป็นตัวที่ต้องเกิดต้องแตกดับหรือตาย แต่ว่าพระองค์เอง หรือตัวเราของทุกๆ คน ดังที่เรียกกันตามสมมติบัญญัติ ต้องท่องเที่ยวไปจากขันธ์นี้ไปสู่ขันธ์โน้นมากมายนับไม่ถ้วน จึงทรงสัจจะคือความจริงได้ด้วยพระญาณนี้ และก็ได้ทรงแสดงสั่งสอนให้ทุกคนรู้จักพิจารณาจับให้รู้จักขันธ์ทั้ง ๕ และให้รู้จักว่าตัวเราของเราตามที่เรียกกันตามสมมติบัญญัติ ต้องท่องเที่ยวไปเกิดตายดังกล่าวมากมาย
เมื่อรู้สัจจะคือความจริงหรือสัจจะธรรม ธรรมะคือความจริงอันเป็นขั้นพื้นฐานดั่งนี้ชั้นหนึ่งแล้ว พระองค์ก็ได้ตรัสรู้ว่า ความเคลื่อนคือความออกไปจากชาติขันธ์อันหนึ่ง
ไปอุปบัติคือเข้าถึงชาติขันธ์อีกอันหนึ่งนั้นเป็นไปตามกรรม คือการงานที่บุคคลทุกๆ คนได้กระทำเอาไว้ กระทำกรรมชั่วก็ต้องไปสู่ภพชาติที่ชั่วมีความทุกข์ กระทำดีก็ไปสู่ชาติภพที่ดีมีความสุข ก็เป็นอันว่าพระองค์ได้ตรัสรู้เรื่องกรรมและเรื่องผลของกรรม และได้ทรงแสดงสั่งสอน
ดังที่ได้ทรงสั่งสอนให้เราทั้งหลายพิจารณาเนืองๆ ว่า เรามีกรรมเป็นของๆ ตน เราเป็นทายาทรับผลของกรรม เรามีกรรมเป็นกำเนิด เรามีกรรมเป็นเผ่าพันธุ์ เรามีกรรมเป็นที่พึ่งอาศัย เราจักกระทำกรรมใดไว้ดีหรือชั่ว เราก็จักต้องเป็นทายาทรับผลของกรรมนั้น ดั่งนี้
เพราะฉะนั้น หลักของกรรมที่พระพุทธเจ้าทรงสั่งสอนเอาไว้ พระองค์เองได้ตรัสรู้ด้วยพระญาณที่ ๒ นี้ แต่ว่าแม้จะกระทำกรรมดีสักเท่าไร ก็จะต้องเวียนเกิดเวียนตายอยู่นั่นเอง ตามที่ทรงได้พระญาณในปฐมยามของราตรี และก็ต้องเป็นไปตามกรรมที่กระทำ เพราะว่ายังมีคติที่ไม่เที่ยง ไม่ใช่ว่าจะทำดีแต่เพียงอย่างเดียว อาจจะทำชั่วในบางครั้งบางคราวก็ได้ จึงจะต้องพบชาติที่เป็นทุกข์บ้าง ชาติที่เป็นสุขบ้าง แม้ในชาติเดียวกันก็ต้องมีสุขบ้างมีทุกข์บ้าง จึงเป็นของไม่แน่นอน ต้องเป็นไปดั่งนี้เรื่อยไป ในเมื่อยังมีเวียนเกิดเวียนตาย
ฉะนั้น เมื่อพระองค์ทรงพิจารณาธรรมะเรื่อยขึ้นไปก็ทรงจับได้ ว่าทั้งหมดนั้น เพราะเหตุที่ต้องเวียนเกิดเวียนตาย จะมีสุขหรือมีทุกข์ก็ต้องเวียนเกิดเวียนตาย จะเป็นภพชาติที่ดีหรือที่เลวอย่างไรก็ต้องเวียนเกิดเวียนตาย จึงเป็นทุกข์ทั้งนั้น ทำไมจะต้องเป็นทุกข์ ก็เพราะยังมีตัณหาความดิ้นรนทะยานอยากอันเป็นตัวกิเลส เพราะยังมีอนุสัยคือกิเลสที่นอนจมอยู่ในจิตสันดาน ทรงพิจารณาจับเหตุจับผลละเอียดยิ่งขึ้น ตามนัยยะที่เรียกว่าปฏิจจสมุปบาท ธรรมะที่อาศัยกันบังเกิดขึ้น จึงทรงได้พระญาณที่ ๓ คือได้ตรัสรู้อริยสัจจ์ทั้ง ๔ ดังที่กล่าวแล้ว
จึงทรงพ้นจากกิเลส พ้นจากกองทุกข์ทั้งปวง ไม่ต้องเวียนเกิดเวียนตาย ไม่ต้องเสวยผลของกรรม ที่เป็นสุขบ้างเป็นทุกข์บ้าง ที่ดีบ้างที่เลวบ้าง เพราะไม่มีตัวเราของเราอันเป็นตัณหาอุปาทาน ซึ่งอาจจะกล่าวได้ว่าเหลืออยู่เป็นธาตุรู้ที่บริสุทธิ์ผุดผ่อง จึงได้ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้า และก็ได้ทรงแสดงอริยสัจจ์สั่งสอนเพื่อให้ทุกคนได้รู้ตาม
พระพุทธเจ้าทรงเห็นธรรมด้วยพระองค์เอง ทรงบริสุทธิ์ผุดผ่องจากกิเลสและกองทุกข์ด้วยประการทั้งปวง จึงเรียกว่า?อรหัง?พระองค์ได้ตรัสรู้ชอบด้วยพระองค์เอง เห็นธรรมด้วยพระองค์เองโดยไม่มีครูอาจารย์ จึงได้พระนามว่า?สัมมาสัมพุทโธ?คำว่า?อรหัง?สัมมาสัมพุทโธ?นี้จึงเป็นพระพุทธคุณบทสำคัญ
ฉะนั้น เราทั้งหลายจึงควรศึกษาให้รู้ธรรมะที่ทรงสั่งสอน เพื่อจะได้ปัญญาเห็นธรรมตามพระองค์ตามที่ทรงสั่งสอน แม้ด้วยศรัทธาคือความเชื่อตามที่ทรงสั่งสอน และด้วยปัญญาคือความรู้ความเข้าใจ ด้วยการหมั่นปฏิบัติสดับตรับฟัง หมั่นเพ่งพินิจพิจารณาไปโดยลำดับ ให้รู้จักสัจจะธรรมตามที่ทรงสั่งสอน น้อมเข้ามาที่ตนเองดังที่ทรงปฏิบัติมา เมื่อเป็นดั่งนี้แล้วก็ย่อมจะได้ปัญญาเห็นธรรมโดยลำดับ ตามควรแก่การศึกษาปฏิบัติ
ต่อไปนี้ขอให้ตั้งใจฟังสวดและตั้งใจทำความสงบสืบต่อไป
http://www.watpanonvivek.com/index.php/section-table/2012-07-14-12-23-28/2435-2010-06-16-10-10-15