นารีผล หรือ มักกะลีผล
—เป็นพรรณไม้ตามความเชื่อจากตำนานป่าหิมพานต์ เป็นพืชที่ออกลูกเป็นหญิงสาว เมื่อผลสุกแล้ว บรรดา ฤๅษี กินร วิทยาธร คนธรรพ์ เอาไปเสพสังวาส
*ความในวรรณคดี
—ในวรรณคดีระบุว่า มักกะลีผลเมื่อสุกแล้วจะกลายเป็นหญิงสาวงามอายุราว 16 แต่ที่ศีรษะจะยังมีขั้วติดอยู่ นิ้วมือทั้ง 5 ยาวเท่ากัน ผมยาวสีทอง ตากลมโต คอเป็นปล้อง ไม่มีโครงกระดูก แต่ส่งเสียงได้เหมือนมนุษย์จริง ๆ มักกะลีผลที่ยังอ่อนมีลักษณะเหมือนคนนั่งคู้เข่าอยู่ เมื่อโตขึ้นขาจะเหยียดออกก่อน เมื่อโตเต็มที่จึงเหยียดตัวเหมือนคนยืนตัวตรง บรรดาฤๅษี กินร วิทยาธร คนธรรพ์ ที่ยังมีตัณหาอยู่ จะมาออที่โคนต้น เพื่อรอสุกก็จะแย่งชิงกันเด็ดไปเป็นภรรยา ต้องยื้อแย่งกัน ทำร้ายกันถึงตาย ผู้ที่เหาะได้ก็เหาะขึ้นไปเก็บ ผู้ที่เหาะไม่ได้ก็ใช้ไม้สอยหรือปีนขึ้นไปเก็บ เมื่อมาแล้วก็จะนำไปที่อยู่ของตน ทะนุถนอมระแวดระวังอย่างดีมิให้ใครแย่งเอาไป แต่มักกะลีผลมีชีวิตอยู่ได้เพียง 7 วัน ก็จะเน่าเปื่อยไป ซึ่งในวรรณคดีไทยที่มีการกล่าวถึง มักกะลีผล ได้แก่ พระเวสสันดรชาดก, มหาชาติคำหลวง และไตรภูมิพระร่วง
*นารีผล
—นารีผล มักกลีผล…ต้นไม้ที่ออกดอกเป็นสาวสวยเปลือยกายห้อยอยู่บนต้นไม้ มีจริงหรือไม่ เป็นที่ถกเถียงพูดคุยสนทนากันมานานแล้ว จนถึงปัจจุบัน…แต่หลักฐานที่ปรากฏก็มีอยู่จริงตามวัดวาอาราม สำนักต่างๆ หลายแห่งด้วยกัน …หลวงพ่อจรัญ ฐิตธัมโม แห่งวัดอัมพวัน ท่านยืนยันด้วยตัวท่านเอง เขียนไว้เป็นหลักฐานในหนังสือของท่านหลายเล่มว่า มีอยู่จริงๆในป่าหิมพานต์โน่น ท่านเคยไปพบเห็นมาแล้วด้วยตาของท่านเองทั้งในต่างประเทศและเมืองไทย…ความลึกลับ ความสวยงาม ที่แปลกประหลาดของนารีผล ที่เหมือนมนุษย์ที่มีชิวิตจิตใจ ร้องรำทำเพลงได้ มีกลิ่นหอม เช่นนี้น่าสนใจไหมล่ะครับ…
—ปล.ปัจจุบันนารีผลก็ยังมีเป็นข่าวอยู่บ้าง ส่วนจะเป็นของจริงหรือไม่นั้น ก็ขึ้นกับการพิสูจน์ และความเชื่อส่วนบุคคลครับ……
*ตำนาน ” มักกะรีผล “
—ในสมัยเด็ก เรามักจะได้ยินบ่อยๆ ในเรื่องของ ” กินรี ” พญาครุฑ ตลอดจนป่าหิมพานต์ และเชื่อว่าทุกคนจะต้องหลงมนต์ชื่นชอบ อยากค้นหา ดินแดนมหัศจรรย์นี้ เหมือนกับฉัน …ฉัน คิดเสมอว่า เรื่องนี้ ” ต้องเป็นเรื่องจริง ” ไม่ใช่ แค่เรื่องในตำนานอย่างที่ผู้ใหญ่บอกอย่างแน่นอน แต่อะไรล่ะ ที่จะนำมาใช้ประกอบเป็นเหตุผล ในข้อสันนิษฐาน ของเด็กหญิงตัวเล็กๆคนหนึ่งจะตะโกนป่าวร้องบอกใครก็ไม่ได้ เดี๋ยวเค้าจะหาว่าเรา ” เพ้อเจ้อ ” แต่ถ้าใครจะคิดอย่างนั้น ก็คงจะไม่ผิดนัก จะว่าไป..ก็ไม่ใช่เพราะความเพ้อเจ้อนี้หรอกเหรอ ที่ทำให้เรามีข้อมูลเกี่ยวกับ ” ป่าหิมพานต์ “ มากมายขนาดนี้ ที่สำคัญ วรรณกรรมต่างๆในอดีต
—ก็ล้วนแต่มีเรื่องราวของป่าหิมพานต์มาเกี่ยวโยงทั้งนั้น ไม่ว่าจะเป็น พระสุทน มโนรา ตลอดจน ละครจักรๆ วงศ์ ที่กำลังฉายผ่านทางจอแก้ว แม้จะพิสูจน์เป็นตุเป็นตะไม่ได้ว่าเป็นเรื่องจริง..มันก็ไม่ได้เป็นสิ่งที่ทำให้ใครเดือดร้อน เพราะฉะนั้น..
—รู้ไว้ใช่ว่า เผื่อวันหน้า มีโอกาสข้ามผ่านมิติไปถึงแดนทิพย์นี้จริงๆก็เป็นได้ตามตำนานเล่ากันว่า ป่าหิมพานต์นั้นเป็นดินแดนที่เป็นรอยต่อซ้อนมิติ ระหว่างโลกทิพย์ กับโลกมนุษย์ มีสระน้ำศักดิ์สิทธิ์อยู่ 7 สระ คือ 1. สระกรรณมุณฑะ 2. สระสีหัปปาตะ 3. สระฉัททันต์ 4. สระอโนดาต 5. สระกุณาละ 6. สระรถการะ7. สระมันทากินี มีขุนเขาล้อมรอบสระทั้ง 7 อยู่ 5 ลูก คือ
*1.เขาไกรลาศ 2.เขาจิตตะ 3.เขาคันธมาศ 4.เขาสุทัศนะ 5.เขากาฬกูฏ
—ในป่าหิมพานต์นี้ ไม่ว่าพืช หรือสัตว์ จะมีรูปร่างที่แปลกไปจากเมืองมนุษย์เรา โดยตำนาน กล่าวไว้ว่า ป่าหิมพานต์ตั้งอยู่บนเทือกเขาหิมาลัย (ประเทศอินเดีย)ทอดตัวต่ำลงมาใน แดนมนุษย์ ทับซ้อนมิติกันอยู่กับโลกมนุษย์ ในหลายประเทศ และแถบสุวรรณภูมิทั้งหมด หลายคนเคยสงสัยบ้างมั้ย เมื่อเรา ได้ยิน ได้ฟัง คนโบราณพูดถึงแดนลับแล แดนสนธยา ป่าหิมพานต์ โลกทิพย์ เหล่านี้ ผู้รู้ได้กล่าวว่าดินแดนทั้งหลายเหล่านี้นั้น ก็คือ เป็นดินแดนที่อยู่บนโลกใบเดียวกันกับมนุษย์เรา เพียงแต่อยู่ต่างมิติกัน หรือ อยู่กันคนละคลื่นความถี่เท่านั้นเอง
—ซึ่งหากมนุษย์คนใดสามารถปรับจูนให้คลื่นความถี่ ของจิตตรงกันได้ เขาคนนั้นก็สามารถพบเห็นดินแดนต่างๆที่อยู่ซ้อนกันกับเราได้ ซึ่งบางพวก บางเหล่าก็เป็นมนุษย์เหมือนกันกับเรา มีเลือดเนื้อ มีชีวิตจิตใจเหมือนเราทุกประการ เช่น มนุษย์ที่อยู่ในเมืองลับแล เขาเหล่านี้มีการใช้ชีวิตที่คล้ายคลึงเราทุกอย่าง จะต่างกันก็ตรงทุกคนในเมืองลับแลอยู่แบบธรรมชาติ ไม่เบียดเบียนซึ่งกัน และกันเคร่งครัดในศีล 5 มากกว่ามนุษย์โลก แดนหิมพานต์ ถือเป็นดินแดนที่ศักสิทธิ์ เป็นที่อยู่อาศัยของสรรพสัตว์ที่มีรูปร่าง แปลกประหลาดมีอิทธิฤทธิ์
—ไม่ว่าพืชหรือสัตว์ ตลอดจนแร่ธาตุต่างๆ ล้วนมีพลังอำนาจมหัศจรรย์ อีกทั้งยังเป็นที่อยู่ของบรรดานักสิทธิ์ วิทยาธร คนธรรพ์ ยักษ์ ฤษี ชีไพร ผู้ทรงอภิญญาทางจิตกล้าแข็งทั้งหลาย อยู่กันอย่างสันติภาพไม่เบียดเบียนกัน ในบ้านเรานั้นมีอยู่หลายจังหวัดที่เป็นรอยต่อเชื่อม ซึ่งเรียกว่า ประตูผ่านมิติ บางคนอาจจะเคยได้ยินว่ามีคนพลัดหลงเข้าไปยังดินแดนต่างมิติกับเรา เช่น หนองคายเป็นรอยต่อกับเมืองบาดาล อุตรดิษฐ์เป็นรอยต่อกับเมืองลับแล บริเวณป่าแถบกาญจนบุรีเป็นรอยต่อกับป่าหิมพานต์ เป็นต้น
—มักกะรีผล นารีผล หรือ มัคคะรีผล เป็นพืชวิเศษชนิดหนึ่ง เกิดอยู่ในป่าหิมพานต์ ว่ากันว่า นารีผล ขั้วลูกอยู่ด้านบนศีรษะ มีรูปร่างเป็นหญิง ผลสด รูปร่างสะโอดสะอง สมส่วน ผิวพรรณงดงาม ปานเทพธิดา ว่ากันว่า บางครั้ง ฤๅษีที่บำเพ็ญเพียรจนตบะกล้า กิเลสสงบรำงับ เพื่อจะทดสอบจิตตน ก็จะเหาะไปที่ต้นนารีผล มองดูนารีผล ว่าตนจะตบะแตกหรือไม่…
—หรือบางครั้งฤๅษีผู้เป็น อาจารย์ อาจจะพาลูกศิษย์ไปทดสอบระดับจิต ไปฝึกควบคุมจิต ที่นั่น ก็มี และว่ากันว่า พวกนักสิทธิ์วิทยาธร มักจะเหาะไปเก็บนารีผล อุ้มมาเชยชมแล้ว ฝึกจิตใหม่ ค่อยเหาะกลับออกมา นารีผล เป็นที่ต้องการของสัตว์วิเศษ (คนธรรพ์เป็นต้น) รวมถึงวิทยาธรทั้งหลายผู้ยังไม่หมดกามราคะ ดังนั้น การที่นารีผลจะเหี่ยวแห้งคาต้นแล้วร่วงหล่นนั้น เป็นไปได้ยาก
—ก่อน จะโรยรา จะมีเทวดา สัตว์วิเศษ และวิทยาธร เป็นต้น มาเก็บเอาไป สัตว์ส่วนใหญ่ที่ถูกกล่าวถึงในศิลปะและวรรณกรรมของ ประเทศอินเดียและประเทศไทยอาศัยอยู่ในป่า หิมพานต์ ป่านี้ มีที่ตั้งอยู่ระหว่างเขตประเทศอินเดีย และเนปาล เหนือป่าหิมพานต์ขึ้นไป เป็นสวรรค์ ในตำนานของชาวพุทธ ว่ากันว่าคนสามัญธรรมดาไม่ สามารถมองเห็นและ ย่างกรายเข้ามายังป่าแห่งนี้ได้ สัตว์หิมพานต์เหล่านี้นี่เอง ที่ได้ถูกนำมาประยุกต์เป็น ลวดลายงดงามไม่ว่า จะเป็นรูปปั้น รูปวาด รูปแกะสลัก หรือ เครื่องประดับต่างๆ
*มักกะรีผล จากป่าหิมพานต์สู่วัดอัมพวัน
—เบื้อง หลังมายาภาพของมวลมนุษย์ ที่ยึดถือรูปธรรมเป็นสรณะ ยังมีภาวะเร้นลับอันซับซ้อนซ่อนอยู่อีกหลายมิติ…ดังนั้นสิ่งที่เราไม่เคย เห็นไม่เคยได้ยิน ไม่เคยจับต้อง อาจไม่ได้แปลว่า…
—ไม่มีอยู่จริง ดังเช่น มักกะลีผล ผลไม้อัศจรรย์ ซึ่งมาเกี่ยวข้องกับหลวงพ่อจรัญ ฐิตธมฺโมตั้งแต่ท่านยังอยู่ในวัยเด็กที่จะนำมาเล่าให้ฟังต่อไปคุณยายเล่าให้ฟัง คุณยายของหลวงพ่อจรัญ ฐิตธมฺโม เป็นอุบาสิกา ที่เลื่อมใสในพระพุทธศาสนาเป็นอย่างยิ่ง
—คุณยายได้เล่าให้ท่านฟังว่า ตอนที่คุณยายเป็นสาว ทุกๆวันจะทำอาหารใส่ปิ่นโตไปถวายหลวงพ่อช้าง เจ้าอาวาสวัดตึกราชา วันหนึ่งคุณยายก็ไปนำอาหารไปถวายหลวงพ่อช้างตามปกติ แต่กลับได้พบกับแขกอินเดียมีหนวดเครา ผมเผ้ารุงรัง ใส่เครื่องนุ่งห่มที่ไม่เหมือนพระสงฆ์ในพุทธศาสนา นั่งสงบเสงี่ยมอยู่กับหลวงพ่อช้าง คุณยายจึงถามด้วยความสงสัย หลวงพ่อช้างได้อธิบายให้ยายฟังว่า แขกผู้นี้เป็นโยคีที่บำเพ็ญเพียรอยู่ที่ป่าหิมพานต์ มีโยคีอีกตนซึ่งเป็นเพื่อนกันชวนเหาะไปเที่ยว
—โยคี ตนนั้นได้ฌานสมาบัติเหาะได้ แต่โยคีที่นั่งอยู่กับหลวงพ่อช้าง ยังเหาะไม่ได้ โยคีเพื่อนกันจึงทำปรอทให้อม จนสำเร็จปรอทจึงเหาะมาด้วยกัน ระหว่างทางเกิดมีเรื่องเถียงกัน เผลอตัวอ้าปากพูด ปรอทร่วงออกจากปาก ก็เลยหมดฤทธิ์และหล่นลงมา โยคีแขกอยากกลับไปป่าหิมพานต์แต่เหาะไม่ได้ จึงอ้อนวอนให้หลวงพ่อช้าง ซึ่งสำเร็จฌาณสมาบัติแล้วพาไปส่ง และบอกว่าในป่าหิมพานต์สวยงามมาก มีต้นมักกะรี ที่ออกผลมีรูปร่างเป็นหญิง ผลสด รูปร่างสะโอดสะอง สมส่วน ผิวพรรณงดงาม ปานเทพธิดา และถ้าหลวงพ่อช้างไปถึงป่าหิมพานต์จะฉันอะไรไม่ได้เด็ดขาด ไม่อย่างนั้นจะออกจากป่าหิมพานต์ไม่ได้
—หลวงพ่อช้างได้ซัดปรอทและพาโยคีแขกเหาะไปป่าหิมพานต์ ได้เห็นต้นมักกะรีผลจริงๆ เมื่อกลับมา หลวงพ่อช้างได้เล่าเรื่องนี้ให้คุณยายฟัง เวลานั้นหลวงพ่อจรัญ ยังเด็ก รับฟังเรื่องนี้อย่างฝังใจจำ เพราะเป็นเรื่องแปลก ต่อมาเมื่ออุปสมบทเป็นภิกษุแล้ว จิตสำนึกเดิมๆ ในเรื่องมักกะรีผลก็ยังค้างคาใจอยู่ พระสิงหลเจ้าของมักกะรีผล ปีพ.ศ.2515 หลวงพ่อจรัญ ฐิตธมฺโม (พระครูภาวนาวิสุทธิ) ได้รับนิมนต์ให้ไปประชุมพุทธศาสนิกสัมพันธ์แห่งโลกที่ประเทศศรีลังกา ท่านได้ไปในสถานที่สำคัญหลายแห่ง รวมทั้ง เขาสีคิริยา ที่พวกทมิฬ หินชาติจับพระมหากษัตริย์กังขังไว้ และฆ่าพระเณรตายหมด
—ระหว่าง ที่ท่านเดินไปตามทางที่เป็นป่า ได้พบถ้ำแห่งหนึ่ง ภายในถ้ำมีกลิ่นหอมประหลาดล้ำอบอวลไปทั่ว ที่นั่น หลวงพ่อจรัญได้พบกับพระชาวสิงหล นุ่งห่มผ้าสีดำ ปล่อยหนวดเครารุงรัง นั่งเจริญกรรมฐานอยู่ หลวงพ่อจรัญได้มนัสการก่อนในฐานะผู้มาเยือนประกอบกับท่าทางจะมีอาวุโสกว่า ท่าน พระชาวสิงหลได้พูดกับหลวงพ่อจรัญและชี้ไปที่มุมถ้ำด้านหนึ่ง ตรงนั้นมีสตรีเพศซึ่งงดงามมาก ทอดกายนอนอยู่โดยปราศจากอาภรณ์ใดๆปิดบัง หลวงพ่อจรัญคิดตำหนิอยู่ในใจว่า พระรูปนี้แย่มาก เอาสีกามาไว้ในถ้ำในชุดวันเกิด มองรอบๆถ้ำพบแต่ความเงียบสงัด ไม่มีผู้อื่นอยู่ร่วมอีก
—พระชาวสิงหลพูดว่า “พระคุณเจ้าพิจารณาด้วยวรญานเถิด” หลวงพ่อได้พิจารณาดูด้วยวรญาน จึงได้รู้ว่าสีกาที่นอนเปลือยกายอยู่นั้นมิใช่มนุษยธรรมดา หากเป็นผลไม้ ชื่อ… “มักกะรีผล ” คราวนี้หลวงพ่อจึงกล้าพิจารณาโดยละเอียดและเข้าไปดูใกล้ๆ เพราะเป็นเรื่องอัศจรรย์เหลือล้ำเกินคำกล่าวใดๆ ที่ได้มีวาสนามาพบเห็นภาวะเหนือโลกเช่นนี้
—“มักกะรีผล” มีขนาดสัดส่วนเท่ากับหญิงสาวอายุ 16 ปี ใบหน้ารูปไข่ มีเส้นผมยาวสยายเป็นสีทองเหมือนผู้หญิงฝรั่ง ตรงกลางกระหม่อมมีลักษณะเหมือนขั้วผลไม้เทียบได้กับมังคุด นัยน์ตาใหญ่ได้รูป ส่วนที่เป็นนัยน์ตาดำมีประกายระยิบระยับคล้ายเจือเกร็ดทอง นัยน์ตาขาวเป็นสีฟ้าใส จมูกโด่งรับกับปาก ช่วงลำคอ เป็นปล้อง 3 ปล้อง ไม่มีไหปลาร้า ดูอิ่มเต็มเนียนไปหมด ผิวพรรณหรือผิวหนังตึงเต่งเหมือนผิวมะปรางสุก นิ้วมือเรียวลงไปเหมือนนิ้วมนุษย์ แต่ปลายนิ้วทั้ง 4 ยาวเสมอกัน เว้นหัวแม่มือ หลังมือก็อิ่มเต็มเกลี้ยงเกลา ข้อมือข้อเท้ากลมกลึงไม่มีปุ่มกระดูกเหมือนคนทั่วไป
—และ กลิ่นหอมที่อวลตลบอยู่ในถ้ำ แท้จริงเป็นกลิ่นดอกไม้ที่ระเหยมาจากมักกะรีผลนี่เอง เมื่อพระสิงหลเห็นหลวงพ่อจรัญ พิจารณาจนพอใจแล้ว จึงเล่าให้ฟังว่า ท่านได้มักกะรีผลนี้มาจากป่าหิมพานต์ มักกะรีผล เป็นต้นไม้ที่ออกดอกมาเป็นพวงๆหนึ่งมี 5 ผล รูปร่างเป็นผู้หญิงสาวทั้งนั้น พอ 7 วันจะหมดอายุร่วงหล่นพร้อมๆกัน
—นี่คือความ มหัศจรรย์เหนือโลก ที่พระเดชพระคุณหลวงพ่อพระราชสุทธิญานมงคล (หลวงพ่อจรัญ ฐิตธมฺโม) ได้ไปพบเห็นมักกะลีผล ด้วยตาเนื้อของท่านที่ประเทศศรีลังกา เมื่อหลวงพ่อจรัญพบเห็นมักกะลีผลที่ประเทศศรีลังกาแล้ว ท่านได้อธิษฐานจิตขอพบมักกะรีผลในประเทศไทย “เหตุมหัศจรรย์” ก็เกิดขึ้นอีกครั้งที่วัดอัมพวัน ผู้ครอบครอง “มักกะรีผล” ในไทย ที่จังหวัดลพบุรี…
—มีวัดแห่งหนึ่งตั้งอยู่บนที่ดอนกลางท้องทุ่ง เจ้าอาวาสเป็นพระภิกษุสงฆ์ผู้ปฏิบัติชอบ มีศีลาจารวัตรงดงาม เป็นที่เคารพศรัทธาของชาวบ้านในละแวกนั้น ชายชราผู้หนึ่งแต่งกายคร่ำคร่า ค่อนไปทางสกปรกสะพายย่ามใบใหญ่ใส่ของไว้จนโป่ง เดินเข้ามาหามนัสการเจ้าอาวาส และพูดว่า“กระผมเดินทางมาไกล จะเดินทางกลับบ้านก็ยังอยู่ไกลเหลือเกิน อยากจะขอความเมตตาจากพระคุณเจ้าพักทีวัดนี้สัก 7 วัน พอให้มีเรี่ยวแรงก็จะเดินทางต่อไป”
—ท่านเจ้า อาวาสมีจิตเมตตาจึงเอ่ยปากอนุญาตให้พักที่ศาลา ให้ทายกวัดจัดสำรับกับข้าวมาให้คนจรสูงอายุกินด้วย แต่ทายกทำท่ารังเกียจเดียดฉันท์ เพราะเห็นเป็นคนสกปรกมอมแมมไม่อยากต้อนรับ เจ้าอาวาสจึงเป็นผู้จัดการเสียเอง เมื่อครบกำหนด 7 วัน ชายชราก็มาหาเจ้าอาวาสบอกว่าขอนมัสการกราบลา และ ขอบพระคุณที่ท่านเจ้าอาวาสมีเมตตาให้กินอยู่หลับนอนตลอด 7 วัน
—ท่าน เจ้าอาวาสก็ยิ้มแย้มไม่ว่ากระไร และมีน้ำใจเดินไปส่งจนถึงประตูหลังวัด ก่อนจะออกนอกเขตวัด ชายชราคนจรได้มนัสการท่านเจ้าอาวาส แล้วกล่าวว่า “พระ คุณเจ้าเป็นผู้มีเมตตา กระผมอยากจะทดแทนพระคุณของท่าน ก่อนอื่นกระผมขอเตือนพระคุณเจ้าว่า หากมีความต้องการจะทำอะไรเพื่อบำรุงพระพุทธศาสนา ก็ให้รีบลงมือทำทันทีให้แล้วเสร็จภายใน 4 ปี หลังจากนี้พระคุณเจ้าจะไม่ได้อยู่ทีวัดนี้แล้ว ประการต่อมากระผมขอถวายสิ่งที่อยู่ในย่ามนี้ให้พระคุณเจ้าเก็บรักษาไว้ ถือว่าเป็นสิ่งแทนน้ำใจของกระผมก็แล้วกัน”
—ชาย ชราคนจรปล่อยย่ามจากหัวไหล่ และมอบให้ท่านเจ้าอาวาส แล้วก็กราบลาไป สมภารเจ้าอาวาสเปิดย่ามดูเห็นของประหลาดอยู่ในย่าม มีกระดาษเขียนข้อความว่า “มักกะรีผล 2 ผลนี้ ข้าพเจ้าได้มาจากป่าหิมพานต์ เป็นของฝากของขวัญมอบให้สมภารไว้ที่นี่”
—นอก จากนั้นยังทำนายเหตุการณ์ และสั่งความไว้อีกพอควร เมื่อท่านสมภารเห็นมักกะรีผลและข้อความที่เขียนไว้เป็นอัศจรรย์ จึงตะโกนเรียกคนในวัดให้วิ่งไปตามชายชราคนจรกลับมาโดยเร็ว ลูกศิษย์วัดก็รีบลนลานออกประตูหลังวัดไปทันที ทั้งที่ชายชราผู้นั้นเดินจากไปไม่นานและบริเวณหลังวัดก็เป็นทุ่งนาโล่งไป ตลอดสุดสายตา แต่ลูกศิษย์ที่วิ่งไปตามชรากลับไม่เห็นใครเลย ราวกับชายชราผู้นั้นหายตัวไปเสียแล้วเมื่อท่านสมภารกลับมาดูยังที่พักของชายชรา เสื่อหมอนที่ใช้นอน ใช้หนุน แทนที่จะเหม็นสาเพราะผู้ใช้สกปรกซอมซ่อเหลือกำลัง กลับระเหยกลิ่นหอมคล้ายกลิ่นธูปเทียนและน้ำมันจันทน์ตลบอบอวล
—ท่านเจ้าอาวาสได้เก็บรักษามักกะรีผลไว้อย่างมิดชิด แล้วเร่งสร้างกุฏิกรรมฐานจนแล้วเสร็จ เป็นที่ปลาบปลื้มยินดีสำหรับท่าน เมื่อครบเวลา 4 ปี เจ้าอาวาสก็ถึงแก่มรณภาพ เป็นไปตามคำของชายชราคนจรซึ่งเคยเตือนไว้เจ้าอาวาสรูป นี้บวช 2ครั้ง บวชครั้งแรกตามประเพณี แล้วก็สึกออกไปเป็นฆราวาส มีครอบครัวลูกเมียไปตามปกติ ครั้นอายุมากขึ้นเกิดความเบื่อหน่ายในชีวิตทางโลก จึงได้กลับมาบวชอีก กระทั่งได้รักการแต่งตั้งเป็นเจ้าอาวาสวัด ลูกชายของท่านเจ้าอาวาสองค์นี้เป็นลูกศิษย์ของหลวงพ่อจรัญตั้งแต่เล็กๆ หลวงพ่อได้อุปการะเลี้ยงดูและส่งเสียให้เรียนหนังสือและบวชให้ เมื่อเป็นพระภิกษุก็ได้ศึกษาเล่าเรียนที่วัดอัมพวัน จนกระทั่งสึกไปเมื่อ ท่านสมภารมรณภาพ ลูกชายก็ไปทำศพ ไปได้มักกะรีผล 2 ผล ของหลวงพ่อสมภารกลับมา แล้วนำมาถวายให้หลวงพ่อจรัญ อธิษฐานจิตที่หลวงพ่อจรัญได้กำหนดไว้ที่ภูเขาสีคิริยา ได้ปรากฏเป็นอัศจรรย์ขึ้นแล้วที่วัดอัมพวัน หลวงพ่อจรัญได้เก็บรักษามักกะรีผลนี้ไว้เงียบๆ
—ขณะเดียวกัน ก็ได้เห็นความเปลี่ยนแปลงของมักกะรีผลตามกฎอนิจจังเป็นลำดับ ธรรมชาติของมักกะรีผลเป็นพืชผล แม้จะอุบัติขึ้นด้วยความมหัศจรรย์เหนือโลก ก็ไม่อาจหนีพ้นความเสื่อมไปได้ คราวแรกที่หลวงพ่อจรัญได้รับมักกะรีผลทั้งสองผลมานั้น ยังมีขนาดใหญ่พอควร ต่อมาก็ค่อยๆ แห้งเฉาลดขนาดลงไปเรี่อยๆ จนกระทั่งเหลือความสูงประมาณ 10 นิ้วฟุต และเมื่อแห้งเฉาถึงสุดแล้ว ก็เหลือเพียงรูปถ่ายซึ่งได้บันทึกเก็บไว้เท่านั้น.
………………………………………………………………………..
หมายเหตุ: อ้างอิง : นที ลานโพธิ.รวมเรื่องอัศจรรย์. กรุงเทพฯ: ฉัตรแก้ว,2542
Credit: th.wikipedia.org/wiki/
Credit: oknation.net/blog/print.php?id=150870
ขอขอบคุณแหล่งข้อมูล : รวบรวมโดย…แสงธรรม
ขอบคุณข้อมูลจาก : http://www.watkaokrailas.com/index.php?mo=3&art=41901981