การมีธรรมะในการครองชีวิต โดย ท่านพุทธทาส ภิกขุ

การมีธรรมะในการครองชีวิต โดย ท่านพุทธทาส ภิกขุ

หน้าที่ 1 – กฎธรรมชาติ
เพื่อเป็นหนทางพร้อมทั้งแสงสว่างสิ่งที่เรียกว่าชีวิตธรรมะๆคำนี้มันแปลยากเพราะว่ามันหมายถึงทุกสิ่งทุกอย่างไม่ยกเว้นอะไรท่านทั้งหลายคงจะประหลาดใจที่ได้ฟังว่าภาษาบาลีคำนี้ว่าธรรมะๆเป็นทุกสิ่งทุกอย่างไม่ยกเว้นอะไรในภาษาไทยเขาไม่แปลกันเขาแปลไม่ได้ภาษาอื่นๆก็พยายามแล้วก็แปลไม่ได้ในที่สุดต้องใช้คำว่าธรรมะๆตามภาษาเดิมอยากจะแปลได้แปลว่าสิ่ง สิ่งไม่มีอะไรที่มีใช่สิ่งธรรมะคือคำสั้นๆมันหมายถึงตัวธรรมชาติ ส่วนตัวของธรรมชาติเองด้วยตัวคนกฎเกณฑ์ของธรรมชาติด้วย หน้าที่ๆตามกฎของธรรมชาตินั้นด้วยแล้วก็ผลที่เกิดมาจากหน้าที่นั้นๆด้วยมันก็เลยไม่ยกเว้นอะไรทั้งพระเป็นเจ้ารวมเรียกคำๆเดียวว่าธรรมะแต่ในความหมายมากมายนั้นเราเอามาเพียงอย่างเดียวหน้าที่ๆถูกต้องตามกฎเกณฑ์ของธรรมชาติ ขอย้ำอีกครั้งธรรมชาติกฎของมันหน้าที่ผลของมันจากการปฏิบัติหน้าที่มัน 4 ความหมายเอามาแต่ความหมายเดียวความหมายที่ 3 คือหน้าที่ๆ หน้าที่ที่ถูกต้องตามกฎเกณฑ์ธรรมชาตินั่นคือสิ่งที่พูดกันในวันนี้สำหรับสิ่งที่มันหมายถึงทุกสิ่งๆแล้วมันแปลกที่ว่าไอ้ธรรมชาติ ธรรมดาธรรมชาติก็เรียกว่าธรรมะที่มันเหนือธรรมชาติคือธรรมะคือธรรมชาติภาษาบาลีธรรมะมันหมายถึงธรรมชาติเหนือธรรมชาติที่เป็นกฎที่ตายตัวที่สำคัญๆเขียนไม่ได้ละเมิดไม่ได้อะไรไม่ได้ธรรมะในความหมายที่ 3 ที่ถูกต้องตามหน้าที่ตามกฎของธรรมชาติในความหมายที่ 3 คือถูกต้องตามหน้าที่ตามกฎของธรรมชาตินั่นคือเรียกว่าแสงสว่างนำมาใช้เป็นเครื่องส่องหนทางในสิ่งที่เรียกว่าชีวิตๆในทุกความหมาย

ชีวิตก็มีหลายความหมายไอ้ตัวชีวิตเองก็ดี วิถีทางในการดำเนินชีวิตนั้นก็ดีก็เรียกว่าชีวิตๆเหมือนแสงสว่างที่จะส่องทางเดินที่เรียกว่าชีวิตเราก็เรียกกันว่าธรรมะในที่นี้ แสงสว่างๆขอให้ทำความเข้าใจว่ามันมีเพียง 2 ชนิดคือแสงสว่างทางฟิสิกส์คือแสงแดดที่มีมูลมาจากแสงอาทิตย์นั่นแสงสว่าง แต่มันมีแสงสว่างชนิดหนึ่งซึ่งเป็นแสงสว่างของธรรมะ แสงสว่างของธรรมะเข้าใจยากซึ่งไม่ค่อยมีคนสนใจแสงแดด แสงอาทิตย์ในที่ธรรมดาแต่ว่าส่องลงไปส่วนลึกๆของจิตใจไม่ได้เป็นแสงของธรรมะจึงจะส่องลงไปในที่แสงแดดส่องไม่ถึงนี่เรียกว่าในตัวชีวิตจิตใจจะต้องมีแสงชนิดที่ 2 คือแสงของธรรมะส่องลงไปชีวิตก็จะมีแสงสว่างๆมีแสงสว่างหมายความว่ามันจะมีความรู้ว่าจะทำอย่างไร ถ้าไม่มีแสงสว่างมันก็มืดก็หลับตาเดินมันก็เดินไม่ได้มันต้องมีแสงสว่างส่องให้ถูกต้องและก็เดินไปให้ถูกต้องนี่เรียกว่าแสงแห่งธรรมะสามารถที่จะดำเนินชีวิตไปอย่างถูกต้องได้รับผลตามที่เราจะได้รับชีวิตมีธรรมะก็ไม่มีทางที่จะทำอะไรผิดมันก็มีแต่ความถูกต้องและมันก็คงที่อยู่แต่ในความถูกต้องเป็นชีวิตที่ไม่กัดเจ้าของข้อนี้หมายความว่าถ้าชีวิตไม่มีธรรมะแล้วมันกัดเจ้าของชีวิตที่ไม่ได้คุ้มครองด้วยแสงแห่งธรรมะ มันโง่ มันมืด มันหลง มันหลงจนกัดตัวเองชีวิตของคนที่ไม่มีธรรมะจะถูกกัดอยู่เลื่อยไปเดี๋ยวความรักกัดเอาความโกรธกัดเอากัดตัวเอง เดี๋ยวความเกลียด เกลียดนั่นเกลียดนี่กัดเอา เดี๋ยวความกลัว กลัวนั่นกลัวนี่กัดเอา เดี๋ยวความตื่นเต้น ฟุ้งซ่านตื่นเต้นกัดเอาเดี๋ยววิตกกังวลในอนาคตกัดเอา เดี๋ยวความอาลัยอาวรณ์ในอดีตกัดเอาเดี๋ยวความอิจฉาริษยากัดเอา เดี๋ยวความหวง ความหึง ความรังเกลียดเดียดฉันกัดเอาฆ่าตัวตายก็มีในที่สุดที่เรียกว่าชีวิตนี้ไม่มีธรรมะแล้วก็เป็นธรรมดาที่มันจะกัดเจ้าของๆมันก็ถือว่าเลวกว่าสุนัข นี่สุนัขมันยังไม่กัดเจ้าของเพราะมันไม่มีแสงสว่างส่องหนทางของชีวิตนั้น มันเป็นชีวิตมืดมันก็เลยกัดเจ้าของมันก็ร้อน ร้อนคือเป็นทุกข์ยุ่งยากไป ด้วยการถูกกัดตัวเองๆมันก็ไม่สามารถทำประโยชน์อะไรได้แล้วก็ไม่ได้รับประโยชน์อะไรเราจึงต้องมีชีวิตที่ถูกต้องๆๆคงที่ๆ/อยู่ในความถูกต้องแล้วมันก็เจริญไปด้วยความถูกต้อง ความถูกต้องทำให้เจริญขึ้นไปแล้วมันก็ถึงที่สุดได้รับผลดีที่สุดมันก็เป็นชีวิตเย็นและเป็นประโยชน์ขอให้ทราบว่ามันเป็น 2 คำ เย็น สงบเย็นๆนี่คำหนึ่งและก็เป็นประโยชน์อีกคำหนึ่งเพราะว่าสงบเย็นๆในที่นี้ เย็นในความหมายของธรรมะ ไม่ใช่เย็นที่หนาวที่เดือดร้อนแล้วก็ไม่เย็นไม่ร้อนด้วยเรียกว่าสงบเย็นในนี้ เราก็แปลคำนี้กันว่าเว้นไอ้ที่ร้อนๆยุ่งๆก็ระงับไปเรียกว่าสงบเย็นเป็นความหมายของนิพพาน เป็นนิพพานที่สูงสุดของพุทธศาสนาก็แปลว่าได้รับความสุขถึงที่สุดเหมือนกับชีวิตนี้ได้รับพรของสิ่งสูงสุด เย็นสงบเย็น With to net มันเป็นความหมายของคำๆนี้ที่ 2 มันก็มีประโยชน์ เป็นประโยชน์ สิ่งที่เรียกว่าประโยชน์นี้ในพระพุทธศาสนาจัดไว้เป็น 3 อย่างด้วยกัน เป็นประโยชน์แก่ตัวเองนี้อย่างหนึ่ง เป็นประโยชน์แก่ผู้อื่นนี้อย่างหนึ่ง และเป็นประโยชน์ชนิดที่เกี่ยวข้องกันจนแยกออกไม่ได้ คือประโยชน์ของเรากับประโยชน์ของคนอื่นเกี่ยวข้องกันแยกออกจากกันไม่ได้นี่ก็อีกข้อหนึ่งเรียกประโยชน์ทั้ง 2 ฝ่ายเลยได้เป็นประโยชน์ตัวเอง ผู้อื่น และประโยชน์ทั้ง 2 ฝ่าย เราควรจะทำประโยชน์ให้มีทั้ง 3 ความหมายนี้จึงจะชื่อว่าได้รับประโยชน์อย่างแท้จริงตัวเราถ้าไม่ได้รับประโยชน์ก็เหมือนไม่ได้เกิด ไม่มีประโยชน์ตายซะดีกว่าคนอื่นก็เหมือนกันเราอยู่คนเดียวในโลกไม่ได้เขาให้เราอยู่คนเดียวในโลกเราก็อยู่ไม่ได้ต้องคิดถึงกันต้องมีประโยชน์ผู้อื่นด้วยจึงจะอยู่ด้วยกันได้ประโยชน์เกี่ยวข้องกันอยู่ประโยชน์ บางอย่างทำข้างเดียวไม่ได้ต้องทำทั้ง 2ข้างคือทั้งเราและทั้งผู้อื่น นี่เรียกประโยชน์ที่สมบูรณ์ขอให้พยายามชำระสะสางที่เรียกว่าประโยชน์ๆให้ถึงที่สุดด้วยกันทั้ง 3 ชนิดทีนี้ก็มาแสวงหาธรรมะซึ่งเป็นแสงสว่างเป็นเครื่องดำเนินชีวิตให้เดินทางไปถูกต้องจนเป็นชีวิตเย็นเป็นประโยชน์ใน 2 ความหมายดังที่กล่าวแล้วนี่ขอแทรกตรงนี้สักนิดหนึ่งว่าเรื่องธรรมะมันเข้าใจยากมันต้องมีจิตที่ถู��

http://www.vcharkarn.com/varticle/34243

. . . . . . .