จิตนี้ประภัสสร โดย ท่านพุทธทาส
หน้าที่ 1 – การแสดงธรรม
โดยข้อความที่เนื่องกันสำหรับให้ท่านทั้งหลายได้รับประโยชน์ ได้รับความสำเร็จตามความมุ่งหมาย เรื่องของพระอรหันต์เป็นเรื่องที่ทุกคนควรจะทราบด้วยเหตุผลง่ายๆว่าพระอรหันต์เป็นตัวอย่างแห่งบุคคลพูดถึงกันเต็มเปี่ยมแห่งความเป็นมนุษย์ เราก็จำเป็นที่จะต้องทำตนให้ถึงความเต็มเปี่ยมของความเป็นมนุษย์ จึงตามรอยของผู้พระอรหันต์ถ้าไม่ได้ไปตามรอยนั้นมันก็เดินไปตามนอกลู่นอกทางผิดไปจากที่มนุษย์ควรจะหวัง ควรจะปรารถนาและอาการที่เรียกว่า เทพี ที่ได้เกิดมาก็จะปรากฏ ขอให้ท่านทั้งหลายสนใจฟังให้เป็นอย่างดี อีกประการหนึ่งมีข้อที่ควรจะสังเกตและทำในใจว่าเธอจะต้องมีการฟังที่ดีจึงจะเข้าใจได้ หรือจะรับเรื่องราวอันนี้ไปได้ แล้วก็มีข้อเกี่ยวพันกันมาถึงว่าท่านทั้งหลายมาแต่ที่ไกล เรื่องมาก เหนื่อยมาก แพงมาก ถ้าไม่ได้รับประโยชน์อะไรที่คุ้มค่ากันโดยเป็นความบกพร่องของอาตมาอย่างนี้แล้ว อาตมาเคยใช้คำว่า ยมบาล จะเอาตาย ยมบาลจะเล่นงานจะเอาตาย ถ้าท่านทั้งหลายไม่ได้รับประโยชน์อะไรสมกันกับที่ท่านได้เสียสละมา
ที่นี้ถ้ามันเป็นในทางที่ว่าอาตมาก็ได้พยายามเป็นอย่างยิ่งสุดความสามารถที่จะทำได้แล้ว ในการแสดงธรรม แต่ท่านทั้งหลายไม่ฟังให้ดีแล้วไม่ได้รับประโยชน์อะไรเลยอย่างนี้แล้ว ยมบาลจะลงโทษใครขอให้ลองคิดดูให้ดีๆในการที่ว่าอาตมาจะพ้นจากการเล่นงานของยมบาลมันก็อยู่ที่ท่านทั้งหลายตั้งใจฟังให้ดีนั้นเอง มันก็จะรอดตัวกันไปได้ทั้งสองฝ่าย การที่มาจากที่ไกลและไม่ได้รับประโยชน์อะไรนี้ ถึงแม้ยมบาลจะไม่เล่นงานเอามันก็เสียหายมากพออยู่แล้ว มันกลายเป็นการทำอะไรด้วยอำนาจของอวิชชา ถ้ามาแต่ที่ไกลก็ยิ่งจะต้องสนใจมากเป็นพิเศษให้ได้รับประโยชน์จากการมานี้ อย่างเต็มที่ อาตมาก็พยายามจะสนองความประสงค์อันนี้คือ นึก คิด สังเกต เลือกเป็นหาเรื่องราวที่จะนำมาแสดงนั้นให้อยู่ในวิสัย ที่ท่านทั้งหลายจะรับเอาได้ แต่ต้องเป็นเรื่องที่มีค่า มีคุณค่าต่อกันพอสมควรกัน คือเป็นเรื่องที่มีความสำคัญสำหรับพุทธบริษัทเป็นเรื่องที่ลึกซึ้งสมควรมีแก่ผู้ที่มีสติปัญญา
เรื่องชนิดนี้มันก็ไม่ง่ายนักที่จะฟังแล้วเข้าใจจึงต้องร่วมมือกันทั้งผู้แสดงและผู้ฟังทำให้ดีด้วยกันทั้งสองฝ่ายคงจะสำเร็จประโยชน์ได้อย่างน้อยก็พอคุ้มค่านี้เป็นสิ่งที่จะต้องทำความเข้าใจกันเบื้องต้นว่าผู้ฟังต้องฟังให้ดีจึงจะสำเร็จประโยชน์ถ้าฟังไม่ดีผู้แสดงจะแสดงให้ดีอย่างไรมันก็ไม่สำเร็จประโยชน์ซึ่งเขาเปรียบเทียบว่าเหมือนกับว่า ป่าปี่ให้เต่าฟัง มันก็ไมรู้เรื่องเพื่อให้พ้นโทษอันนี้ก็ขอให้ฟังให้ดี
ให้รู้ลึกธรรมเทศนาเป็นบุพพาลำดับ ที่สืบต่อธรรมเทศนาที่แสดงแล้วในตอนเย็นที่แสดงในหัวข้อ พระอรหันต์อย่าลืม อย่าลืมพระอรหันต์ เราจะพยายามนึกถึงพระอรหันต์ให้มาก ถือเอาพระอรหันต์เป็นแบบอย่าง แบบอย่างตามพระอรหันต์ถ้าทำได้อย่างนี้ก็มีประโยชนอื่น แต่ถ้ายังไม่เข้าใจก็ทำไม่ได้ ที่จริงได้แสดงสิ่งที่ควรได้แสดง ควรจะทำอย่างไรจึงจะได้รู้จักพระอรหันต์หรือว่าจะเดินตามพระอรหันต์ได้ ในตอนนี้อาตมาอยากจะแสดงโดยใจความสำคัญว่า เราจะต้องศึกษาเรื่องของพระอรหันต์จากภายในจิตใจของเราเองเรื่องต่างๆที่จะทำให้เราเข้าใจเรื่องของพระอรหันต์นั้น
ขอให้อ่าน ขอให้ค้น ขอให้ศึกษาจากเรื่องภายในโดยตรงไม่ได้เพียงแต่อ่านหนังสือ ไม่ได้เพียงแต่ฟังเทศน์ที่มีผู้แสดงให้ฟังแต่ต้องการจะให้ศึกษาจากข้างใน หรืออ่านหนังสือเล่มใน หรือว่าฟังเสียงจากข้างในนั้นมีความเข้าใจเกิดขึ้นจากการศึกษาภายในนี่แหละจึงจะสำเร็จประโยชน์ขอให้ท่านทั้งหลายตั้งใจฟังให้ดีว่าเราจะศึกษาเรื่องของพระอรหันต์จากภายในนั้นจะทำได้อย่างไร
ในชั้นแรกก็จะต้องพูดว่าการศึกภายนอกจากหนังสือหรือจากการฟังธรรมนี้ ก็จำเป็นเพราะว่ามันเป็นแนวให้ศึกษาจากภายในถ้าไม่เคยได้ยินฟังมาก่อนบ้างแล้วก็ไม่อาจจะศึกษาจากภายใน ถ้าท่านทั้งหลายลองคิดด้วยตนเองสังเกตดูความรู้สึก ความนึกคิดของตัวเองก็จะรู้ได้ว่าไม่มีทางที่จะศึกษาจากภายในได้ตามลำพังตนเอง ต้องศึกษาตามแนวตามที่ได้ยินได้ฟังจากภายนอก
จากภายนอกก็คืออ่านหนังสืออันนี้ก็เรียกว่า ภายนอก ได้ฟังเทศน์ก็เรียกว่าจากภายนอก หรือใครจะสอนสั่งแนะนำอย่างไรก็เรียกว่า ภายนอก ถ้าได้ฟังเรื่องจากภายนอกศึกษาจากภายนอกก็มาพอสมควรแล้ว ก็เป็นแนวสำหรับให้ศึกษาจากภายใน เดี๋ยวนี้อาตมาถือว่าศึกษาภายนอกนั้นที่เราได้กระทำมาแล้วกี่ปี ได้กระทำแล้วมากี่สิบปี ที่สวนโมกข์แห่งนี้สิบปีก็พยายามอย่างเต็มที่มีการแสดงธรรมที่เรียกว่าเป็นการศึกษาจากภายนอก น่าจะถือว่าเป็นการมากพอแล้วที่ท่านทั้งหลายสามารถศึกษาจากภายใน จึงขอให้ประมวลความรู้ต่างๆที่ได้รับจากภายนอกนั้นใช้ในการศึกษาจากภายใน
ซึ่งในวันนี้อาตมาจะได้กล่าวโดยเฉพาะศึกษาถึงเรื่องพระอรหันต์จากภายใน หลักจากศึกษาจากภายนอกมาพอสมควรแล้วที่นี่คำว่าศึกษาจากภายในให้คือน้อมจิตให้ศึกษาจากภายในตัวในชีวิตในเรื่องของตนเองหรือเรื่องของผู้อื่นที่มันเหมือนกับของตนเองคือว่ามันมีอยู่มากมายเพราะเรื่องของมนุษย์ทั้งหลายนั้นก็ตรงกัน ถ้าเรารู้เรื่องอยู่ในจิตใจของเราได้ดีมันก็อาจรู้เรื่องที่อยู่ในจิตใจของคนทั้งหลายได้เพราะว่ามันมีมากเรื่องที่ตรงกันนี่ก็ถือว่าเป็นการศึกษาจากภายในด้วยเหมือนกันที่ว่าศึกษาจากภายในนั้นของให้น้อมระลึกคิดถึง เรื่องทารกเกิดมาเดี๋ยวนี้มีคนเทศน์แข่งแล้วเทศน์ไปให้จบสิ
พุทธบริษัทเรายังมีมรรยาทเลวเทศน์แข่งกับพระบนอามาต เมื่อคราวก่อนไล่ไปพวกหนึ่งแล้ววันนี้ก็จะมีมาอีก อาตมาจะบอกท่านทั้งหลายว่าให้ศึกษาจากภายในคือดูในตัวคนถ้าเป็นมนุษย์นี้ต้องตั้งต้นมาแต่ที่เป็นทารกอยู่ในครรภ์ ทารกอยู่ในครรภ์เติบโตขึ้นมาอย่างไร
ในทางกายและทางใจขอให้ศึกษาที่นั้นให้เป็นอย่างดีจะรู้ธรรมะจริง แล้วรู้เรื่องทารกคือตัวเราเองพอสมควรเราสังเกตเห็นทารกหรือเด็กที่เป็นทารกอยู่เดี๋ยวนี้ก็พอจะให้ความรู้จากเรื่องนี้ได้ไม่ว่าจะศึกษามาจากทารกมาเป็นจุดตั้งต้นนับตั้งแต่ว่า เด็กอยู่ในท้องมารดามีอะไรบ้างหรือว่าไม่มีอะไรขอให้สนใจในส่วนนี้ว่าเด็กอยู่ในท้องมารดามันยังไม่มีการเกิดในทางจิตใจมันมีการเกิดแต่ทางร่างกายถึงแม้ว่าเด็กอยู่ในท้องจนจะคลอดอยู่แล้วมันเป็นเด็กที่โตเต็มที่มันก็มีการเกิดแต่ทางกายยังไม่มีการเกิดในทางใจ เพราะว่าจิตใจยังคิดลึกอะไรไม่ได้โดยเฉพาะอย่างยิ่งมันคิดลึกในเรื่องตัวกูในเรื่องของกูนี้ไม่ได้จึงไม่เกิดกิเลส ตัณหาอุปปาทาน นี้เรียกว่ามันไม่มีการเกิดในทางใจ มีแต่ทางเกิดในทางกาย
ที่มีถ้ามันคลอดมาจากท้องแม่แล้วเดี่ยวนี้หรือหลายชั่งโมง หรือเป็นวัน หรือหลายวันแล้วถ้ามันยังคิดอะไรไม่ได้ในทางของกิเลส ตัณหาอุปปาทานแล้ว แต่ว่าเด็กคนนี้ยังไม่มีการเกิดทางจิตใจ แม้ว่ามีการเกิดทางกายคลอดออกมาจากท้องแม่มานอนแว้วๆอยู่ ภาษาคนก็ว่าเกิดแล้วเกิดแล้วมันเกิดในภาษาคนทารกว่าเกิดแล้วแต่ภาษาธรรม ธรรมะถือว่าไม่เกิดยังไม่เกิดความรู้สึกตัวกู หรือของกูได้ มันเกิดความรู้สึกว่าตัวกูหรือของนี้ได้ก็ต่อเมื่อไรนี้เป็นสิ่งที่ต้องพิจารณากันอย่างละเอียด
ขอให้สนใจในข้อนี้ได้เกิดมาจากท้องแม่แล้ว นอนอยู่ในเบาะแล้วก็มีทางเกิดในทางกายแต่ไม่มีการเกิดในทางจิต มันยังไม่มีปัญหาอะไรเลยมีคิดลึกไม่ได้เพียงแต่รู้สึกได้บ้างตามธรรมชาติแต่มันคิดนึกอะไรไม่ได้เพราะว่าไอ้ส่วนที่คิดนึกนั้นมันยังไม่ทำหน้าที่ บางทีมันลงไปถึงส่วนที่ได้รับอารมณ์มันก็ทำหน้าที่มันรับสัมผัสไม่ได้น่าจะสัมผัสได้แต่น้อยเกินไป ยังไม่ทำให้เกิดความนึกคิดอย่างนี้ในภาษาธรรมะในชั้นลึกก็ต้องพูดว่า ธาตุทั้ง 4 ยังไม่เกิด อนัตตยะทั้ง 6 ก็ยังไม่เกิด ทั้ง 5 ก็ยังไม่เกิดท่านทั้งหลายต้องฟังให้ดีๆ อาตมาได้ทนในท้องแม่หลายชั่งโมง หรือ หลายวันแล้วแต่ถ้าไม่ยังไม่รู้สึกอะไรได้นึกอะไรไม่ได้ในทางตัวตนก็ถือว่ายังไม่เกิดมันมีธาตุ 4 ดิน น้ำ ลม ไฟ แล้วแต่มันยังไม่ทำหน้าที่ ดิน น้ำ ลม ไฟ ยังไม่ทำหน้าที่ เป็น อนัตตยะ อนัตตยะไม่ยังไม่ทำหน้าที่ตอบรับอารมณ์ อนัตตยะ ก็ยังไม่เกิดแม้ว่าเด็กนั้นมีตาแล้ว มีหู มีจมูก มีลิ้น มีกาย แล้ว อนัตตยะ ก็ยังไม่เกิด เกิดในที่นี้เกิดในทางธรรมในภาษาธรรม ตา หู จมูก ลิ้น กาย
เกิดแล้วในทางภาษาคนอย่างที่พูดคนเค้าเห็นมีตา หูจมูก ลิ้น กายแล้วเด็กๆนี่ แต่ในทางภาษาธรรมมันยังเพราะว่ามันยังไม่ทำหน้าที่ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจนั้นมันยังไม่ได้ทำหน้าที่จึงถือว่ายังไม่เกิดเด็กทารกนี้ยังไม่เกิดขันธ์ทั้ง 5 คือรูปของมันที่เป็นตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ยังไม่ทำหน้าที่ เวทนา วิญญาณก็ยังไม่ทำหน้าที่ทางเวทนาก็ยังไม่มีตามความหมายคำว่าเวทนา คือสัญญา สังขารมันก็เลยยังไม่มีมีไม่ได้ เรียกว่า ขันธ์ 5 ยังไม่มี
เด็กเกิดออกมาแล้วเพราะว่ามันยังไม่ทำหน้าที่ไม่ได้ทำตามหน้าที่ของ ขันธ์ 5 อาตมาพูดอย่างนี้ช่วยจำไว้ด้วยที่อื่นเค้าคงไม่สอนอย่างนี้ แล้วเค้าก็หาว่าผิด การพูดอย่างนี้มันผิดเค้าจะพูดว่ามันผิด อาตมาก็ยังยืนยันกับท่านทั้งหลายว่าเป็นอย่างนี้ อย่างนี้แหละมันถูก โดยให้สังเกตเด็กทารกที่ยังไม่รู้สึกเต็มที่ในทางนึกคิดในทางไม่เรียกว่าเกิด มันยังไม่รู้ว่าเกิดยังไม่รู้สึกว่าเป็นตัวฉัน เข้าเวทนาสังขารยังไม่เกิดอย่างสมบูรณ์แบบ ที่ชั้น1ก่อน ที่นี่ก็มีคำสำคัญอยู่ว่า เด็กคลอดออกมาแล้วนี้ มันไม่มีรู้ธรรมะอะไรเลย อย่างที่ภาษาบาลีบอกว่าทารกนั้นไม่มีการรู้ วาโทพิมุก มีความรู้เรื่อง ปัญญาพิมุก ไม่สามารถควบคุมให้เกิดกิเลสไม่รู้เลยที่นี้เด็กก็โตมา 4 วัน 5 วัน 7วัน 10 วัน หรือกี่วันไม่สามารถจะพูดหรือกำหนดได้เด็กโตพอแล้ว ตา รูปจักดูรูปดีแล้ว หูก็ฟังเสียงดีแล้ว จมูกรู้กลิ่นดีแล้ว อย่างนี้ก็ได้รับอารมณ์ทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย เด็กนั้นรู้สึกได้ว่าเป็นอย่างไร รูปเป็นที่พอใจหรือไม่ เสียงเป็นที่พอใจหรือไม่ กลิ่นเป็นที่พอใจหรือไม่ รสเป็นที่พอใจหรือไม่ เดี๋ยวนี้มันรู้แล้ว มันไม่ได้เพียงแต่ว่าเลือดของแม่ถ่ายไปเลี้ยงเด็กทารกทางสายสะดื้อ
เดี่ยวนี้ไม่กลายเป็นว่าเด็กมันรับอาหารโดยตรงทางปาก รับกินอาหารทางปากเองรู้สึกรสอาหารทางปากเองจึงรู้จักว่าอร่อย หรือไม่อร่อยทางอาหารนั้น อาหารทางตาสวยหรือไม่สวย หรืออาหารทางหูไพเราะหรือไม่ไพเราะ เดี๋ยวนี้เด็กรู้จักรส ของเสียงคือเสียงที่ไพเราะหรือเสียงที่ไม่ไพเราะเช่นเสียงขับกล่อมของผู้ที่ร้องเพลงกล่อม จมูกก็รู้สึกกลิ่นแล้วว่ากลิ่นนี้ถูกใจหรือไม่ถูกใจ หอมหรือเหม็น ผิวหนังก็รู้สึกแล้วว่าอ่อนละมุนสิ่งที่มากระทบนี้อ่อนละมุนหรือว่าแข็งกระด้างหรือแหลมคม
เดี๋ยวนี้เด็กเขามีความเจริญขึ้นมาจนถึงรู้อารมณ์อย่างนี้แล้ว แล้วมันก็ไม่เหมือนกับเด็กที่อยู่ในท้องหรือว่าเด็กที่เพิ่งคลอดออกมาหยกๆ เดี๋ยวนี้เด็กสามารถรับอารมณ์แล้ว คือว่าธาตุทั้ง 4 มันปรุงกันขึ้น สูงขนาดขึ้นมาเป็นอายะตนะ ตาม หู จมูก ลิ้น กาย รู้สึกต่ออารมณ์ได้ คล้ายกับคนทั่วไปแล้วที่อายะตนะ ที่ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ หรือว่าด้วยก็เกิดขึ้นพอที่จะทำหน้าที่เหมือนคนธรรมดาทั่วไปได้แล้ว ที่นี้ว่ารูปทำหน้าที่ ตา หู จมูก ลิ้น กาย
สำหรับระงับอารมณ์ มันก็เรียกว่ารูปขันธ์เกิดแล้วได้กระทบอารมณ์แล้วก็เกิดวิญญาณขันธ์รู้แจ้งทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย เมื่อวิญญาณขันธ์เกิดแล้วมันก็เพิ่งเกิดเดี๋ยวนี้มีการกระทบทางอายะตนะมีวิญญาณขันธ์แล้วมันก็มี ตัสสะ ซึ่งทำให้เกิดเวทนาขันธ์ มีเวทนาที่น่าพอใจ ตามความรูสึกของเวทนา เดี๋ยวนี้เด็กมีเวทนาขันธ์แล้ว เวทนาขันธ์เกิดขึ้นกับเด็กแล้ว เด็กจึงรู้สึกสำคัญมั่นหมายในเวทนาขันธ์ที่เป็นสุข หรือ เป็นทุกข์เป็นต้น อันนี้เรียกว่าสัญญาขันธ์ได้เกิดแล้ว
เมื่อสัญญาขันธ์เกิดได้ในระดับนี้มันก็เกิดสังขารขาร เด็กนั้นจะมีความรู้สึกนึกคิดได้ตามความสำคัญมั่นหมายในสิ่งที่น่ารัก น่าพอใจ น่าอร่อย น่าไม่อร่อย มันก็มีความสุขคิดนึกได้ เด็กเริ่มมีความคิดนึกได้แม้จะไม่มากมายก็เรียกว่าสัญญาขันธ์ได้เกิดขึ้นแล้ว เดี๋ยวนี้เด็กทารกน้อยๆของเรา
แม้จะนอนเบาะอยู่ มันก็มีธาตุ 4 ที่ทำงานเป็นแล้ว เรียกว่าเกิดแล้ว มีอายะตนะที่ทำงานได้เรียกว่าเกิดแล้ว มีขันธ์ที่ทำหน้าที่ เรียกว่ามีเบญจขันธ์ที่เกิดแล้ว นี้มันเกิดขึ้นมาอย่างนี้ แต่ว่าเด็กยังไม่มีความรู้เรื่อง เจโตวิมุก หรือ ปัญญาวิมุก อยู่นั้นเอง มันเมื่อเกิดเวทนาเป็นต้นขึ้นมาเด็กก็ไม่รู้จักนึกคิดไปในทางที่เกิดกิเลสเพราะว่าเด็กเขาไม่รู้เรื่องของเจโตวิมุก ที่จะระงับความรู้สึกเลวร้ายนั้นได้อันนั้นเสียด้วยอำนาจจิต และเด็กนั้นก็ไม่มีความรู้สึกทางปัญญาที่จะระงับความรู้สึกอันเลวร้ายนั้นเสียด้วยอำนาจแห่งปัญญา
นี่พระพุทธเจ้าจึงตรัสว่าทารกนั้นมีความรู้ในเรื่อง เจโตวิมุก ปัญญาวิมุก เด็กทารกชนิดนั้นจะมีความรู้เรื่องปัญญาวิมุก เจโตวิมุกนั้นได้อย่างไร เพราะว่าเดี๋ยวนี้แม่แต่คนแก่ หัวหงอกแล้ว มันก็ยังไม่มีความรู้นี่จะเอาอย่างไร เด็กทารกนี้จะมีความรู้เรื่องเจโตวิมุก ปัญญาวิมุกอย่างไรกันได้จึงไม่สามรถระงับอารมณ์ร้ายที่เกิดขึ้นทางเวทนาเป็นต้นอย่างให้ปรุงเป็นกิเลส คำพูดเนี่ยน่าอัศจรรย์ที่สุด มีความหมายที่สุด เพราะว่าเด็กเกิดมาจากท้องมารดาจนโตใหญ่แล้วมันก็ยังไม่มีความรู้เรื่องที่จะระงับความรู้สึกที่ยู่ในจิตใจเสียด้วยสมาธิ หรือ ด้วยปัญญา เด็กไม่มีความรู้เรื่องเจโตวิมุกที่ไม่สามารถจะดับอารมณ์ร้ายของมันได้หรืออำนาจจิต หรือำนาจสมาธิได้เด็กไม่มีความรู้เรื่องปัญญาวิมุกที่จะดับอารมณ์ร้ายของมันเสียได้ด้วยเรื่องของปัญญานี่คือความหมายของคำว่าทารกน้อยๆนั้นไม่มีความรู้เรื่องเจโตวิมุก ปัญญาวิมุก ถ้าไม่มีใครสอนได้แล้วมันก็ไม่ได้ติดมาแต่ในท้อง แต่ว่าที่อื่นพวกอื่นมาแต่ในท้องได้
แต่เท่าที่อาตมาเรียนมาจากพระบาลีโดยตรงเป็นอย่างนี้ว่าอย่างนี้เป็นไปไม่ได้ ที่เด็กจะเกิดมาด้วยบุญ ด้วยบาป เกิดมาด้วยกุศล หรือมาด้วยอกุศลก็ตาม ทารกไม่มีความรู้เรื่อง เจโตวิมุก ปัญญาวิมุก ที่จะดับอารมณ์ร้ายเกิดขึ้นได้ ดังนั้นเด็กก็ต้องปล่อยจิตให้ดำเนินไปตามเหตุตามปัจจัยของมัน ที่เกิดการปรุแต่งตามลำดับโดย นัยยะ ที่เรียกว่า ประจิตสะอุบาท
แม้จะเป็นขนาดน้อยๆ ยกตัวอย่างทางตา หรือ ยกตัวอย่างทางลิ้นจะฟังง่ายกว่า เด็กได้กินนมสัมผัสกับน้ำนมด้วยลิ้น เกิดจากสุวิญญาณ มีผัสสะทางลิ้น หรือเกิดเวทนา ทางลิ้นคือน้ำนมนั้นอร่อยเป็นต้น เด็กก็ต้องรู้สึกอร่อยเพราะเขาไม่มีความรู้อะไรที่จะไปรู้สึกได้ก็ต้องรู้สึกอร่อย พออร่อยก็เป็นเวทนาที่เป็นสุข มันก็ชอบมันก็เกิดตัณหาเรื่อยๆไปในความอร่อยนั้นมันก็จะต้องพูนขึ้นเป็นความอยากในความอร่อย และในความคิดกูอยาก กูอร่อย กูได้ของอร่อยตามความอยาก
หน้าที่ 2 – ระบบประสาท
ปัญหานี้เรียกว่า ตัณหาอุปปาทานเกิดขึ้นแก่เด็กนั้นเด็กนั้นก็ยึดถือเป็น หรือเป็นของตน หรือทางรุนแรงก็เป็นตัวกูหรือของกู จนจิตหวั่นไหวมีความทุกข์ไปตามแบบนั้นๆ อร่อย ดีใจ หวั่นไหวไปตามแบบดีใจ ไม่อร่อยไม่พอใจก็ไหวหวั่นตามแบบไม่พอใจ ซึ่งล้วนแต่เป็นทุกข์กันดังนั้นเด็กจึงมีความรู้สึกที่เป็นทุกข์ได้ เต็มตามความหมายอย่างนี้เรียกว่า เด็กนี้เกิดแล้วทั้งทางกาย ทางจิต เมื่อก่อนนี้มันเกิดแต่ทางกาย ทางจิตยังไม่มีการเกิด เพราะอายตนะยังไม่ทำงาน ยังไม่สามารถทำงาน ยังปรุงแต่งไม่ถึงขนาดที่เรียกว่าอายตนะทั้งหลายจะทำงานรู้สึกไปตามแบบของขันธ์ทั้ง 5 ได้
เดี๋ยวนี้เด็กมี อายตนะสูงพอที่รู้สึกทางสัมผัสเป็นวิญญาณขันธ์ในรูปขันธ์เป็นต้นรสอร่อยที่มากระทบรูปขันธ์นอก ในมันก็เกิดรูปขันธ์ สัมผัสแล้วเกิดวิญญาณขันธ์ ก็เกิดเวทนาขันธ์ เกิดสังขารขันธ์ คือ คิด นึกในทางปรุงกับสิ่งที่มากระทบนั้น เดี๋ยวนี้เขามีได้ทั้ง 5 ขันธ์ เรียกภาษาธรรมะว่าขันธ์เกิดแล้ว เพราะว่าขันธ์ทำหน้าที่แล้ว ไม่ใช่เกิดมาแล้วมีขันธ์ทั้ง 5 โดยไม่ต้องมีความรู้สึกนึกคิด นึกหรือทำหน้าที่อะไร อย่าเข้าใจผิดถ้าเป็นคนมีชีวิตอย่างนี้ก็มีขันธ์ 5 ครบถ้วนอยู่แล้วในคราวเดียวแม้กระทั้งเวลาหลับในเป็นไปไม่ได้ เป็นคำพูดที่เชื่อถือไม่ได้ มันเกิดพร้อมกันครบทั้ง 5 ขันธ์นั้นไม่ได้ รูปขันธ์จะมาก่อนไม่ว่าจะ ตา ดวงตานี้มันเป็นเนื้อหนัง เป็นรูปขันธ์ ถ้ามันเป็นเนื้อหนังไม่ทำหน้าที่ของดวงตา ก็เรียกดวงตายังไม่ทำหน้าที่อุปขันธ์ที่เป็นดวงตายังไม่เกิดรูปภายนอกก็เหมือนกันถ้ายังไม่มากระทบตาทำหน้าที่ก็เรียกว่ารูปภายนอกก็ยังไม่เกิดดวงตาภายในก็ยังไม่เกิดมันก็ไม่มีการเกิด
ต่อเมื่อดวงตาข้างในพร้อมทั้งระบบประสาทสามารถเป็นที่รับอารมณ์คือรูปภายนอกและรูปภายนอกมากระทบด้วยเรียกว่ามันเกิดแล้วทั้งรูปภายในและรูปภายนอกมันก็เป็นอายตนะครอบครองสำหรับสัมผัสกันและวิญญาณรู้แจ้งทางตานี้วิญญาณขันธ์ทางตาเกิดแล้วสัมผัสกันอย่างนี้แล้วก็เกิดเวทนาขันธ์คือความรู้สึกทางตานั้น สวยไม่สวยมีรสเป็นที่พอใจหรือไม่ที่เป็นที่พอใจแล้วเวทนาขันธ์เกิดแล้วด้วยอาศัยตาหรือเกิดการสัญญาเป็นมั่นหมายว่าความรู้สึกอันนี้เป็นสุขหนอ เป็นทุกข์หนอก็สุดแท้เพียงแต่เวทนาขันธ์ก็เกิดแล้ว สัญญาขันธ์ก็เกิดแล้วสำคัญมั่นหมายว่าสุขนี้คือเกิดแล้วคือเกิดสังขาร คือความคิด นึกอย่างใดอย่างหนึ่งไปตามความหมายของเวทนาขันธ์นั้นคิดนึกก็เป็นปัญหาให้เกิดตัณหา แล้วก็คิดนึกตัวตนเป็นของตนทำอย่างไรต่อไปเป็นอุปปาทาน ซึ่งรวมอยู่คำว่าสังขารขันธ์ด้วยเหมือนกันเป็นอันว่ารูปขันธ์เกิดแล้วตามอันดับนี้ วิญญาณขันธ์เกิดแล้วตามอันดับสังขารขันธ์เกิดแล้วตามอันดับแล้วเกิดพร้อมคราวเดียวกันได้นี่แหละขันธ์ 5 มีลักษณะอย่างนี้ แม้ในเด็กทารกที่เพิ่งเกิดมาเพียงไม่กี่วัน แต่เดี๋ยวนี้มันมีความเจริญมากพอที่จะรู้สึกทาง ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ได้ เด็กนี้ ทารกนี้
เกิดแล้วในทางจิต ก่อนหน้านี้คือเกิดแล้วในทางรูป ทางกาย พอตั้งการปฏิสนธิในท้องของมารดาแล้วเป็นสัตว์ตัวเล็กๆอยู่ในท้องของมารดาแล้วคือเกิดแล้วเหมือนกัน คือเกิดในแล้วแต่ทางกาย เกิดแล้วแต่ในทางวัตถุ แต่ทางจิตยังไม่เกิดคลอดออกมาจากท้องแม่แล้วมันก็เกิดแล้วแต่ทางกาย แต่ทางจิตยังไม่เกิด ต่อเมื่อทารกนั้น ร่างกายของทารกนั้นเจริญเติบโต จนเกิดความสามารถทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย รู้สึกได้ คิดนึกได้ อย่างนี้จึงเรียกว่าเกิดแล้วทางจิต แม้การเกิดในทางจิตถึงช้าอยู่ ดูล้าหลังอยู่ เมื่อยังไม่เกิดทางจิตก็ไม่มีขันธ์ทั้ง 5 ละเพราะขันธ์ทั้ง 5 เป็นเรื่องของจิต เป็นเรื่องของทางฝ่ายจิตทั้งนั้นแหละเราจึงดูว่าเด็กทารกนี้เกิดทางกายก่อนนานพอสมควรแล้วจึงเกิดทางจิต ที่เกิดทางจิตแล้วแต่เขาไม่มีความรู้เรื่อง เจโตวิมุก ปัญญาวิมุก เขาจึงไม่รู้จักป้องกันต่อต้านอารมณ์ทั้งหลายที่เข้ามากระทบได้ด้วยอำนาจ ธรรมชาติไม่มีความรู้เรื่องที่จะระงับความรู้สึกนั้นเสียด้วยกำลังจิตไม่มีความรู้ที่จะกำจัดความรู้สึกอันแรงร้ายนั้นเสียด้วยอำนาจของปัญญา นี้เรียกว่าทารกนั้นไม่มีความรู้เรื่อง เจโตวิมุก ปัญญาวิมุก พอเติบโตขึ้นมา เจริญรอยตามขึ้นมาตามลำดับ
โดยที่ปราศจากความรู้ทางจิตใจ เจโตวิมุก และปัญญาวิมุก เขาจึงเกิดการกระทำผิด ไปตามการปรุงแต่งที่เกิดกิเลส ตัณหาและอุปปาทาน และเป็นทุกข์เป็นอย่างนี้ขึ้นๆไป เดี๋ยวนี้เด็กทารกของเราเกิดกิเลสเป็นแล้ว เกิดกิเลสได้แล้วเมื่อมีเวทนาเป็นที่น่าพอใจมันไม่รู้ว่าจะเป็นทุกข์เพราะว่ามันไม่รู้อะไร เจโตวิมุก ปัญญาวิมุก มันจึงไม่รู้จัก ข่มขี่หรือระงับเสียซึ่งอำนาจ หรือ กรรม อำนาจหรือคุณค่าของเวทนานั้นเวทนานั้นก็ปรุงแต่งให้เกิดตัณหา อุปปาทานให้เกิดกิเลส
ดังนั้นเด็กของเรามีความคิดที่เป็นความโลภเกิดกิเลสความโลภ คือไม่ได้โลภ ไม่ได้อย่างที่ต้องการก็เกิดกิเลสเกิดความโกรธแล้วเมื่อไม่รู้จะทำยังไงดี ก็มีโมหะ หลงใหลที่มากระทบ ตามอารมณ์ที่มากระทบตามการปรุงแต่งของธรรมชาติที่ปรุงแต่งตามธรรมชาติ เด็กทารกจึงเกิดกิเลส โลภะ โมหะ โทสะ โมหะได้ครบถ้วนแล้วก็มากขึ้นตาม มากขึ้นตามลำดับ
อย่างที่ผู้ใหญ่ก็เกิดความโลภ ความโกรธ ความหลง นี่เรียกว่าเด็กของเราเกิดกิเลสได้แล้ว เกิดกิเลสเป็นแล้ว นี่คือเรื่องที่เขาให้ศึกษาจากภายใน ศึกษาจากภายใน ว่าเด็กได้เจริญวัยเติบโต โตไปตามหน้าที่ของ อวิชชา คือไม่มีความรู้เรื่อง เจโตวิมุก ปัญญาวิมุก ความรู้เรื่องนี้เป็น อวิชชา เด็กของเราจึงเติบโตขึ้นมาของ อวิชชา ไม่รู้ว่าจะลำดับ นับ หรือว่าควบคุม บังคับ การปรุงแต่งแห่งจิต อย่าให้เป็นไปตามกิเลส ตัณหา อุปปาทาน เด็กของเราจึงเติบโตขึ้นมาเท่ากับความเจริญของกิเลส ตัณหา อุปปาทานเป็นธรรมดา ใครจะไปช่วยได้ ก็เด็กเองไม่มีความรู้เรื่อง เจโตวิมุก ปัญญาวิมุก แล้วก็ปรุงแต่งอยู่ภายในอีกในจิตของเด็ก แล้วใครจะไปช่วยได้ แม้ว่าพ่อแม่ตั้งใจจะช่วยให้มีความรู้นี้ก็ช่วยไม่ได้แล้วพ่อแม่เสียอีกส่งเสริมการเกิดแห่งกิเลส นี่ไม่ได้พูดตำหนิพ่อแม่ หรือว่าจะไม่รู้บุญคุณของพ่อแม่
แต่พูดไปตามตรงว่าพ่อแม่ในรักลูก และอุตสาห์เสาะแสวงหาสิ่งที่ส่งเสริมกิเลสมาให้ทารกนั้นคือให้ทารกนั้นเห็นผ้าสวยๆมาแขวนให้ดู รูปงู รูปปู รูปปลา สุดแท้ก็จะให้ทารกนั้นฟังเสียงไพเราะที่ขับกล่อม ให้ทารกนั้น ได้กลิ่นหอมๆ ให้ทารกนั้นได้กลิ่นอร่อยๆที่สุดที่จะหามาให้ประคบประหงมให้มีความสบายทางผิวหนังให้มีความนุ่มนวลอ่อนละมุน เด็กทารกก็เคยชินกับความสวยงาม ความไพเราะ ความหอม ความอร่อยทางปาก ความนิ่มนวลทางผิวหนังทุกวันๆ เพิ่มขึ้นๆ หรืมันจะเป็นอย่างนั้นมากขึ้นหรือมันไม่รู้ก็ล้วนแต่ส่งเสริมให้เกิดกิเลสทั้งนั้นจึงเกิดความโลภ ความโกรธ ความหลง
ยิ่งๆขึ้นไปที่เด็กๆของเราเป็นอย่างนี้ดูให้ดีเถิดว่ามันตรงกันข้ามกับเรื่องที่จะเป็นพระอรหันต์ เรื่องที่จะเป็นพระอรหันต์นั้นต้องดับกิเลส แต่ทารกของเราได้รับการแวดล้อม ด้วยสิ่งที่ส่งเสริมให้เกิดกิเลส ไพเราะทางตา ให้สวยงามทางตา ให้ไพเราะทางหู หอมหวนทางจมูก เอร็ดอร่อยทางลิ้น ทางปาก นิ่มนวลทางผิวหนัง ซึ่งไปรวมถึงความเอร็ดอร่อยทางจิตใจ เด็กของเราเกิด ความโลภ ความโกรธ ความหลงยิ่งขึ้น ยิ่งขึ้นนี่กิเลสเกิดแล้ว เด็กนี้เกิดกิเลสเป็นแล้วจะดูตามกระแสปฏิสุบาทก็ได้ จะดูตามกระแสแห่งเบญจขันธ์ก็ได้เรื่องนี้อาตมาพูมาหลายครั้งแล้วถ้าท่านบางคนไม่ข้าใจหรือว่าลืมเสียจึงจะเห็นได้ชัดว่า การปรุงแต่งตามแนวแห่งปฏิสุบาท ได้เกิดขึ้นแก่เด็กแล้วอย่างสมบูรณ์
ขอกล่าวซ้ำทบทวนอีกทีก็ได้เด็กได้รับความอร่อยทางตา มันก็เกิดเวทนาเป็นสุขเกิดสัญญา มั่นหมายความสุขอย่างนี้ก็เป็นเรื่องปรุงให้เกิดตัณหา อุปปาทาน ตาทำหน้าที่ ตา ระงับอารมณ์ภายนอกเป็นรูปแล้วก็มีวิญญาณที่เกิดขึ้นเพราะการกระทบทางตาก็มีผัสสะ มีเวทนา มีตัณหา มีอุปปาทาน มีภพ มีชาติ เกิดเป็นตัณหาขึ้นมา เรื่องว่า ปฏิสุบาท เมื่อเด็กได้รับการกระทบทางตาเมื่อเกิดอุปปาทานแล้วจึงรู้สึกต่ออารมณ์ได้เป็นอย่างดี วิญญาณขันธ์แล้วผัสสะนั้นให้เกิดเวทนาอย่างใดอย่างหนึ่งเกิดเวทนาขันธ์แล้วทารกนั้นก็สำคัญมั่นหมายคุณค่าความหมายแห่งเวทนานั้นอย่างไรก็เรียกว่าเกิดสัญญาขันธ์แล้ว สัญญาเป็นไปถึงที่สุดแล้วเกิดความคิดเป็นความคิดที่เรียกว่าสังขารขันธ์แล้วคิดอย่างนั้นคิดอย่างนี้ คิดจะได้ คิดจะมี คิดจะเอา คิดจะฆ่า คิดจะทำลาย คิดจะต่อสู้นี้ล้วนแต่ว่ามันเป็นสังขารขันธ์ทั้งนั้น เดี๋ยวนี้เด็กได้มีการปรุงแต่งครบถ้วนตามแนวแห่งขันธ์ 5 แล้วนี่เราก็จะบอกในแนวแห่งปฏิสุบาทก็ได้ เราจะมองในแนวแห่งขันธ์ทั้ง 5 ก็ได้ เดี๋ยวนี้เด็กของเราได้รับการปรุงแต่งถึงขนาดที่มีการเกิดแล้วทั้งทางกาย เกิดแล้วทั้งทางจิตที่มันเกิดแล้ว มันก็เกิดกิเลส โลภะ โทสะ โมหะ เมื่อเกิดกิเลสแล้วก็ไม่ต้องพูดมากหรอกแล้วมันก็เกิดนิสัยคือความเคยชินแห่งกิเลส มันโลภที่หนึ่งหรือตำหนักในความโลภที่หนึ่งมันก็เกิดความเคยชินที่จะโลภอีกก็เรียกว่าเกิด ราคานุสัย แล้วมันโกรธที่หนึ่งเป็นโทสะก็เกิดความเคยชินที่จะโกรธง่ายขึ้นๆไปอีกเดี๋ยวนี้มันเกิดปฎิภานุสัยแล้ว ปฏิคะอนุสัย
ที่นี้ถ้ามันโง่ไม่รู้จะทำอย่างไรดีเป็นโมหะมันก็เกิดอวิชชานุสัยแล้วเด็กจึงเกิดอนุสัยได้ ทั้งราคานุสัย ปฏิภานุสัย ปฏิคะนุสัย ทั้งอวิชชานุสัย คือความเคยชิน ชินอย่างยิ่งที่จะเกิดง่ายเกิดเร็วแห่ง โลภะ โทสะ โมหะ ความเคยชินชนิดนี้เรียกว่า อนุสัย มาจากการเกิดขึ้นแห่งกิเลส เกิดกิเลสครั้งหนึ่ง ก็เกิดการสะสมแห่งความเคยชินอีกหน่วยหนึ่งเรียกว่า อนุสัย เด็กจึงมีอนุสัย เพิ่มขึ้นๆเท่าที่มันเกิดกิเลสขึ้นเท่าไร
อนุสัยความเคยชินนี้มันสะสมมากขึ้นๆมันก็จะไหลออกมาเป็นกิเลสได้ง่ายเข้าพอมันไหลออกมาเป็นกิเลสก็เรียกว่า อาสวะแล้ว อาสวะไหลออกแล้ว ไม่เท่าไรเด็กๆของเราไม่ต้องกี่ขวบหรอมันก็จะมีอนุสัยที่สมบูรณ์ อาสวะได้สมบูรณ์ ทั้งหมดนี้มันก็ตรงกันข้ามกับเรื่องของพระอรหันต์ พระอรหันต์จะไม่มีสิ่งเหล่านี้อีก
เดี๋ยวนี้มันมีสิ่งเหล่านี้ที่มันตรงกันข้ามของเรื่องพระอรหันต์มันก็ช่วยได้ มันก็เกิดมาเป็นตัณหามา ซึ่งก็จะเป็นความทุกข์แล้วเมื่อไรละที่จะรู้เรื่องนี้แล้วจะทำลายสิ่งเหล่านี้เสียได้เพื่อจะไม่มีทุกข์ก็ยังไม่มีหวัง งั้นเด็กๆก็จะต้องโตขึ้นมาเป็นวัยรุ่นหนุ่มสาว กระทั้งเป็นพ่อบ้านแม่เรือน มันก็เคยชินกับกิเลส มันก็เกิดกิเลสต่อสู้กันกับกิเลสก็ต้องทนอยู่ในกองทุกข์เพราะอำนาจของกิเลสเรื่อยมา จนกว่าจะเป็นผู้ใหญ่ เติบโต แก่เฒ่า ชรา บ้างที่ก็ไม่รู้สึกไม่รู้สึก มันก็ตายไปด้วยกิเลส อนุสัยไม่เท่าไรก็เป็นหนุ่มเป็นสาว ไม่เท่าไรได้บวช ได้เรียน ได้เป็นพ่อบ้านแม่เรือนพยายามสังเกตสิ่งทั้งหลายที่มาเกี่ยวข้องกับจิตใจ โอ้ นี่ความทุกข์ทั้งนั้นโว้ย ไปขอความรู้ไปขอคำอธิบายจากผู้รู้ที่วัดที่วาทางศาสนาว่ากิเลสเป็นอย่างไร อนุสัยเป็นอย่างไร
อาสวะเป็นอย่างไรแล้วจะทำลายกิเลส อนุสัย อาสวะอย่างไรค่อยๆรู้เพราะทนความทุกข์ไม่ไหวแล้วโดนความทุกข์บีบคั้นจึงมาศึกษาเรื่องการดับกิเลส การดับอนุสัย หรืออาสวะ นี้มันเนื่องกันนะ ถ้าดับกิเลสได้มันก็ไม่เกิดอนุสัย อนุสัยมาจากการเกิดจากกิเลสถ้าดับอนุสัยนี้ได้มันก็ไม่มีอาสวะและไม่มีอะไรจะไหลออกมาให้การดับเสียซึ่งกิเลสไม่ไห้เกิดก็คือการตัดทอนอนุสัยลงไปอนุสัยตัดทอนลงไปก็ไม่เกิดอาสวะไม่มีอะไรช่วยเหลือออกมานี่ขอให้เรารู้เรื่องภายในจิตใจที่เป็นภายในแท้ๆของมนุษย์นี้เพราะมันมีอยู่อย่างนี้มันตรงกันข้ามกันกับเรื่องราวของพระอรหันต์ซึ่งจะตัดเสียซึ่งกิเลส ตัดเสียซึ่งอนุสัยจะถอนเสียซึ่งอาสวะจะใช้คำว่าตัดเสียซึ่งกิเลสจะบรรเทาเสียซึ่งอนุสัยให้ถอนเสียซึ่งอาสวะใช้คำพูดที่ไม่เหมือนกัน
แต่นี้ก็ไม่สำคัญเพราะเรานี้เราไม่ต้องการจะเรียนบาลี ไม่ต้องการจะเรียนภาษาเพียงจะบอกให้รู้ว่าเราต้องใช้คำต่างกันตัดเสียซึ่งกิเลสตัดเสียซึ่งอนุสัยถ่ายถอนซึ่งอาสวะ เป็นอันว่าในชีวิตคนตั้งแต่เกิดมานี้มันเพิ่มสิ่งที่ตรงกันข้ามต่อความเป็นพระอรหันต์ตรงกันข้ามกับความเป็นพระอรหันต์ไปที่มีเพราะว่าพระอรหันต์ต้องตรงกันข้ามจากความเป็นอย่างนี้เดี๋ยวนี้เรามารู้สึกแล้ว
รู้สึกต่อความทุกข์แล้วอยากไปดับทุกข์ ในเรื่องของพระอรหันต์ขอให้ท่านทั้งหลายสังเกตดูให้ดี
จิตนี้มันได้เกิดขึ้นแล้วเป็นการเกิดทางจิตแล้วมันก็เต็มไปด้วยเรื่องของกิเลสตัณหา อุปปาทาน อุปปาทานนั้นแหละคือการเกิดทางจิต ตัณหาคือเชื้อหรือพืชพรรณสำหรับการเกิดทางจิตตัณหาให้เกิดอุปปาทานขอให้รู้จัก หลายคนจะนั่งหลับก็ตามใจ แต่ว่าหลายคนลืมตาสว่างเข้าใจถ้อยคำที่อาตมากำลังพูดว่าการเจริญงอกงามในชีวิตคนเรานั้นมันเจริญงอกงามขึ้นมาในทางตรงกันข้ามต่อความเป็นพระอรหันต์เดี๋ยวนี้เราจะต้องรู้จักมันเราก็ต้องทำลายเสียให้หมดเข้าเรื่องเข้ารอยถึงความเป็นพระอรหันต์ที่นี้ก็มาดูถึงความลับของความลึกลับอันนี้อันหนึ่งซึ่งเป็นต้นตอของเรื่องทั้งหลายคือพระบาลีที่ยังพูดยกบนหัวข้อข้างตนว่า ประภัสสราจิตตรัง เป็นต้น คือพระพุทธเจ้าตรัสนี้เป็นประภัสสรคือตามธรรมชาติเป็นประภัสสร
………………………….ศูนย์ความเป็นประภัสสรสูญเสียความเป็นประภัสสรหน้าเศร้าหมองเพราะกิเลสและอุปกิเลสเกิดขึ้นเมื่อจรมาอาคันตุกะ ถ้าไม่มีอาคันตุกะกิเลสแล้วมันก็เป็นจิตที่ผ่องใสเมื่อกิเลสเข้ามาเป็นแฉกนี้ก็เศร้าหมองไม่ผ่องใสเมื่อใดไม่มีกิเลสเป็นอาคันตุกะมาก็ผ่องใสธรรมชาติของจิต ถ้าผู้ใดรู้ความจริงข้อนี้ จิตภาวนาจะมีแกบุคคลนั้นพระพุทธเจ้าตรัสไว้อย่างนี้ ผู้ใดรู้จักมีพระประภัสสร 2 อย่างนี้แล้ว จิตภาวนาจะมีแกบุคคลนั้น บุคคลนั้นจะต้องการ จะพยายามที่ป้องกันไม่ให้อาคันตุกะเข้ามา เพื่อจะรักษาจิตประภัสสร ประภัสสรยิ่งๆขึ้นไป ถึงจิตนี้เปลี่ยนสภาพเป็นจิตที่กิเลสเข้ามาเกิดไม่ได้แล้วก็มีแต่ประภัสสรถาวรคือการบรรลุการเป็นพระอรหันต์กิเลสเกิดไม่ได้ต่อไป และมีจิตภาวนาคือการเจริญทางจิตถึงความลับของจิตว่าประภัสสรหรือไม่ประภัสสรเป็นเหตุอย่างนี้แล้วก็จะมีจิตภาวนานั้นก็คือความรู้เรื่อง เจโตวิมุก หรือปัญญาวิมุก ที่ทารกไม่เคยรู้
เดี๋ยวนี้คนโตๆที่ผ่านโลกมาแล้วทนทุกข์มานานแล้วสนใจและเริ่มรู้ ในเรื่องปัญญาวิมุก เจโตวิมุก ว่าจะควบคุมความรู้สึกอันเลวร้ายอย่างไร จะเพิกถอนความรู้สึกอันเลวร้าย ด้วยอำนาจของปัญญาอย่างไรนี่คือความรู้ เจโตวิมุก ปัญญาวิมุก ชนิดที่ทารกไม่เคยมีมาแต่ในท้อง คลอดมาแล้วก็เป็นทารกเติบโตขึ้นมา แม้ว่าเป็นวัยรุ่นก็ตามที่มีเพราะพ่อแม่ก็สอนไม่ได้ มีแต่ส่งเสริมกิเลส เป็นกรรมของใคร เป็นกรรมของอวิชชา มีอวิชชาเป็นบาปกรรมของจิตอวิชชาถ้าพูดอย่างสมมติของคนๆนั้น
แต่ที่จริงมันก็ไม่มีคนๆไหนที่จิตจะประกอบด้วยวิชชาด้วยอวิชชานั้นเองที่เรียกว่ามันไม่มีตัวตน เดี๋ยวนี้ก็กลายเป็นเรื่องพระอรหันต์ในภายในแห่งจิตใจในภายชีวิตจิตลึก ให้มันเติบโตขึ้นมาจนเป็นหนุ่มเป็นสาวเป็นผู้ใหญ่มันก็ยังไม่มีความรู้เรื่อง เจโตวิมุก ปัญญาวิมุก จึงไกลจากการเป็นพระอรหันต์ เพราะอย่างนั้นเราควรศึกษาเรื่องจิตภาวนาที่จะทำจิตให้เป็นภาวนาให้เรื่อยไป จะมีเจโตวิมุก ปัญญาวิมุกอยู่ในความเป็นประภัสสรนั้น เราก็จะได้พูดกัน
ในโอกาสต่อไปการบรรยายในครั้งนี้ก็สมควรแก่เวลาแล้วเหลือไว้บรรยายในครั้งต่อไปเพื่อที่จะทำจิต ควบคุมจิตให้มีสภาพประภัสสรได้อย่างไรในตอนนี้ขอยุติการบรรยายไว้เพียงแค่นี้เพื่อจะได้ดำเนินกิจการต่างๆที่จะไปตามกำหนดที่เราเคยได้กระทำกันมา อาตมาขอยุติธรรมเทศนาครั้งนี้ไว้เพียงแค่นี้
http://www.vcharkarn.com/varticle/35247