การบำรุงพระศาสนา โดย ท่านพุทธทาส
หน้าที่ 1 – การบำรุงพระศาสนา
นะโม ตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมาสัมพุทธัสสะ
นะโม ตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมาสัมพุทธัสสะ
นะโม ตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมาสัมพุทธัสสะ
ณ บัดนี้จะได้วิสัชนาพระธรรมเทศนาของพระผู้มีพระภาคเจ้าเพื่อเป็นเครื่องประดับสติปัญญาส่งเสริมศรัทธาความเชื่อและวิริยะความพากเพียรของท่านทั้งหลายผู้เป็นพุทธบริษัทให้เจริญงอกงามก้าวหน้าในทางแห่งพุทธศาสนาของสมเด็จพระบรมศาสดา
อันเป็นที่พึ่งของสัตว์ทั้งหลาย กว่าจะยุติลงด้วยเวลา ธรรมะเทศนาในวันนี้ก็เป็นเทศนาการเข้าพรรษาที่ต่อกันมาจากวันก่อน วันเข้าพรรษาก็ดีวันเข้าพรรษาก็ดีหรือหน้าที่เกี่ยวกับการเข้าพรรษาก็ดีเป็นสิ่งที่เราจะต้องมีความรู้ความเข้าใจกันให้ยิ่ง ๆ ขึ้นไปเพื่อให้สำเร็จประโยชน์ในการทำกิจนา ๆ ชนิด ในวันเข้าพรรษาสำหรับในวันนี้ก็จะได้กล่าวถึงกิจที่จะต้องกระทำให้เป็นอย่างยิ่งในระยะการเข้าพรรษาสืบต่อไป ในการเข้าพรรษานั้นมันก็มีสิ่งที่จะต้องทำให้ดีที่สุดด้วยกันทุกสิ่งและก็มีอยู่มากมายหลายประการในวันนี้จะได้กล่าวถึงการ บำรุงพระศาสนา คำว่าบำรุงพระศาสนานี้ก็พลอยจะเป็นที่เข้าใจกันได้อยู่แล้วว่าหมายถึงอะไร การบำรุงศาสนาโดยใจความก็คือ ทำให้พระศาสนามั่งคง เจริญ เป็นที่พึ่งแก่สัตว์ทั้งหลายได้จริง และเป็นสิ่งที่เราต้องการจำเป็นอย่างยิ่งด้วยกันทุกคนล้วนแต่ตั้งใจที่จะบำรุงพระศาสนา
ทีนี้มันก็มีปัญหาว่าการบำรุงพระศาสนานั้นจะต้องทำอย่างไรเท่าที่เห็นกันอยู่ในบัดนี้ก็มีอยู่ต่าง ๆ กัน พอที่จะกล่าวได้ว่ามีอยู่เป็น 2 ฝ่ายคือ ประพฤติปฏิบัติกระทำในพระศาสนาที่เป็นส่วนของตนให้ดีให้ยิ่งขึ้นไปนี้อย่างหนึ่งอีกอย่างหนึ่งก็คือ ช่วยเหลือผู้อื่นช่วยเหลือกิจการของพระศาสนาบำรุงวัดวาอาราม เลี้ยงพระเจ้าพระสงฆ์เป็นต้นเหมือนที่กระทำกันเป็นพิเศษอยู่แล้วใน 2 อย่างนี้ อย่างที่ 1 นั้นคือการที่ตัวเองปฏิบัติเอง อย่างที่ 2 คือการช่วยผู้อื่นหรือสิ่งอื่นเป็นใจความสำคัญแต่เมื่อดูตามพระพุทธภาษิตที่พระพุทธองค์เคยตรัสไว้ ในสมัยที่ยังทรงพระชนชีพอยู่นั้นค้นไม่ค่อยจะพบ หาไม่ค่อยจะพบพระพุทธภาษิตที่ดำรัสว่า
พวกเธอจงช่วยกันบำรุงพระศาสนาจงช่วยกันเลี้ยงพระ เลี้ยงเณร ช่วยกันบำรุงวัดว่าอารามถ้อยคำเช่นนี้หาไม่พบ กับจะมีแต่พระพุทธดำรัสที่ว่าเธอจงเป็นผู้ไม่ประมาท จงปฏิบัติธรรมะทำตนให้หลุดพ้นจากความทุกข์โดยเร็วเถิด อย่างนี้มีมากและมีทั่วไปทีนี้เราก็มาคิดกันดูว่าอย่างไหนจะเป็นการบำรุงศาสนาอย่างแท้จริงคำตอบง่าย ๆ ก็ว่าจะเป็นไปในทำนองว่า ถ้ามัวแต่ยุคนอื่นให้ปฏิบัติตนเองไม่ปฏิบัติแล้วก็คงจะไม่มีการปฏิบัติอะไรในพระศาสนานี้เป็นแน่เพราะมัวแต่ยุคนอื่น ส่งเสริมคนอื่น บำรุงคนอื่น จนกระทั้งการบำรุงส่งเสริมคนอื่นนั้นมันมากเกินไป มันเลยเทิดกลายเป็นให้โทษให้เสียก็มีนี้อย่างหนึ่ง ทีนี้อีกอย่างหนึ่งมันตรงกันข้ามคือว่าอย่าไปมัวยุคนอื่นอย่ามัวแต่พึ่งคนอื่น ส่งเสริมคนอื่นอยู่เลย จงตั้งหน้าตั้งตาปฏิบัติของส่วนของตนแต่ละคนละคนให้ดีที่สุด ผลมันก็จะเกิดขึ้นว่ามีการปฏิบัติธรรมในพระพุทธศาสนาและได้รับผลของการปฏิบัตินั้นโดยสมควรแก่ปฏิบัติอยู่ทั่ว ๆ ไปในที่ทุกหนทุกแห่งเมื่อมันมีการปฏิบัติอยู่อย่างนี้และมีผลของการปฏิบัติอยู่อย่างนี้ก็เรียกว่า ศาสนาตัวแท้นั้นได้มีอยู่จริงเพราะศาสนาโดยแท้นั้นได้เจริญรุ่งเรืองอยู่ มิใช่รุ่งเรื่องแต่ผิวนอกหรือเปลือกนอก คือสวยแต่ล้างไปด้วยวัดวาอารามหรือพระเจ้าพระองค์ซึ่งมีเพียงส่วนภายนอกแต่ส่วนภายในนั้นไม่ค่อยจะมีอะไรก็มัวแต่เลี้ยงกันอย่างเลี้ยงเป็ดเลี้ยงไก่ เลี้ยงกันไปอย่างนี้มีนก็เป็นความเจริญในภายนอก เราจะพิ
http://www.vcharkarn.com/varticle/35491