การทำงาน คือการปฏิบัติธรรม โดย พุทธทาสภิกขุ
หน้าที่ 1 – การรอดในโลกนี้มีอย่างไรบ้าง
ท่านสาธุชน ผู้มีความสนใจในธรรมทั้งหลาย อาตมาจะได้กล่าวเรื่องโดยหัวข้อว่าการทำงาน คือการปฏิบัติธรรม ทำไมต้องพูดเรื่องนี้ ก็ เพราะว่าเป็นเรื่องที่ท่านทั้งหลายส่วนมากยังไม่เข้าใจ อย่าหาว่าเป็นการดูหมิ่นดูถูกอะไร หรือว่าท่านส่วนมากยังไม่เข้าใจและเข้าใจผิดอยู่ คือไม่เห็นด้วยว่า การทำงานเป็นการปฏิบัติธรรมได้อย่างไร ด้วยเคยได้ยินเขาพูดกันแต่ว่า ปฏิบัติธรรม ต้องไปอยู่วัด ต้องเก็บตัว ต้องทำตามแบบฉบับที่เขาวางไว้ บัดนี้มาพูดว่าการทำงาน คือการปฏิบัติธรรม มันขัดกันก็เลยไม่เชื่อ นี่แหละถึงต้องพูดเรื่องนี้ สิ่งที่เรียกว่า ธรรม มันก็ยังเป็นสิ่งที่เราไม่รู้จัก ไม่รู้จักว่าธรรมคืออะไร เราก็เลยไม่รู้ว่าการปฏิบัติธรรมคืออะไร และการทำงาน คือการปฏิบัติธรรมอย่างไร เราไม่รู้ว่าธรรมคืออะไร เราก็เลยไม่รู้ว่าทำอย่างไรจึงจะมีธรรม ดังนั้นเราจึงไม่มีธรรม ก็อยู่กันอย่างไม่มีธรรม ไม่มีธรรมะ ก็ต้องมีแต่ความยุ่งยาก ลำบาก ทุกข์ทรมาน ทั้งโดยส่วนตัวและโดยสังคม ในชั้นแรกนี้ ก็อยากจะพูดถึงคำว่าธรรม ธรรม คือ สิ่งที่มีอยู่โดยธรรมชาติ ดังนั้นในภาษาบาลี คำว่า ธรรม กับ คำว่า ธรรมชาติ จึงเป็นคำเดียวกัน เมื่อถามว่าพระพุทธเจ้าตรัสรู้อะไร ก็ตอบว่าตรัสรู้ธรรม ท่านสอนอะไร ท่านสอนธรรม สอนธรรมะ ก็ควรจะรู้ต่อไปว่าท่านสอนอะไร จึงจะรู้ว่าท่านตรัสรู้ธรรม ท่านสอนธรรม ก็เหมือนว่ายังไม่ได้พูดว่าอะไร และยังไม่มีประโยชน์อะไร ท่านตรัสรู้ธรรม และสอนธรรม ก็คือสอนเรื่องธรรมชาติ เกี่ยวกับธรรมชาติ โดยสี่ความหมาย โดย 4 หัวข้อ ก็ได้ ท่านสอนว่าตัวธรรมชาติว่าเป็นอย่างไร ท่านสอนว่ากฎของธรรมชาตินั้นเป็นอย่างไร ท่านสอนเรื่องหน้าที่ของมนุษย์ที่จะต้องปฏิบัติตามกฎของธรรมชาติว่าเป็นอย่างไร ท่านสอนเรื่องผลที่จะได้รับจากการปฏิบัตินั้นว่าเป็นอย่างไร มันมีอยู่ 4 อย่างอย่างนี้ ท่านทั้งหลายก็พอจะเข้าใจได้เองว่า ความหมายที่สามว่าหน้าที่ของมนุษย์ที่จะต้องปฏิบัติตามกฎของธรรมชาติ นั่นแหละเป็นหัวข้อที่สำคัญที่สุด ที่เราต้องรู้ ต้องเข้าใจและต้องปฏิบัติด้วย ไม่ใช่รู้เฉยๆ ปฏิบัติเฉยๆ
ธรรม คือ หน้าที่ที่มนุษย์จะต้องปฏิบัติให้ถูกต้องตามกฎของธรรมชาติ ถูกต้องทุกขั้นทุกตอนแห่งวิวัฒนาการของตน ทั้งเพื่อประโยชน์แก่ตนเอง และเพื่อประโยชน์แห่งสังคม นี่เรียกว่าธรรม เราจะปฏิบัติธรรมให้ถูกต้องตามกฎของธรรมชาติ นี่เพียงรู้ว่ากฎของธรรมชาติมีอยู่อย่างไร กฎของธรรมชาติมีอยู่มากมาย แต่เท่าที่จำเป็นที่ต้องรู้ คือรู้ว่าทำอย่างไรตามกฎของธรรมชาติแล้วเราจะมีชีวิตรอดอยู่ได้เป็นปกตินี้อย่างหนึ่ง และทำอย่างไรชีวิตที่รอดอยู่อย่างปกติ จึงจะวิวัฒนาการรอดอยู่ต่อไป กว่าจะถึงจุดสูงสุดที่มนุษย์ควรจะได้รับ เรียกสั้นๆว่า อยู่รอด รอดอยู่เพื่อถึงที่สุดแห่งความดี ความประเสริฐที่มนุษย์ควรจะได้รับ นี้ธรรมชาติต้องการอย่างนี้ ทีนี้ก็มาถึงคำว่า หน้าที่ตามกฎของธรรมชาติ เราจะต้องเป็นอยู่ให้ถูกต้องตามกฎของธรรมชาติจนได้รับผลอันนี้ ทีนี้การทำงาน คือ อะไร การทำงาน ก็คือการทำหน้าที่ตามกฎของธรรมชาติ เพื่อรอดอยู่ได้ และเจริญยิ่งๆขึ้นไป ดังนั้น การทำงานจึงเป็นการปฏิบัติธรรม ปฏิบัติธรรมะอยู่ในตัว เพราะว่าหน้าที่ที่ต้องทำเพื่อความรอดนั้นเป็นธรรมะ เป็นหัวข้อธรรมะ เราทำงานเพื่อถูกต้องตามกฎของธรรมชาติ มีความถูกต้องตามกฎของธรรมชาติเกิดขึ้น เรียกว่า ธรรมะ รอดชีวิตอยู่ได้ และเจริญถึงที่สุด เดี๋ยวนี้เราทำงานเพื่ออะไรกัน ขอให้ลองคิดดู เราไม่ได้ทำงานเพื่อความถูกต้องของมนุษย์ ด้วยความรู้สึก ถ้าเราไม่รู้สึก เราก็ทำงานตามความต้องการของเรา พวกนี้ล้วนแต่เป็นกิเลสตัณหา เพราะทำไปด้วยอวิชชา ต้องทำงานเพื่อหน้าที่ของมนุษย์จึงจะเป็นธรรมะ ถ้าทำงานเพื่อเลี้ยงกิเลสก็ไม่ใช่ธรรมะ เราทำงานเพื่อความเป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์จึงจะเป็นธรรมะ ถ้าทำงานเพื่อเลี้ยงกิเลส เพื่อเซ่นผีกิเลส นี้จะเป็นธรรมะได้อย่างไร คนหนึ่งทำงานเพื่อความเป็นมนุษย์ดีที่สุดของตน คนหนึ่งทำงานเพื่อเอาเงินมาซื้อเหล้ากิน เพื่อไปอาบอบนวด เป็นต้น นี่มันต่างกันอย่างไร ลองคิดดู คนหนึ่งทำงานเพื่อความเป็นมนุษย์อันถูกต้อง คนหนึ่งทำงานเพื่อเอาเงินมาซื้อเหล้ากิน เที่ยวอบายมุข มันไกลกันลิบ ถ้าว่าทำงานเป็นการปฏิบัติธรรม คือ ทำงานเพื่อความเป็นมนุษย์ของตน จึงขอสรุปผลเป็นสองอย่าง ว่าทำงานนั้นมีสองอย่าง ทำงานอย่างหนึ่งเพื่อทำความเป็นมนุษย์ให้เต็ม ทำงานอีกอย่างหนึ่งเพื่อทำความเป็นมนุษย์ให้แหว่ง ทำงานเหมือนกันคนในโลกนี้ ในบ้านนี้ ในเมืองนี้ หรือพวกผู้ฟังนี่แหละ บางคนเพื่อทำความเป็นมนุษย์ให้เต็ม บางคนทำงานเพื่อทำความเป็นมนุษย์ให้แหว่ง คือ ทำงานเพื่อเอาเงินไปเที่ยวอบายมุข ทำให้ความเป็นมนุษย์ให้แหว่งไปๆๆ จนไม่เหลือ จำไว้ก่อนเถอะว่า การทำงานมีอยู่สองอย่าง คือ ทำเพื่อให้มีความเต็มแห่งความเป็นมนุษย์ และทำเพื่อทำลายความเป็นมนุษย์ให้แหว่ง ให้ร่อยหลอไป ทำงานชนิดไหนเป็นการปฏิบัติธรรม เดี๋ยวนี้ก็คงจะตอบได้เองแล้วว่า ทำงานเพื่อรักษาเพื่อรักษาความเป็นมนุษย์ของตนให้คงอยู่ และเจริญยิ่งๆขึ้นไป เมื่อรู้ว่าการทำงานคืออะไรโดยถูกต้องแล้ว ก็รู้ต่อไปอีกหน่อยว่า อะไรเป็นหน้าที่ของมนุษย์ เมื่อตะกี้นี้ก็กล่าวมาแล้วว่า เราทำหน้าที่เพื่อความอยู่รอด เมื่อรอดอยู่แล้วก็ทำให้ความเป็นมนุษย์พัฒนา เจริญอยู่สูงยิ่งๆขึ้นไป จนถึงที่สุด ความรอดของมนุษย์ พอจะแบ่งได้เป็น 2 ชนิด คือ รอดอยู่ในโลกนี้อย่างชาวโลก และรอดขึ้นไปเหนือโลก พ้นจากความทุกข์ทั้งปวงในโลก รอดอยู่ในโลกนี้ยังต้องเผชิญกับปัญหาบางอย่างในระดับสูง เช่นว่า มีเงิน มีอำนาจ มีวาสนา มีเพื่อน มีบริวารแล้ว จะยังมีปัญหาเกี่ยวกับสิ่งเหล่านั้น ต้องมีจิตใจสูงกว่าสิ่งเหล่านั้นจึงจะไม่มีปัญหาเกี่ยวกับสิ่งเหล่านั้น หรือคนเหล่านั้น ทีนี้ก็จะดูว่า การรอดในโลกนี้มีอย่างไรบ้าง เราจะต้องมีความถูกต้องตามกฎของธรรมชาติอยู่ในการคิด การพูด การกระทำ ซึ่งจะแจกหัวข้อว่าเราจะต้องมีวัตถุแวดล้อม เช่น บ้านเรือน สิ่งของ ถูกต้องตามที่ควรจะมี แล้วเราก็มีร่างกายถูกต้องตามที่ควรจะมี แล้วเราก็จะมีจิตใจดี มีสมรรถภาพ ที่เป็นจิตปกติ ไม่ต้องเป็นโรคประสาท เป็นต้น แล้วเราก็จะมีความรู้หรือสติปัญญาดี จึงจะสามารถทำหน้าที่ได้ดี หรือมีความรอดอยู่ในโลกนี้ดี เราจะต้องทำหน้าที่ทุกอย่างให้เรามีวัตถุแวดล้อมดี มีร่างกายดี มีจิตใจดี มีความรู้ สติปัญญาดี มีความสุขอยู่ทุกกระเบียดนิ้วในชีวิต และการงาน เมื่อเรารู้ว่าการทำงาน คือการทำให้เกิดความถูกต้อง เจริญงอกงาม ก้าวหน้าในทางธรรม เราก็พอใจที่จะทำ ก็เลยมีความสุขเมื่อทำ เมื่อทำอะไรเพื่อความถูกต้องที่จะมีวัตถุดี มีร่างกายดี มีจิตใจดี มีปัญญาดี แล้วเราก็พอใจไปหมด เป็นความสุขอยู่ทุกกระเบียดนิ้วที่ทำงาน หรือเรียกว่า ชีวิตก็ได้ มีชีวิตอยู่ทุกกระเบียดนิ้ว ทุกอิริยาบถ เป็นความสุข เป็นความพอใจ ทำไมจึงพอใจ ก็พูดกันแล้วว่า นี้เป็นการกระทำที่ถูกต้อง คือ เป็นการปฏิบัติธรรมะ เพื่อความเป็นมนุษย์อันสมบูรณ์ เราไม่ต้องเลือกอะไรเป็นอะไร เลือกแต่ว่าอะไรเป็นหน้าที่นี้ที่ควรกระทำ เช่น เราจะมีอาหารกิน เราก็ต้องหาอาหาร การหาอาหารเป็นการปฏิบัติธรรม หาให้ดี หาด้วยความรู้สึกว่าเป็นการปฏิบัติธรรม ชาวนาคนหนึ่ง เขาพูดว่า ทำนาเพื่อจะได้เอาข้าวไปบาตรกับฤดูหนึ่ง นี่ได้ยินมากับหู เคยพูดสนทนากับลุงคนนั้น แต่คนทั่วไปทำนาว่าขายข้าวได้เงินไปกินเหล้ากันให้สนุกเลย ชาวนาคนหนึ่งทำนาเพื่อจะมีข้าวใส่บาตร ชาวนาคนหนึ่งทำนาจะได้เงินค่าข้าวแล้วไปกินเหล้ากันให้สนุกเลย นี่คิดดูว่าใครจะมีความสุข
ในการหาอาหารที่ทำนา เพื่อกินอาหาร ก็ต้องกินด้วยจิตใจที่ว่า กินอาหารนี้เพื่อมีชีวิตอยู่ได้เพื่อทำหน้าที่ของมนุษย์ คนนี้ก็กินอาหารดี เหมือนพระฉัน ฉันอาหารด้วยสติสัมปชัญญะ ส่วนคนที่ไม่ได้คิดอย่างนี้ มันถือเอาเวลาที่กินอาหารเป็นเวลาที่เอร็ดอร่อยที่สุด หามาให้แปลก ให้ประหลาด เอาเหล้าเอาสิ่งมัวเมามาประกอบให้กินอาหารให้อร่อยที่สุด อย่างนี้เรียกว่า กินเหมือนผี คนหนึ่งกินอาหารอย่างพระ คนหนึ่งกินอาหารอย่างผี คนไหนเล่าจะได้รับความสุข หรือมีธรรมะอยู่ในการกินอาหาร นี่ว่าแม้แต่การหาอาหาร การกินอาหาร ก็ต้องให้เป็นการทำหน้าที่ของมนุษย์ เรียกว่าปฏิบัติธรรม และก็พอใจเป็นสุข แม้แต้จะถ่ายอุจจาระ ก็ต้องรู้ว่าเป็นหน้าที่ที่มนุษย์จะต้องทำให้ถูกต้องเพื่อความรอดแห่งชีวิต แม้แต่ถ่ายอุจจาระก็ยินดีที่จะทำให้ดีที่สุด ก็เป็นการปฏิบัติธรรมอย่างหนึ่งด้วยเหมือนกัน คนบางคนทำอย่างเลวที่สุดจนเป็นโรคริดสีดวง แต่ถ้าเป็นผู้ปฏิบัติธรรมะจะทำอย่างนั้นไม่ได้ เพราะเขารู้ว่ามันเป็นหน้าที่ที่มนุษย์ต้องทำให้ดีที่สุด ให้ถูกต้องที่สุด แม้แต่การถ่ายอุจจาระ พระพุทธเจ้าท่านทรงบัญญัติไว้ว่า ถ่ายอุจจาระห้ามเบ่งแรง ภิกษุถ่ายอุจจาระเบ่งแรงเป็นอาบัติทุกคน แม้แต่ถ่ายอุจจาระก็ยังมีธรรมะที่จะต้องประพฤติปฏิบัติให้ถูกต้องที่ถูกต้องที่สุดตามหน้าที่ของมนุษย์
หน้าที่ 2 – งานใดทำแล้วมีชีวิตอยู่ได้ก็พอใจ
ทุกอย่างที่จะต้องทำ มีความรู้สึกว่าปฏิบัติธรรม เช่น อาบน้ำ ก็จะมีสุขพอใจว่า เป็นการปฏิบัติธรรมตามกฎของธรรมชาติเพื่อมนุษย์อยู่รอดได้ ก็พอใจในการอาบน้ำ อาบด้วยจิตปรกติ ก็ได้รับความเย็นของน้ำ จะเป็นสุขเมื่ออาบน้ำ คนกิเลสหนามันอยากจะไปเที่ยวไปสำเริงสำราญ มันไม่ได้ตั้งใจจะอาบน้ำดีที่สุดหรอก มันก็มีความยุ่งยากเป็นทุกข์ในการอาบน้ำมากกว่าจะเป็นสุขในการอาบน้ำ แม้แต่ถูขี้ไคล ก็ทำด้วยความรู้สึกว่า เป็นหน้าที่ของมนุษย์เพราะทำดี มีความสุข เมื่อถูขี้ไคล รู้สึกว่าเป็นปฏิบัติธรรมะอันหนึ่ง ก็คงจะพอใจ ทำด้วยความพอใจ และก็เป็นสุขเมื่อถูขี้ไคล ไม่เหมือนคนมีกิเลสท่วมสูงหัว มันไม่อยากทำ มันอยากจะทำเร็วๆ ทำลวกๆ หรือบางทีต้องไปจ้างเขาทำด้วยซ้ำไป มันหาความสุขไม่ได้ในการกระทำ ทีนี้อยากจะพูดว่า ถ้าเปลี่ยนเป็นถูพื้น ก็มีความพอใจในการถูพื้น เพราะเป็นอุปกรณ์แห่งการมีชีวิตที่อยู่อย่างเป็นสุข เมื่อถูพื้นก็รู้สึกว่าปฏิบัติธรรม เลยเป็นสุขเมื่อถูพื้น เมื่อล้างจาน เมื่อช่วยกันล้างจาน ก็เป็นสุข เพราะเป็นการปฏิบัติธรรม เพราะว่าเราต้องมีจานชามที่สะอาด สำหรับเป็นอยู่อย่างมีสุขภาพ มีอนามัย งั้นการล้างจานก็เป็นที่พอใจ เป็นการปฏิบัติธรรมะอย่างหนึ่ง และมีความสุขอยู่ที่การล้างจาน ถ้าต้องล้างส้วม ล้างท่อส้วม หัวส้วม ก็พอใจ เพราะว่ามันเป็นการกระทำ เพื่อให้เกิดสุขภาพอนามัยแห่งชีวิต เป็นการปฏิบัติธรรมด้วยเหมือนกัน ก็เลยมีความสุขเมื่อล้างส้วม
นี้ว่าส่วนตัว บุคคลแต่ละอย่างๆก็ทำอย่างมีความสุขความพอใจ ทีนี้ก็เลยไปถึงอาชีพ ทุกคนมีอาชีพไม่เหมือนกัน ธรรมชาติสร้างมาไม่เหมือนกันโดยร่างกาย โดยจิตใจ โดยมันสมอง โดยอะไรต่างๆไม่เหมือนกัน ดังนั้นเราไม่อาจมีงานทำเหมือนกัน ต้องทำงานต่างๆกัน ขอแต่ว่างานใดทำแล้วมีชีวิตอยู่ได้ก็พอใจ ดังนั้น จะแจวเรือจ้างก็พอใจ จะถีบสามล้อก็พอใจ จะกวาดถนนก็พอใจ จะล้างท่อถนนก็พอใจ คนที่เขาสามารถก็ไปเป็นนายกรัฐมนตรี ไปเป็นประธานาธิบดี ไปเป็นอะไรตามแบบของเขา เขาก็พอใจ แต่ด้วยดีที่ทุกคนทำงานด้วยกันทั้งนั้น ขอให้ทำงานเต็มความสามารถที่ธรรมชาติกำหนดมาให้ หรือตามโอกาสที่จะมีได้ อย่าไปเลือกงาน อย่าไปเสียใจว่าได้งานต่ำเตี้ย ต่ำต้อย มันเป็นงานทั้งนั้น ถ้าเป็นงานก็เป็นการปฏิบัติธรรมทั้งนั้น ดังนั้นใจเรามีความสุขเมื่อแจวเรือจ้าง ถีบสามล้อ กวาดถนน ล้างท่อถนน หรือว่าเมื่อทำนา เมื่อทำสวน หรือค้าขาย หรืออาชีพอะไรก็ตาม มีความสุขอยู่ที่ที่ทำงาน ถือจอบอยู่ก็มีความสุข ถือชอล์กยืนอยู่หน้ากระดานดำ เป็นครูก็มีความสุข ไม่ต้องโกงเวลาราชการไปเที่ยวหาความสุขบนท้องถนนจนเงินเดือนไม่พอใช้ เพราะคิดว่าได้เงินเดือนมาไปหาความสุข แล้วก็ได้ความสุขหลอกลวงมาเซ่นกิเลส มาเซ่นผี เป็นความสุขของผี ไม่ใช่ความสุขของผู้ทำงานหาเงินเดือน ส่วนผู้ที่ประพฤติธรรมในการทำงาน มีความสุขเสียแล้วในการทำงาน แม้เงินเดือนไม่ออกก็ไม่เป็นไร เพราะมีความสุขแท้จริงเสียแล้วเมื่อทำงาน คนโง่ต้องเอาเงินเดือนไปซื้อของหลอกลวง เซ่นกิเลส เซ่นผี คือ เซ่นกิเลสของตน แล้วรู้สึกว่าเป็นสุขทั้งที่มันเป็นความรู้สึกหลอกๆ เป็นความโง่ เป็นของอวิชชา ดังนั้นทำงานอย่างบริสุทธิ์ จะมีความสุขอย่างบริสุทธิ์ มีความสุขอยู่เมื่อทำงานนั้นเอง ทุกกระเบียดนิ้วมีความสุข เป็นความสุขที่ไม่ต้องจ่ายเงิน ยิ่งจ่ายเงินก็ยิ่งไม่ใช่ความสุข ไปคิดดูเถิด จะมองเห็นได้ โดยไม่ยาก เมื่อการทำงานเป็นความสุข ทุกคนอาจจะมีความสุขได้เสมอกัน เป็นประธานาธิบดี เป็นคนล้างท่อถนนมีความสุขได้เสมอกัน อิ่มอกอิ่มใจเมื่อทำหน้าที่สุดความสามารถของตน คนงานทำงานสุดความสามารถของตน แล้วก็เป็นสุขสุดความสามารถของตน คนเป็นประธานาธิบดี หรือเป็นเทวดาในสวรรค์ ทำงานหมดกำลังของตน ก็เป็นสุขได้ทั้งนั้น ถ้าเป็นสุขทางกามารมณ์ก็เป็นสุขหลอกลวงทั้งนั้น เป็นความสุขของผี เซ่นผี คือเซ่นกิเลส และยืมมาเป็นความสุขของตน เป็นเรื่องหลอกลวง หรือที่จะหลอกลวง ขอให้เรามองดูให้ดีๆ อยู่ในโลกนี้ก็มีความสุขทุกกระเบียดนิ้ว นับตั้งแต่ล้างส้วม ล้างท่อส้วมก็เป็นสุข จะกิน จะอาบ จะถ่าย จะทำอะไรก็เป็นสุข ในชีวิตประจำวัน ตลอดเวลาในบ้านในเรือน ทำไร่ทำนา ทำกิจอันเป็นหน้าที่ที่ออฟฟิส ที่ไหนก็ตามก็มีความสุขอยู่ตลอดเวลาที่ทำงาน ในโลกนี้มีความสุข เหนือโลกนี้ขึ้นไป ก็รู้ว่า ที่ผ่านมามันเป็นอย่างนั้นๆ รู้ว่าความสุข คือ อย่างนั้น เราไม่มีอะไรมากกว่านั้น เพราะว่าธรรมชาติมันกำหนดไว้อย่างนั้น ทุกอย่างมันเป็นอย่างนั้นเอง ก็เลยไม่หลงยึดถือ หมายมั่นในความสุข ไม่เกิดอุปาทานในเรื่องตัวกู ในเรื่องของกู เพราะมันเป็นอย่างนั้น ถ้าจิตเห็นความเป็นเช่นนั้นเองจนไม่ยึดมั่นแล้วก็ไม่เกิดกิเลสอะไรขึ้นมาได้ ไม่เกิดโลภะ โทสะ โมหะ ก็เป็นจิตใจที่มีความสุขชั้นเหนือโลก คือ เป็นจิตใจเย็นเป็นนิพพานอยู่ เพราะไม่เป็นกิเลสซึ่งเป็นของร้อน จะต้องผ่านการงานทุกชนิดขึ้นไป จะได้รับความสุขระดับโลกเสียก่อน จึงจะได้รู้ว่าความสุขเป็นเช่นนั้นเอง มันเป็นเช่นนั้นเอง แม้กามารมณ์ก็เป็นเช่นนั้นเอง รส เป็นกามารมณ์ชั้นสูงสุดก็เป็นเช่นนั้นเอง ยิ่งอร่อยมากก็ยิ่งหลอกลวงมาก ไม่ปกติ ไม่สงบเย็น หรือมันเป็นเช่นนั้นเอง ก็ไม่หลงใหล ไม่กงจักรเป็นดอกบัว ไม่เห็นสิ่งที่ทรมานใจเพราะความหลงใหลนั้นเป็นความสุข นี่เรียกว่าเห็นกงจักร เป็นดอกบัว ไม่เห็นสังขารเป็นนิพพาน สังขารคือการปรุงแต่งๆๆ ตามอำนาจของกิเลส หรือเรียกว่าสังขาร สังขารเป็นความทุกข์ นิพพานคือหยุดปรุงแต่ง ไม่มีกิเลสปรุงแต่ง ก็เย็น นี้เป็นนิพพาน อย่าเห็นสังขารเป็นนิพพาน เมื่อได้ผ่านมามากพอแล้ว เห็นผลของสังขารมากพอแล้ว ก็ไม่หลงนิพพาน แล้วก็ไม่หลงสังขารว่าเป็นนิพพาน ก็เลยอยู่อย่างสงบสุข สนุกกันใหญ่เมื่อทำงาน เพราะทำงานเป็นการปฏิบัติธรรม สนุกกันใหญ่ เมื่อทำงาน เพราะทำงานได้มาก สนุกเมื่อทำ เป็นสุขเมื่อทำ ก็เป็นสุข สนุกเมื่อกิน กินแต่พอดี สนุกกันใหญ่ เมื่อเหลือก็ไปช่วยผู้อื่น ก็สนุกกันใหญ่ๆ เมื่อช่วยผู้อื่น ถ้าปฏิบัติธรรมะแล้วมันจะเป็นอย่างนี้ เป็นสุขกันใหญ่ เมื่อทำด้วยความพอใจว่าประพฤติธรรม และเป็นสุขกันใหญ่เมื่อกินแต่พอดี และเป็นสุขกันใหญ่เมื่อเอาส่วนเหลือไปช่วยผู้อื่น ขอให้ทุกคนปฏิญญาตนว่า ข้าพเจ้าขอสัญญากับตัวเองว่า นับแต่วันนี้เป็นต้นไป ข้าพเจ้าจะไม่เกียจคร้านในการทำหน้าที่ของมนุษย์ ตามที่ข้าพเจ้าทราบแล้ว คือทำงานสนุกได้ผลมาก กินแต่พอดี เหลือไปช่วยผู้อื่น ไม่นำไปเซ่นผี หรือกิเลสของตน ข้าพเจ้ารู้แล้วว่าความสุขมีอยู่ในการทำหน้าที่ของมนุษย์ ทำต่อตัวข้าพเจ้าเอง และทำต่อเพื่อนมนุษย์ พร้อมไปในคราวเดียวก็ได้ ข้าพเจ้ามีกำลัง ข้าพเจ้ามีอำนาจ ข้าพเจ้ามีความพอใจ ที่จะทำเช่นนั้นเสมอ ทั้งหมดนี้เรียกว่า การทำงาน คือ การประพฤติธรรม ขอให้ท่านผู้ฟังทั้งหลายสนใจ ลองไปพิจารณาดู เห็นด้วยแล้วก็ทำเต็มที่ แล้วก็ขอให้มีความสุขอยู่ทุกทิพาราตรีกาลเทอญ
http://www.vcharkarn.com/varticle/17893