การบูรณะวัดพระธาตุจอมกิจจิ* อ.สันทราย จ.เชียงใหม่
*วัดพระธาตุจอมกิจจิ จ.เชียงใหม่ – ปัจจุบันเรียกว่า วัดพระธาตุจอมกิตติ พ้องกับที่ อ.เชียงแสน จ.เชียงราย
หลวงปู่ครูบาเจ้าชุ่ม มีวัย 77 ปี แล้ว ในตอนที่มานั่งหนักเป็นประธาน บูรณะวัดพระธาตุจอมกิจจิ ในปี พ.ศ. 2518 แม้ท่านจะชราภาพแล้ว แต่ดูเหมือนจะมีเหตุให้ต้องมาทำภารกิจนี้ในที่สุด อาจจะเนื่องเพราะวาจาสิทธิ์ของครูบาเจ้าศรีวิชัย ผู้เป็นพระอาจารย์ของท่าน ซึ่งกล่าวกับผู้ใหญ่บ้านในท้องที่ ตอนเขาเหล่านั้นมาอาราธนาท่านให้บูรณะวัดพระธาตุจอมกิจจิ สถานที่ศักดิ์สิทธิ์แห่งนี้
“สถานที่นี้ต้องรอเจ้าของเขามาสร้าง ซึ่งจะเป็นศิษย์ของเราเอง โดยจะเริ่มสร้างในปี พ.ศ. 2518”
และในปี พ.ศ. 2518 นี้เอง ที่หลวงปู่ครูบาเจ้าชุ่มได้พบกันด้วย “กายเนื้อ” กับหลวงพ่อพระราชพรหมยาน (หลวงพ่อฤๅษีลิงดำ) วัดท่าซุง เป็นครั้งแรก
หลวงพ่อพระราชพรหมยานท่่านเป็นพระอริยะเจ้าผู้มีชื่อเสียงเกียรติคุณขจรไกล มีศิษยานุศิษย์มากมายทั่วประเทศ ในราวปี พ.ศ. 2518 ท่านพาคณะศิษย์เดินทางมากราบพระอริยเจ้า “สายเหนือ” ที่ท่านเรียกว่า “พระสุปฏิปันโน” หลายรูป รวมทั้งหลวงปู่ครูบาเจ้าชุ่ม โพธิโก ด้วย มูลเหตุดังนี้จึงทำให้คนเมืองหลวง และภาคอื่น ๆ ได้รู้จักพระ “อริยเจ้า” อีกหลายรูป ซึ่งหลบเร้นอยู่ในดินแดนแห่งป่าเขาทางภาคเหนือ ดินแดนศักดิ์สิทธิ์ที่มีประวัติศาสตร์มาอย่างยาวนาน
แล้วก็ด้วยเหตุนี้เช่นกัน ทำให้หนังสือของวัดท่าซุงหลายเล่ม มีเนื้อหากล่าวถึงหลวงปู่ครูบาเจ้าชุ่มอยู่ไม่น้อย เช่น หนังสือ “ตามรอบพระบาท” ของ พระอาจารย์ชัยวัฒน์ อชิโต วัดท่าซุง
“ตามรอยพระบาท” มุ่งนำเสนอเรื่องราวประวัติศาสตร์-ตำนานอันทรงคุณค่า เนื่องแต่การเดินทางเผยแผ่ธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า บางสถานที่ ยังเป็นการตามรอยพระบาทของครูบาอาจารย์ที่ยิ่งใหญ่ อย่างครูบาเจ้าศรีวิชัยด้วย เพราะสถานที่นั้น ๆ ครูบาอาจารย์ให้ไปสักการะ บูรณะ พัฒนาไว้ก่อนแล้ว นับเป็นการตามรอยพระบาทสมดังชื่อหนังสืออย่างแท้จริง
นอกจากนี้ ตอนหนึ่งในหนังสือ ยังได้ตีพิมพ์บทสนทนาระหว่าง หลวงพ่อพระราชพรหมยาน และหลวงปู่ครูบาเจ้าชุ่ม โพธิโก เมื่อครั้งที่ท่านทั้งสอง พบกันที่วัดพระธาตุจอมกิจจิ เมื่อปี พ.ศ. 2518 จึงขออนุญาตพระคุณเจ้าคัดลอกมาบางส่วนมานำเสนอ เพื่อเจริญศรัทธาของสาธุชนรุ่นหลัง ให้ได้ทราบถึงปฏิปทาของพระอริยเจ้าทั้งสอง เสมือนดังได้ไปกราบใกล้ชิด ฟังเรื่องราวต่างๆ ด้วยตนเอง
“บัดนี้ นับเป็นโอกาสอันดี ที่จะเผยแพร่เทปบันทึกการสนทนาระหว่าง “หลวงพ่อฤๅษีฯ” กับ “หลวงปู่ชุ่ม” โดยมี “หลวงปู่บุญทืม” นั่งอยู่ด้วย ซึ่งคำสนทนาเหล่านี้ยังไม่เคยลงหนังสือเล่มใดมาก่อน
ณ วัดพระธาตุจอมกิจจิ เมื่อวันที่ 24 มีนาคม พ.ศ. 2518
คำสนทนาระหว่าง หลวงพ่อฤๅษีฯ กับหลวงปู่ชุ่ม
หลวงพ่อฤๅษีฯ – หลวงปู่เล่าประวัติให้ฟังซิครับ
หลวงปู่ชุ่ม – วันนี้อาตมาขอเจริญพรท่านพระเดชพระคุณเจ้า และทายกทายิกาทั้งหลายทุกท่าน มีท่านพระเดชพระคุณเจ้าเป็นหัวหน้า ที่ได้ออกเดินจะมา อ้า…ตามกันมาทำบุญทำทาน และปรารถนาบุญโชคลาภอันนี้ ก็ได้เข้ามาที่ดอยกิจจินี้ อาตมามีความปลื้มอกปลื้มใจปราโมทย์ด้วยเหตุหลายอย่างหลายประการ พระบรมธาตุในสถานที่นี้อาจจะสำเร็จด้วยคราวนี้ พระเดชพระคุณเจ้านำพวกญาติโยมทั้งหลายเข้ามาในสถานที่นี้ แต่ว่าดอยกิจจิเป็นมาอย่างไร อาตมาก็ยังไม่รู้ซึ้ง อาตมาก็อยู่ในจังหวัดลำพูน คือที่นี่เป็นอำเภอสันทราย จังหวัดลำพูนก็ซ้อนกับเชียงใหม่ ก็ขึ้นมาประจำอยู่ที่นี่ในราวสักเดือนกว่า ๆ แล้ว ก็มาได้สร้างพระบรมธาตุ สร้างศาลา และได้สร้างพระนอนอันนี้
พระบรมธาตุนี้ ปางเมื่อพระพุทธองค์เราเสด็จมาถึงที่นี่ ครั้งที่หนึ่งจะมาวางประทับเหยียบย่ำที่นี่ก็ไม่มีอันใดจักเกิดขึ้น พระพุทธเจ้าก็กลับไปโปรดเบื้องหน้าทิศหนึ่ง ครั้นมาครั้งที่สอง ก็เข้ามาในสถานที่นี้ มาลูบหัว ก็ไม่ได้เกศาอะไร พระพุทธเจ้าก็เลยลอยขึ้นด้วยอิทธิฤทธิ์ แล้วก็เปล่งรัศมีออกไปสี่ทิศ มีพระพุทธรูปสี่องค์ องค์ที่หนึ่งที่สองเอาหลังเข้านาบด้วยกัน แล้วเบนหน้าไปสองทิศ คือทิศตะวันตก และทิศตะวันออก องค์ที่สอง ก็เบนหน้าขึ้นเหนือล่องใต้ มีพระอินทร์มารับเอาที่พระเนรมิตนั้นแหละ ฝังลงในพระบรมธาตุเจ้า ลึกอยู่สิบสองศอก เป็นที่สักการบูชาแก่คนและเทวดา ในฐานะที่พระบรมธาตุเจ้านี้เป็นที่พระเนรมิตด้วย อีกอย่างหนึ่ง อาตมาก็จะสร้างพระไสยาสน์ คือพระนอน ก็ยาวสิบสองศอกเท่าพระเนรมิตด้วย อาตมาก็สืบประวัติมาถึงแค่นี้แหละ แล้วก็มีพระอยู่ 3 รูป รูปที่ 1 ก็มาสร้างพระบรมธาตุนี้ ก็เสร็จไป แล้วก็โทรมลงไปอีก ถึงครั้งที่ 2 ที่พระมาสร้างพระบรมธาตุนี้ ก็กลับมาโทรมไป พอถึงครั้งที่ 3 ก็จะมาเป็นใครก็ไม่รู้ละ ก็จะขออาราธนาพระเดชพระคุณเจ้ามาเป็นหลักฐานอยู่ที่นี่
หลวงพ่อฤๅษีฯ – ไม่ได้น่ะ เอาคนมาเป็นหลัก มันเป็นไปได้เหรอ
หลวงปู่ชุ่ม – ครับ
หลวงพ่อฤๅษีฯ – ก็มีอยู่แล้ว หลวงปู่ชุ่มนั่นแหละนะ หลวงปู่ก็เป็นหลักอยู่แล้วไม่เป็นไรครับ
หลวงปู่ชุ่ม – ที่พระบรมธาตุเจ้านี่ อาตมาก็ได้เข้ามาอยู่ในสถานที่นี้ มาพัฒนาอยู่ที่นี้ก็ยังไม่นานสักเท่าไร ก็ได้เดือนกว่า ๆ พระบรมธาตุเจ้าก็เสร็จไป และศาลาหลังหนึ่งก็เสร็จไปแล้ว ก็ยังอยู่พระไสยาสน์นั่นแหละ ยังไม่ลงมือทำ ก็จะทำกันวันนี้ จึงนับว่าเป็นปรารถนานาบุญโชค โชคดี พระเดชพระคุณเจ้าได้นำพวกญาติโยม ทายก ทายิกา เข้ามาในจอมกิจจินี้ ก็นับว่ากระผมก็มีความปลื้มอกปลื้มใจในคราวนี้ ขออนุโมทนาสาธุการทุกสิ่งทุกประการด้วย
ฆราวาส – เป็นแสงพุ่ง
หลวงพ่อฤๅษีฯ – เป็นแสงสว่างขึ้นเหรอ
ฆราวาส – ครับ
หลวงพ่อฤๅษีฯ – เอ… ปรากฏเป็นขึ้นเฉยๆ หรือว่าจะเป็นดวงดาวลอยมีมั่งมั้ย
ฆราวาส – ก็…มันเป็นแสงพุ่งขึ้นไปนะครับ
หลวงพ่อฤๅษีฯ – เออ…งั้นก็ใช้ได้ เคยเห็นเหมือนกัน ที่เป็นแสงพุ่งนี่ก็เคยเห็นที่จังหวัดประจวบฯ ที่เกาะยายฉิม คืนนั้นไปนอนอยู่กลางดึก ฉันตื่นขึ้นมาเห็นแสงสว่างพุ่งขึ้นมา สว่างจัดนะ เออ…ก็ดี ถือว่าเป็นสัญลักษณ์ ก็เป็นนิมิตน่ะ ในนั้นต้องมีพระบรมสารีริกธาตุ หรือว่าจอมเกศาแน่
หลวงปู่ชุ่ม – ใช่ครับ
หลวงพ่อฤๅษีฯ – ดอยนี่ก็สูง หลวงปู่ทำทางขึ้นมาเองเรอะ
หลวงปู่ชุ่ม – ทำทางมาเอง กับพวกญาติโยมเขา…
หลวงพ่อฤๅษีฯ – ครับๆ หลวงปู่ดีแล้วไปได้ไม้ เท้าครูบานะ (ไม้เท้าของครูบาศรีวิชัย) เอ๊ะ.. หลวงปู่ทึมได้อะไรที่ครูบาไว้ครับ..เห็นโลงตั้งข้างนี่
หลวงปู่บุญทึม – ไม่มีอะไร
หลวงพ่อฤๅษีฯ – ไม่มีอะไร..เห็นโลงหีบตั้งข้าง ตั้งอยู่นี่..โลงฝากใคร หรือว่าโลงฝากหลวงปู่ เอาแบบครูบาไว้ได้ บ้านหลังสุดท้ายไว้หลวงปู่ทึม
หลวงปู่บุญทึม – ได้บ้านหลังสุดท้าย
หลวงพ่อฤๅษีฯ – เหมือนบ้านหลังสุดท้ายนั่นนะ หลวงปู่นี่ได้ไม้เท้า
หลวงปู่ชุ่ม – ได้ไม้เท้า
หลวงพ่อฤๅษีฯ – เลยต้องเท้าเรื่อยไปเลย
หลวงปู่ชุ่ม – ครับ
ลูกศิษย์ – ตอนนี้รวมทั้งสิ้นเป็นเงิน 11,404 บาทครับ
หลวงพ่อฤๅษีฯ – ความจริงนี่ พวกเราไม่ใช่พวกจนๆ นะ..พวกรวย ถ้ากลับไปนี่รวยกันใหญ่นะ ขอให้ทุกคนจงรวยกัน เพราะว่าไปวัดไหนก็ทำบุญกันทุกวัด การทำทานแก่พระอริยเจ้าอย่างหนึ่ง แล้วก็ทำทานเพื่อพุทธบูชา ธรรมบูชา สังฆบูชา
นี่เราบูชาพระพุทธเจ้าโดยตรงกัน เพราะว่าเป็นสถานที่พระพุทธเจ้าเคยเสด็จประทับ ฉะนั้น อานิสงส์ที่จะมีมากเป็นของธรรมดา นี่กลับไปนี่ก็หากว่าใครอยากถูกหวยก็ขอให้ถูกนะ ใครอยากได้ขึ้นเงินเดือนก็ขอให้ได้ขึ้น ใครอยากค้าขายให้ร่ำรวย ก็ขอให้ร่ำรวยสมความปรารถนา แต่ใครได้มากเท่าไรก็ไม่ว่า แบ่งพระครึ่งหนึ่งดีไหมครับ?
หลวงปู่ชุ่ม – ครับ
หลวงพ่อฤๅษีฯ – อันนี้เป็นอานิสงส์จริงๆ นี่เราทำกันนี่ไม่มีอะไรเป็นสัญลักษณ์ ไม่มีอะไรเป็นเครื่องแลกเปลี่ยน ไม่ใช่ว่าทำบุญหวังโน่นหวังนี่ เราทำกันมาก็เพราะว่าท่านบอกว่า ที่นี่ท่านจะสร้างเป็นวิหารทาน เราก็ทราบอยู่แล้วว่า วิหารทานนี่มีอานิสงส์สูงสุดในด้าน อามิสทาน ทั้งปวง แล้วก็สำหรับผู้รับทานก็เป็นพระบริสุทธิ์ หากว่าท่านไม่บริสุทธิ์ ท่านก็ตกนรกไปเองนะ พวกเราไม่ต้องห่วง จะตายมั๊ยล่ะหลวงปู่น่ะ?
หลวงปู่ชุ่ม – ไม่ตายน่ะ
หลวงพ่อฤๅษีฯ – ไม่ตาย..อ้าว..แล้วไม่ตาย..นี่แสดงว่าบริสุทธิ์นะ
หลวงปู่ชุ่ม – ทุก..ทุกๆ วันนี่กระผมก็หนีไปจากนรก
หลวงพ่อฤๅษีฯ – หา…!
หลวงปู่ชุ่ม – อยากใคร่ไปพระนิพพาน
หลวงพ่อฤๅษีฯ – หา…! (หลวงพ่อแกล้งงง)
หลวงปู่ชุ่ม – หนี..หนีไปจากนรก อยากใคร่ พระนิพพานด้วย
หลวงพ่อฤๅษีฯ – อ๋อ..อย่างนั้นเหรอ!
หลวงปู่ชุ่ม – ครับ
หลวงพ่อฤๅษีฯ – ระหว่างนี้หนีนรก….อยากไป…นิพพาน
หลวงปู่ชุ่ม – นิพพาน
หลวงพ่อฤๅษีฯ – ไปยัง..ไปยังครับ?
หลวงปู่ชุ่ม – หา…! (หลวงปู่แกล้งงงบ้าง)
หลวงพ่อฤๅษีฯ – จะไปหรือยังล่ะ?
หลวงปู่ชุ่ม – อ้อ..ยังอยู่รอญาติโยมทั้งหลายมามากก่อน
หลวงพ่อฤๅษีฯ – นี่ก็จะไปนะนี่ อ้อ…
หลวงปู่ชุ่ม – จะเอาพวกญาติโยมไปด้วยกัน เป็นหมู่เป็นฝูงด้วย
หลวงพ่อฤๅษีฯ – ครับ ๆ อ๋อ…
ลูกศิษย์ – สาธุ…!
หลวงพ่อฤๅษีฯ – ได้ไปแน่นะ?
หลวงปู่ชุ่ม – ครับ
หลวงพ่อฤๅษีฯ – นี่ก็ต้องเป็นเรื่องธรรมดา
หลวงปู่ชุ่ม – ใช่
หลวงพ่อฤๅษีฯ – พระพุทธเจ้าตรัสว่า การคบคนเช่นใด ย่อมเป็นเหมือนคนเช่นนั้น ถ้าเราคบพระอริยเจ้า เราก็จะได้เป็นพระอริยเจ้าด้วย ถ้าเราคบสัตว์นรก เราก็ได้เป็นสัตว์นรกด้วย แต่นี้หลวงปู่ท่านบอกว่า ท่านหนีจากนรกจะไปนิพพาน เมื่อท่านไปได้ พวกเราไปไม่ทันก็ช่วยกันดึงสบงไว้ ทำไมล่ะ..ดึงจีวรไม่แน่น่ะ พอ มีสบงไปได้นะ ถ้าพวกเราไปดึงสบงเข้าไว้ก่อน ไม่กล้าไปล่ะ นางฟ้าตามชั้นอยู่กราว ก็เขาผ่านน่ะ ผ่านสวรรค์นะ
หลวงปู่ชุ่ม – ครับ
หลวงพ่อฤๅษีฯ – เอ้อ..ถ้าฉะนั้น..เป็นอันว่าการบำเพ็ญกุศลวันนี้นะ ตอนนี้รู้สึกว่าอันนี้เรา จะพูดอานิสงส์ ต้องจัดเป็นอานิสงส์ใหญ่มาก เพราะว่าเราไม่มีเจตนาเดิมไว้ก่อน การทำบุญนี่ ถ้าเราตั้งท่าทำ..เตรียมการทำนี่..เขาบอกว่าอานิสงส์ที่จะพึงได้นั้น ก็คือได้ด้วยกิจปกติเกี่ยวกับการงาน ถ้าบุญประเภทใด ทำด้วยอาการฉับพลัน โดยไม่มีการเตรียมการไว้ก่อน ท่านบอกว่าจะเป็นบุญได้ลาภลอย อย่างพวกถูกล็อตเตอรี่ หรืออยู่ๆ ชาวบ้านเขาเอาเงินมาให้ บอกลาภให้ บอกการค้าให้ อย่างนี้ไม่คิดขึ้น นี่เป็นผล เคยสังเกตมาตั้งแต่เด็ก หลวงพ่อปาน เคยบอกมา บางทีเห็นหน้าขอท่านก็ไม่เห็น ขอทานไม่เข้ามาขอก็เรียกเข้ามารับ หนักๆ เข้าเวลาเราจะไปทางไหนมันจะอดตาย กลับได้มากกว่าที่คิดว่าจะพึงได้ ผลไม่ได้ตั้งใจ จะได้มันเอง นี่ก็เป็นอานิสงส์ นี่ก็เหมือนกัน สถานที่นี้ก็ดี ที่อื่นใดก็ดี ที่เรามาตั้งใจนมัสการ เราไม่ได้คิดว่าจะมาทำบุญกันเท่าไหร่ โดยเฉพาะสถานที่นี้ เราไม่เคยตั้งใจกันมาเลยว่าจะมา แล้วเมื่อมากันแล้ว ทุกคนก็มีศรัทธาด้วยกำลังจิตที่ศรัทธาแท้ เพราะว่าในฐานะเป็นสาวกขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า นี่แสดงว่าพวกเรานี่ เคยพบกันมาก่อน เป็นญาติมิตรกันมาก่อน และเคยร่วมบำเพ็ญบารมีกันมาในกาลก่อน..ใช่ไหมหลวงปู่?
หลวงปู่ชุ่ม – ใช่
หลวงพ่อฤๅษีฯ – ถึงได้มาพบกันเข้าแล้วก็ตั้งใจ บำเพ็ญกุศลอย่างนี้เรียกว่า “ทำบุญกุศลด้วยอาการของการฉับพลัน” ฉะนั้น อานิสงส์ที่จะพึงได้ ก็ได้ในฉับพลันเหมือนกัน เข้าใจว่าไปคราวนี้ ทุกท่านถูกหวยหมด ถ้าไม่ถูกมาบีบคอหลวงพ่อชุ่มก็แล้วกัน..!
หลวงปู่ชุ่ม – เอาเป็นประกันที่ดี
หลวงพ่อฤๅษีฯ – อ้า..ถือว่าเป็นอานิสงส์ใหญ่ นี่เป็นเรื่องจริงนะ การทำบุญฉับพลัน ให้ผลฉับพลันจริงๆ การฝืดเคืองใดๆ จะปรากฏ ให้สังเกตดูไว้ ถ้าทำบุญแบบนี้ การหา..ความเป็น อยู่จะคล่องตัวขึ้นมาทุกทีๆ แล้วหนักๆ เข้า เราไม่คิดว่าเราจะพึงได้ขนาดนี้ เราไม่คิดว่าจะเคยพบ เราก็จะได้พบ
อย่างนี้อาตมาเองประสบมากับตัวเอง คือตั้งแต่บวชพรรษาแรก เขาเรียกว่าทำบุญล่อนจ้อนทุกปี เหลือไตรชุดเดียว แล้วก็ของทุกอย่างออกพรรษาแล้วไม่ให้มันเหลือ ต่อมาในระหว่างนี้ สวดมนต์เย็นก็ไม่ไหว เทศน์ก็ไม่ไหว แต่ก็ไม่อดตาย บรรดาญาติโยมสงเคราะห์ นี่ก็เพราะอาศัยอานิสงส์ปัจจุบันที่ทำ ก็ทำบุญอาการฉับพลัน
ฉะนั้น บรรดาญาติโยมพุทธบริษัททุกท่านที่มากันในคราวนี้ หรือคราวก่อนก็ดี การกระทำทุกอย่าง อาตมารู้สึกว่าเป็นที่พอใจมาก เพราะปฏิบัติเป็นปฏิปทาเดียวกันอย่างที่อาตมาได้ทำมา ฉะนั้น ผลบุญอันใดที่อาตมาได้ทำมาแล้ว ได้รับผลในปัจจุบันคือว่าไม่อดตายนี่ฉันใด อาตมาก็หวังอย่างยิ่งว่า บรรดาญาติโยมพุทธบริษัททั้งหลาย ก็คงมีการคล่องตัวเช่นเดียวกัน
หลวงปู่ชุ่ม – วันนี้อาตมาก็มีความปลื้มอก ปลื้มใจกับพวกญาติโยม ทายกทายิกาทั้งหลาย ได้เดินสัญจรมาทำบุญในคราวนี้ เพราะพระเดชพระคุณเจ้าเป็นหัวหน้าพวกทายกทายิกา ทั้งหลายเข้ามาที่ดอยจอมกิจจิ และได้เอาจตุปัจจัยมาถวายพัฒนาทางขึ้น คราวนี้ขอคุณพระศรีไตรรัตนะทั้ง 3 ประการ ตั้งอยู่กระหม่อมจอมขวัญแห่งบรรดา ทายกทายิกา เพื่ออยู่ชุ่มเนื้อเย็นใจ คิดหาอันใดก็สมบูรณ์ทุกสิ่งทุกประการ ทำการทำงานอันใด ก็ขอหื้อสมดังคำปรารถนาทุกอย่างทุกประการเทอญ
ลูกศิษย์ – สาธุ..!
หลวงพ่อฤๅษีฯ – เวลานี้ก็ปรากฏว่าเหลืออีก 5 นาที 16.00 น. เห็นจะลาหลวงปู่กลับได้แล้วสินะ สตุ้ง..สตังค์..หลวงปู่เอาหมดแล้ว นี่ขืนอยู่.. ดีไม่ดีก็ต้องแก้กางเกงไว้ให้อีกทีละยุ่งเลย.. ที่นี่มีความสำคัญ…
หลวงปู่ชุ่ม – ใช่ครับ ตอนกระผมมาพักอยู่ นี้ ได้อยู่เดือนกับสิบหกวันครับ
หลวงพ่อฤๅษีฯ – สงสัยว่า พระมหากัจจายนะ จะมานะ
หลวงปู่ชุ่ม – อะไร?
หลวงพ่อฤๅษีฯ – สงสัยว่าพระมหากัจจายนะจะมาบ่อย
หลวงปู่ชุ่ม – ใช่
หลวงพ่อฤๅษีฯ – เมื่อกี้เห็นผ่านไป ตอนมาแล้ว พระมหากัจจายนะท่านเป็นนักเทศน์อยู่นี่
หลวงปู่ชุ่ม – ใช่
หลวงพ่อฤๅษีฯ – นะครับ..ก็เพราะเป็นพุทธภูมิเก่า ไปไหนมักจะเป็นตัวแทนพระพุทธเจ้าอยู่เสมอ เป็นแดนเก่าแน่ เพราะว่าตอนที่หลวงปู่ให้พร ผ่านมาให้เห็นหลายองค์ องค์หนึ่งรู้สึกขาวใหญ่ ใส..สวยดี สงสัยจะเป็นพระมหากัจจายนะ
หลวงปู่ชุ่ม – ครับ
หลวงพ่อฤๅษีฯ – ความจริงก็จะเริ่มเป็น ปฏิรูปเทสจริงๆ (คำว่า “ปฏิรูปเทส” คือเป็นสถานที่อันเหมาะสม) ถึงได้มองเห็นเพราะเป็นรัศมี จริงๆ คิดถึงไหว้พระพุทธเจ้าที่ไหนก็ถึง ไหว้ในส้วมก็ถึง..ถึงไหมครับ?
หลวงปู่ชุ่ม – ใช่ครับ
หลวงพ่อฤๅษีฯ – เออ..เจริญสุขๆ นะ เป็นอันว่าการเดินทางในวันนี้ ทำบุญแล้วทั้งหมดเกือบแสนบาท…
บทสนทนาจากในหนังสือ “ตามรอยพระพุทธบาท” จบลงเท่านี้
มีเรื่องน่าแปลกบางประการที่ปรากฏชัดในเวลาต่อมา คือสายสัมพันธ์ที่แน่นแฟ้นของหลวงพ่อพระราชพรหมยานกับหลวงปู่ครูบาเจ้าชุ่มนั้น ยากยิ่งจะหยั่งคำนวณได้
ตามความเป็นจริงทางโลก ท่านเพิ่งพบกันครั้งแรกในปี พ.ศ. 2518 และหลังจากนั้น ก็ติดต่อกันไปอย่างใกล้ชิดสนิทสนมยิ่ง ทั้งทางศาสนกิจต่างๆ และการบำเพ็ญสาธารประโยชน์โปรดประชาชนผู้ยากไร้ ทหารตำรวจผู้เสียสละกล้าหาญตามชายแดนไทย ดังจะได้นำเสนอเพิ่มเติมต่อไป
http://www.dharma-gateway.com/monk/monk_biography/kb-choom-photigo/kb-choom-hist-01-01.htm