สิ่งทั้งปวงเป็นอนัตตาในฐานะเป็นหัวใจของพุทธศาสนา โดย ท่านพุทธทาส ภิกขุ

สิ่งทั้งปวงเป็นอนัตตาในฐานะเป็นหัวใจของพุทธศาสนา โดย ท่านพุทธทาส ภิกขุ

หน้าที่ 1 – สิ่งทั้งปวงเป็นอนัตตาบาลี
นิสิตนักศึกษาครูบาอาจารย์ทั้งหลายการบรรยายในครั้งนี้จะได้บรรยายโดยหัวข้อว่าสิ่งทั้งปวงเป็นอนัตตาบาลีว่าธรรมทั้งปวงธรรมแปลว่าสิ่งนี้สิ่งทั้งปวงเป็นอนัตตาในฐานะที่เป็นหัวใจของพุทธศาสนาเราได้ใช้เวลาไม่มากมายอะไรแต่จะพูดถึงสิ่งที่เป็นหัวใจของพุทธศาสนาคือหลักการที่ว่าทุกสิ่งนั้นมิได้เป็นตัวตนตามธรรมชาติมิได้เป็นตัวตนเมื่อไปยึดถือเอาเป็นตัวตนมันก็เปลี่ยนรูปเป็นของหนักขึ้นมาระบบขบกัดผู้ที่ยึดถือว่าเป็นตัวตนนั่นแหละให้มีความทุกข์มีความลำบากใจความมันก็มีเท่านี้ทุกสิ่งตามธรรมชาติเป็นไปตามธรรมชาตินั้น

มิใช่ตัวตนแต่พอถ้าจิตใจของใครมันโง่ไปทำความรู้สึกเป็นตัวตนขึ้นมามันก็มีปัญหาใหญ่หลวงแหละคือมีความทุกข์แล้วเราจะพูดถึงหัวใจของพุทธศาสนาในเวลาอันไม่นานนี่แต่ท่านทั้งหลายจะต้องตั้งใจฟังให้ดีๆกำหนดข้อความให้ดีๆคือให้เข้าใจและใช้เป็นประโยชน์ได้โดยเข้าใจความหมายของคำว่าทุกสิ่งมิใช่ตัวตนจงทำให้เป็นเวลาที่สำคัญที่สุดที่จะฟังเรื่องอันสั้นๆนี้ด้วยจิตใจด้วยสติสัมปชัญญะทั้งหมดให้เข้าใจถึงที่สุดโดยทำในใจว่าหัวใจของพระพุทธศาสนาทุกสิ่งไม่ใช่ตัวตนมีเท่านั้นทุกสิ่งไม่ใช่ตัวตนถึงจะต้องปฎิบัติกับสิ่งที่ไม่ใช่ตัวตนอย่างไรอันนั้นมันก็มีเรื่องยืดยาวไปเต็มรวมอยู่ในความหมายที่ว่าต้องปฎิบัติให้ถูกต่อความหมายของสิ่งนั้นมิใช่ตัวตนมันยืนหลักว่าทุกสิ่งไม่ใช่ตัวตนเรื่อยๆไปและที่เคยบอกมาบ้างแล้วว่าพุทธศาสนาโดยแท้ก็มีอยู่พุทธศาสนาที่ปรุงใหม่แยกออกไปเป็นนิกาย นิกาย นิกายตั้งหลายนิกายที่เป็นนิกายใหญ่ๆเป็นหลักเป็นประธานก็มีตั้ง 18 นิกายอย่างนี้อย่างนี้ไม่ต้องรู้ก็ได้เพราะต้องการให้รู้แต่เพียงว่าแม้จะแยกออกไปเป็นกี่นิกาย กี่นิกายก็ตามทีแต่เรื่องที่เป็นหัวใจของคำสั่งสอนจะตรงกัน ในข้อนี้ข้อที่ว่าทุกสิ่งมิใช่ตัวตนมีคำอธิบายปีกย่อยเรื่องประกอบอะไรต่างๆมีอีกมากมายไปตามแบบแผนของนิกานของตนๆๆตางกันเป็นธรรมดาแต่หัวใจของคำสั่งสอนที่จะดับทุกข์ได้มันตรงเป็นประโยคเดียวกันหมดว่าธรรมทั้งปวงเป็นอนัตตามิใช่ตัวตนถ้าเข้าใจสิ่งนี้ ปฎิบัติสิ่งนี้ ได้รับผลจากสิ่งนี้ก็เป็นอันว่าจบเรื่องการได้ฟังอย่างนี้ที่ได้ฟังทั้งหมดในพุทธศาสนาการได้ปฎิบัติอย่างนี้จะปฎิบัติทั้งหมดในพุทธศาสนาคือปฎิบัติอย่างที่รู้ว่าไม่มีตัวตนปฎิบัติต่อสิ่งทั้งปวงอย่างที่ไม่มีตัวตนเป็นการปฎิบัติทั้งหมดในพุทธศาสนาถ้าได้รับผลจากการปฎิบัตินี้ก็เป็นการได้รับผลทั้งหมดทั้งสิ้นในพุทธศาสนาหรือมรรคผลนิพพานทั้งหมดทั้งสิ้นในพุทธศาสนา ฉะนั้นขอให้ตั้งใจฟังให้ดีแม้ว่าจะอยู่ในชั้นเยาวัยอายุยังน้อยได้ยินมาน้อยได้ศึกษามาน้อยก็ไม่เป็นไรขอแต่ให้สนใจฟังให้ดีในข้อนี้ให้เข้าใจได้คำว่าตัวตน ตัวตนนั้นเป็นสิ่งที่มิได้มีอยู่จริงตัวตนเป็นสิ่งที่มิได้มีอยู่จริงแต่จิตมันปรุงความคิดว่าตัวตนได้มาเป็นเพราะจิตจิตมันก็รู้สึกอย่างนั้นมันก็เลยมีตัวตนขึ้นมาสำหรับจิตนั้นเนี่ยตัวตนเป็นสิ่งที่ไม่ได้มีอยู่จริงโดยธรรมชาติ แต่กลายเป็นมีอยู่จริงเพราะจิตมันคิดว่าอย่างนั้นทุกอย่างมันสำเร็จด้วยจิตจะต้องรู้ข้อนี้รู้ข้อที่ว่าจิตมีอยู่เป็นตัวเรื่องเป็นตัวของเรื่องแต่จิตนั้นก็มิใช่ตัวตนจิตอาจจะคิดว่าตัวตนก็ได้มิใช่ตัวตนก็ได้แล้วแต่ไอ้สิ่งที่มาแวดล้อมให้จิตคิดคิดตามธรรมชาติของจิตนี่ถ้ามันมีความรู้สึกประเภทหนึ่งคือความยินดียินร้ายเข้ามาแล้วมันก็จะปรุงความคิดต่อไปว่ามีตัวตนคือผู้ยินดียินร้ายเกิดเป็นตัวตนขึ้นมาในการบรรยายครั้งที่แล้วเรื่องรอยของพระธรรมก็ได้บอกแล้วว่าหัวใจการปฎิบัติทั้งหมดคือการมีสติสัมปชัญญะนำวิชาและโทรมนัดในเรื่องทางโลกออกเสียได้ถ้าท่านยังจำประโยคนี้ได้ดีเข้าใจประโยคนี้ได้ดีก็จะเข้าใจเรื่องต่อไปนี้ได้โดยง่ายในครั้งที่แล้วมาได้เน้นแล้วเน้นอีกเน้นแล้วเน้นเล่า หลักปฎิบัติมีอยู่ว่ามีสติสัมปชัญญะนำอวิชชาและโทรมนัดในโลกออกเสียได้ขอย้ำใจความอีกครั้งหนึ่งว่าเรามี ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจข้างนอกมันก็มีรูปเสียงบตตะภะธรรมรมณ์ 6เหมือนกันข้างใน 6 ข้างนอก 6เป็คู่ปรับกันพอมันถึงกันเข้ายกตัวอย่างเช่นตาพบกับรูปข่งนอกก็มีผัสสะแล้วก็มีเวทนาคือความรู้สึกพอใจหรือไม่พอใจนั่นแหละคือตัวความยินดียินร้ายสุขเวทนาก็ยินดี ทุกขเวทนาก็ยินร้ายเมื่อมีความยินดียินร้ายแล้วมันจะปรุงไปตามลำดับเป็นความรู้สึกว่ามีตัวตนหรือตัวกูผู้มีความยินดียินร้ายนั้นเองยกตัวอย่างง่ายๆสักเรื่องหนึ่งเช่นว่าถูกยุงกัดพอยุงกัดแล้วก็เจ็บปวดมันก็ยินร้ายก็เจ็บปวดมันก็ยินร้ายไอ้ความรู้สึกยินร้ายมันจะปรุงให้เกิดความรู้สึกว่าตัวกูถูกยุงกัดแล้วก็เจ็บปวดตัวกูเจ็บตัวกูปวดเป็นทุกข์ไอ้ความรู้สึกว่าตัวกูๆ

หน้าที่ 2 – จิตธรรมดาสามัญจิตของปุถุชน
เนี่ยนั่นเป็นเพียงความรู้สึกไม่ใช่ตัวตนจริงแต่ที่จริงก็มีอยู่แต่ร่างกายแล้วถูกยุงกัดแล้วก็มีความรู้สึกที่ตรงนั้นตรงที่ยุงกัดแต่เป็นความเจ็บแต่ระบบประสาทที่มีอยู่ในร่างกายตามธรรมชาตินี้เท่านั้นเองถ้าเรารู้ความจริงข้อนี้เราก็จะรู้ว่ามีแต่ยุงกัดแล้วก็ปรากฎที่ระบบปราสาทที่ตรงนั้นคือความเจ็บแล้วก็รู้สึกได้ด้วยจิตว่าเป็นความเจ็บรู้ว่ามีเท่านั้น

แต่ทีนี้จิตธรรมดาสามัญจิตของปุถุชนให้ความรู้สีกเจ็บหรือรู้สึกไม่ชอบใจเป็นโทรมนัดขึ้นมามันปรุงต่อไปจนเกิดความรู้สึกว่าตัวกู ตัวกูถูกยุลกัดแล้วก็เจ็บยุงมันกัดกูมันเป็นความรู้สึกว่ายุงมันกัดกูที่แท้มันมีว่ายุงมันกัดเจาะที่ตรงนั้นและมันก็มีความรู้สึกเจ็บที่ตรงนั้นตามหน้าที่ระบบประสาทจะมีรายงานว่ามันเจ็บที่ตรงนั้นที่จะเป็นยุงหรือเป็นอะไรก็ตามมันไม่ได้มีตัวกูมันมีแต่เนื้อหนังธรรมดาถูกยุงเจาะแล้วก็รู้สึกเจ็บโดยระบบประสาทเป็นผู้รายงานว่าเจ็บถ้ารู้สึกเพียงเท่านี้ก็ไม่มีตัวกูเดี๋ยวนี้มันไม่รู้สึกเพียงเท่านั้นไอ้ที่รู้สึกเจ็บไม่พอใจมันปรุงความคิดปรุงความคิดแท้ๆมันปรุงแต่งความคิดแท้ๆกูเป็นกู กูถูกยุงกัดกูก็โกรธเพราะถูกยุงกัดกูเจ็บเพราะถูกยุงกัดไอ้คำว่าความเจ็บมันก็เกิดขึ้นมันไม่ได้เป็นเพียงความรู้สึกแก่ระบบประสาทตามธรรมชาติเสียแล้วถ้าถือเป็นความรู้สึกแต่ระบบประสาทตามธรรมชาติมันก็มีเท่านั้นก็มีความรู้สึกสมมุติที่เรียกว่าบาทเจ็บไม่ใช่ตัวกูเจ็บไม่ใช่เจ็บของกูตั้งแต่พ้นทุกข์ออกไปเป็นปุถุชนมันไม่หยุดอยู่เพียงเท่านั้น มันต้องมันต้องปรุงขึ้นมาเป็นความคิดด้วยว่ากูถูกยุงกัดกูก็เกิดขึ้นกูก็ไม่เคยมีที่ไม่มีไม่รู้อยู่ที่ใหนแม้ว่ามันกำลังเกิดขึ้นมาเป็นตัวกูถูกยุงกัดแล้วก็เป็นทุกข์เนี่ยตัวอย่างที่จะแสดงให้เห็นว่าตัวกูนี่ไม่ใช่เป็นของจริงจังอะไรไม่ได้มีอยู่อย่างที่มีอยู่ตลอดกาลเขาเชื่อเขาคิดว่าตัวกูมีอยู่ตลอดกาลที่จริงตัวกูเป็นความรู้สึกที่เกิดขึ้นชั่วขณะๆที่มีความยินดียินร้ายทีนี้ถ้าได้รับการประคบประหงมหรืออะไรก็ตามที่ตรงนั้นให้เกิดความสบายสนุกสบายขึ้นมามันก็คงรู้สึกแต่เพียงเท่านั้นว่าตรงนั้นมันรู้สึกสบายขึ้นมาตามระบบประสาทตามหน้าที่ของระบบประสาทมิได้มีตัวกูผู้อร่อยผู้สบายแต่เดี๋ยวนี้มันไม่รู้อย่างนั้นพออร่อยหรือสบายมันก็ปรุงความคิดว่ากูอร่อยหรือสบายนี้เรียกว่าอวิชชามันเกิดขึ้นความยินดีมันก็เกิดขึ้นรู้จักเปรียบเทียบว่าความยินดีมันเกิดขึ้นได้อย่างไรความชั่วร้ายมันเกิดตัวกูอย่างไรเกิดตัวกูแล้วก็เหมือนกันแหละมันเป็นตัวกูสำหรับจะยินดียินร้ายความรู้สึกที่ไม่พอใจทำให้เกิดยินร้ายความรู้สึกพอใจทำให้เกิดยินดีถ้าเราไม่เกิดยินดียินร้ายตัวกูไม่มีทางเกิด นี่คือประโยคที่สำคัญที่สุดถ้าเราไม่รู้สึกยินดียินร้ายตัวกูจะไม่เกิดได้ความรู้สึกว่าตัวกูจะไม่เกิดได้ตัวกูซึ่งเป็นของลมๆแล้งไม่อาจจะเกิดได้ขอให้เข้าใจอย่างนี้จนจับได้ว่าตัวกูมันเป็นเรื่องมายาเหลวคว้างมันไม่ได้มีตัวตนจริงๆเป็นแต่เพียงความรู้สึกเท่านั้นๆแต่ว่าความรู้สึกเท่านั้นมันไม่ได้เท่านั้นมันไม่ได้หยุดอยู่เท่านั้นมันแสดงความคิดอื่นอีกออกไปยืดยาวเมื่อตัวกูเจ็บเกิดเป็นตัวกูรู้สึกว่าตัวกูเจ็บขึ้นมาความคิดมันจะเกิดต่อไปว่ากูจะฆ่ายุงหรือกูจะทำอะไรต่อไปเกี่ยวกับการฆ่ายุงกูจะต้องไปหายามาฆ่ายุลจะต้องทำอะไรทุกอย่างแล้วมันบางทีก็พาลโกรธกับสิ่งต่างๆออกไปอีกในกรณีที่เป็นความสบายตรงเนื้อหนังตรงนั้นก็เหมือนกันถ้ามันมีความรู้สึกเป็นตัวกู กูสบายและมันก็คิดต่อไปมีจะหามายึดครองจะหามาให้มากจะหามาสะสมให้มากจะทำอย่างนั้นอย่างนี้ เพื่อให้ได้ปัจจัยของความสบายมาให้มากก็คิดต่อไปยืดยาวไปม่ค่อยมีที่สิ้นสุดนั้นเป็นเรื่องของปัญหาที่เป็นเรื่องของความทุกข์ขอให้มองให้เห็นตรงจุดที่สำคัญที่สุดว่าไม่มีความรู้สึกยินดียินร้ายและสิ่งที่เรียกว่าตัวกูจะไม่เกิดตัวกูไม่เกิดความรู้สึกว่าตัวกูไม่เกิดก็ไม่เกิดความรู้สึกปรุงแต่งต่างๆต่อไปอีกหยุดกันแค่นั้นแต่มันก็ไม่มีตัวกูและไม่มีตัวกูที่จะถูกยุงกัดมีแต่ยุงมันกัดรู้สึกเจ็บปวดที่ตรงนั้นตามระบบประสาทบอกให้รู้ซะแล้วมันก็เลิกกันไม่ต้องเป็นทุกข์เป็นร้อนถ้าจะไล่ยุงก็ไล่ได้จะเป็นไรไป แต่ไม่ต้องถึงกับเป็นทุกข์เป็นร้อนโมโหโทโสเป็นไฟขึ้นมาในจิตใจจัดการอย่างใดอย่างหนึ่งให้ยุงมันไปเสียเอ้าถ้าสมมุติว่าจะเอากันให้ถึงขั้นตบยุงก็อย่าตบด้วยจิตที่โมโหโทโสให้เป็นทุกข์ทำไปตามธรรมดายุงมันก็ไปเอาอย่างควาย เอาอย่างควาย ควายมันมีหางมีพวงหางแขว่งไปแขว่งมา ถ้าเลือบมันมากัดที่ตรงใหนมันรู้สึกปวดมันก็แขว่งไปอย่างนั้นแหละเพื่อไล่ไปอย่างนั้นแหละที่หางแขว่งไปแขว่งมาคอยไล่ยุงอยู่เลื่อยหรือจะคอยไล่ตรงที่รู้สึกเจ็บปวดไม่มีเจตนาจะฆ่าจะอะไรนักที่เกี่ยวกับยุงตัวอย่างที่มีความเจ็บปวดขึ้นมา

หน้าที่ 3 – ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจรู้สึก
เกี่ยวกับยุงแล้วมันจะเกิดตัวกูแล้วมันจะเกิดโทสะ เกิดโททะ เกิดกิเลสกันยืดยาวหรือว่าถ้าอะเหร็ดอร่อยสบายที่ตรงใหนความอร่อยนั้นจะเกิดตัวกูและความคิดนึกก็จะมีไปอย่างยืดยาวที่เรียกว่าความยึดมั่นถือมั่นในความอร่อยในบุคคลผู้อร่อยในสิ่งที่ให้ความอร่อยนี่มันเป็นเรื่องไว้มากมายอย่างนี้นี่เป็นความทุกข์นั้น

ถ้าอยากมีความรู้สึกทำนองนี้มันก็จะไม่ไม่ต้องมีความทุกข์อะไรก็เป็นไปตามนั้นเป็นไปตามธรรมชาติแล้วก็ไม่ต้องมีทุกข์แล้วกันถ้ามันสวยเข้ามาทางตาก็เฉยคือไม่ต้องยินดีพอใจให้มันเกิดตัวกูว่ากูได้นั่นได้นี่ไม่สวยเข้ามาทางตาก็ไม่ต้องเกิดโมโหโทโสว่าไม่สวยเนี่ยไพเราะเข้ามาทางหูก็ต้องไม่เกิดตัวกูว่ากำลังไพเราะกำลังเป็นสุขด้วยความไพเราะรู้สึกว่าไพเราะได้แต่ไม่ต้องเป็นตัวกูผู้ได้ความไพเราะจมูกได้กลิ่นหอมกลิ่นหอมก็ทำให้พอใจเพียงว่ามันเป็นกลิ่นหอม แต่ไม่พอใจถึงขนาดเป็นตัวกูผู้พอใจผู้ได้กลิ่นหอมแล้วก็หลงรักในกลิ่นหอมถ้ากลิ่นเหม็นมันก็กลิ่นทั้งนั้นตามระบบประสาทเสนอรายงานว่าอย่างนี้กลิ่นเหม็นก็เท่านั้นแหละจะจัดการอย่างไรก็จัดแต่ไม่ต้องโกรธๆไม่ต้องอึดอัดขัดใจทีนี้ไปกันได้ไปทำอะไรก็ได้ในลิ้นได้รสอร่อยก็รู้สึกว่าโอ้ยเป็นความอร่อยจะรู้สึกอร่อยก็ได้แต่รู้สึกเพียงแค่นั้นอย่าให้อร่อยต้องเป็นตัวกูผู้อร่อยขึ้นมาถ้าไม่อร่อยไอ้อย่างนี้มันก็อย่างนี้เองก็มันอย่างนี้เอง ไม่ต้องโกรธว่ากูโชคไม่ดีได้กินของไม่อร่อยอย่างนี้แล้วโกรธไม่ต้องถ้าสมมุติว่ากินขนมอันนี้มันไม่อร่อยก็คิดซะมันเป็นอย่างนี้เองขนมอย่างนี้ขนมอันนี้คือเวลาอย่างนี้เวลาที่เราไม่สบายกินไม่อร่อยหรือว่ากินผลไม้เผอิญมันจืดวืดไปส้มมันไม่หวานแตงโมมันไม่หวานก็ถือซะว่ามันอย่างนี้เองมันอย่างนี้เองที่จะต้องโกรธจะต้องขัดใจไปทำไมป่วยการเป็นบ้าเองจะกินต่อไปก็ได้ไม่กินก็ได้ก็ไม่ต้องขัดใจนึกเสียว่าไอ้ลูกนี้คราวนี้มันมีอย่างนี้อย่างชนิดนี้รสชาติมันอย่างนี้จืดอย่างนี้ก็กินไปสิก็กินไปตามว่าความรู้สึกมันเป็นอย่างนี้มันต้องขัดใจในทางลิ้นทางผิวหนังได้รับสัมผัสนิ่มนวล โดยเฉพาะความรู้สึกเกี่ยวกับกามมารมก็พอใจยินดีสุดเหวี่ยงตามธรรมดาของสัตว์แบบนี้มันจะเกิดตัวกูเข้มข้นๆตัวกูได้สิ่งนั้นตัวกูมีสิ่งนั้นตัวกูอะเร็ดอร่อยอย่างนั้นมันก็ปรุงเป็นความคิดต่อๆๆต่อไปมากมายจะแสวงหาต่อไปจะสะสมไว้ให้มากจะไปปล้นไปจี้ไปขโมยเอามาไว้ให้มากหรือว่าจะขยันทำงานเอาเงินซื้อหามาไว้ให้มากได้ทั้งนั้นมันเป็นเรื่องยืดยาวต่อไปความรู้สึกอันนี้ก็เรียกว่าเป็นความทุกข์ถ้าไม่อร่อยมันก็ตั้งตรงกันข้ามอย่างนั้นเองไม่ต้องโกรธไม่ต้องขัดใจไม่ต้องอึดอัดขัดใจเราก็เลยอยู่ปกตินี่คู่สุดท้ายคือใจกับธรรมมารมความรู้สึกคิดนึกเรื่องใดได้เกิดขึ้นในใจมันตรงขึ้มมาตามธรรมชาติทั้งนั้นเองไม่ต้องยึดเป็นตัวตนหรือว่าตัวตนแต่เราหรือแต่มันควรจะทำอย่างไรก็ทำไปไอ้เรื่องเหล่านี้ส่วนมากมันก็มาจากความจำในอดีตสัญญาในอดีตความรัก ความโกรธ ความเกียจ ความกลัว ความกลัวอะไรต่างๆที่สัญญา ในอดีตปรุงขึ้นมาใหม่หวนไปรับใหม่หวนไปโกรธใหม่ หวนไปเกียจใหม่ หวนไปกลัวใหม่อย่างนี้รุนแรงมากก็รอเรื่องนั้นมันเป็นอย่างนั้นเป็นการปรุงแต่งตามธรรมชาติในจิตในใจเป็นอย่างนั้นไม่ใช่ตัวกูมีอยู่หรือตัวกูเป็นอย่างนั้นนี่ก็ไม่เกิดตัวกูอีกเหมือนกันแปลว่าเมื่อมีการกระทบเข้ามาทั้ง 6ทางเป็นตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจรู้สึกทันท่วงทีว่ามันอย่างนั้นตามหลักตามธรรมชาติตามลักษณะของธรรมชาติจะต้องรู้สึกอย่างนั้นอย่าไปเลยเถิดเป็นว่ารัก หรือเกียจว่ายินดีหรือยินร้ายถ้าทำได้อย่างนี้ก็เรียกว่าคนนั้นป้องกันความยินดียินร้ายในโลกไว้ได้หรือว่านำออกไปเสียจากกรณีที่เกี่ยวข้องกับเรายังได้อย่างคำสอนที่เป็นหลักว่ามีสติสัมปชัญญะนำอวิชชาและโทรมนัดในโลกออกเสียได้แต่ความสำคัญมันก็อยู่ที่มีสติสัมปชัญญะ ถ้าไม่มีสติสัมปชัญญะมันทำไม่ได้ก็ต้องไปฝึกให้มีสติสัมปชัญญะตามแบบที่เรียกว่าการฝึกกรรมฐาน แบบ ที่ทำให้มีสติสัมปชัญญะมีสติมากมีสติเร็วมีความรู้สึกสัมปชัญญะลึกมีสติสัมปชัญญะมากเร็วๆลึกดีแล้วมันก็ไม่ยินดียินร้ายคือไม่เกิดอวิชชาและโทรมนัดเมื่อไม่เกิดความยินดียินร้ายไม่เกิดความรู้สึกที่ปรุงให้เป็นตัวกูของกูขึ้นมามันก็ไม่มีความทุกข์เลยนี่พระอรหันต์ต้องมีสติสมบูรณ์ในการที่จะไม่รู้สึกยินดียินร้ายจึงไม่อาจจะเกิดตัวกูของกูเกิดได้อีกต่อไปเพราะไม่มีความทุกข์เลยโดยประการทั้งปวงเรียกว่าเป็นโลกุตตะระไม่ต้องมีความทุกข์เพราะโลกนี้หรือว่าเรื่องต่างๆในโลกนี้ได้อีกต่อไปท่านอยู่เหนือโลกเหนืออำนาจของโลกเหนือการปรุงแต่งของโลกใจความมันมีอยู่

หน้าที่ 4 – สติสัมปชัญญะ
อย่างนี้พูดมันยืดยาวแต่ใจความมันนิดเดียวว่าถ้ามันโง่คือมันไม่มีสติสัมปชัญญะมันก็จะยินดียินร้ายในสิ่งที่มากระทบถ้ายินดียินร้ายแล้วมันก็จะเกิดความรู้สึกประเภทตัวกูประเภทตัวกูเกิดขึ้นเมื่อใหล่ก็เป็นของหนักเป็นของขบกัดเป็นของเผารนเป็นของผูกพันหุ้มห่อครอบงำล้วนแต่เป็นความทุกข์ทั้งนั้นแหละ

นี่ระวังอย่ายินดียินร้ายเท่านั้นแหละอาจจะไม่เกิดตัวกูชนิดนั้นทีนี้ไปดูกันในส่วนลึกว่ามันเกิดได้จากสิ่งทุกสิ่งที่มีอยู่รอบตัวเราในโลกมีกี่ 100อย่าง 1000อย่างก็เข้ามาให้เกิดยินดียินร้ายได้ทั้งนั้น แต่ถ้าจะสรุปให้สั้นมันจะเหลือเพียง 5อย่าง 5อย่างเรียกว่าขัน 5ขันทั้ง 5 ร่างกายนี่พอทำหน้าที่อย่างใดอย่างหนึ่งได้มีรู้โพตัพภะที่นิ่มนวลอเร็ดอร่อยได้แต่คนนั้นก็เข้าใจว่าตัวกูได้เอาร่างกายนั่นแหละเป็นตัวกูเช่นถูกตีเจ็บตัวกูเจ็บเอาร่างกายันั้นเป็นตัวกูโง่เอยเซไปโดนต้นไม้หัวโนก็ถือว่าร่างกายเป็นตัวกูเซไปโดนต้นไม้หัวโนกายเป็นตัวกูไม่ใช่เป็นเรื่องของร่างกายมันปราศจากสติสัมปชัญญะแล้วเซไปโดนไม้เข้ามันก็หัวโนตามธรรมชาติๆมันก็ไม่รุ้สึกว่าตามธรรมชาติมันก็รู้สึกว่าตัวกูตัวกูเสมอไปหรือว่าเรามีตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจที่ใช้การได้ดีในร่างกายนี้มีตา หู จมูก ลิ้น กาย 5อย่างที่ใช้การได้ดีก็ว่ามีตัวกูของกูมี ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจของกูที่ดีและก็หลงรัก หลงพอใจ ทั้งหมดนี้เรียกว่าเอารูปเป็นตัวตนหรือเป็นของๆตนไอ้ที่เอากายเป็นตัวตนโดยคิดว่ากายเป็นผู้ทำหรือกายเป็นผู้ถูกกระทำอย่างนี้ก็เลยเอากายเป็นตนคือเราจะมีอย่างอื่นรู้สึกว่ากายของตนถูกกระทำก็เอากายเป็นของตนแล้วก็อะไรๆที่มันเกี่ยวกับกายในการกระทำนั้นมันก็กายเป็นของตนไปหมดนี่เราเอากายเอารูปเอากายเอารูปขันหนึ่งเป็นของตนอยู่ๆวันหนึ่งๆไม่รู้จักกี่ครั้งไม่ใช่บีดบาดมือมันก็คิดว่าตัวกูถูกมีดบาดมือไม่ได้คิดว่ามันเป็นเรื่องธรรมดาตามธรรมชาติที่มีดมันบาดมือตัวเองที่มันเป็นเช่นนั้นอะไรๆที่เป็นกายเป็นของกายก็มาเป็นกูเป็นของกูหมดอย่างนี้เรียกว่าเอารูปขันเป็นตัวตนทีนี้เมื่อมีการสัมผัสตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจอะไรก็ตามมันเกิดเป็นเวทนาขึ้นมารู้สึกเป็นสุขคือพอใจขึ้นมารู้สึกเป็นทุกข์คือไม่พอใจขึ้นมามันก็โง่ไปว่ากูเป็นสุขกูเป็นทุกข์ไม่ได้คิดว่ามันเป็นอย่างนั้นอย่างนั้นตามกฎของธรรมชาติเกิดความรู้สึกอย่างนั้นตามกฎของธรรมชาติอย่างนี้เรียกว่าเอาเวทนาเป็นตัวตนๆเอาเวทนาก็เป็นตัวตนเป็นของหนักขึ้นมาทีนี้ ในกรณีต่อไปเรียกว่าสัญญาความจำได้หมายรู้หรือความสำคัญจำได้ว่าอะไรไปเป็นอะไรจำอะไรได้หมายมั่นอะไรได้ก็เอาตัวจำได้หมายมั่นได้นั่นแหละเป็นตัวตนกูจำได้กูสำคัญมั่นหมายได้ว่าอะไรอย่างนี้เอาสัญญาเป็นตัวตนถ้ายิ่ความจำดีก็ยิ่งพอใจในสัญญาเป็นตัวตนที่ดีถ้าจำไม่ดีจำเลวก็โกรธเป็นสัญญาที่ไม่ดีนี่แหละคือตัวกูที่เป็นสัญญามันไม่ดีมันเอาสัญญาเป็นตัวกูบ้างเป็นของกูบ้างนี่เรียกว่าเอาสัญญาเป็นตัวตน แต่ทีนี้เกิดเวทนาเกิดสัญญาเกิดขึ้นมาตามลำดับความยินดียินร้ายเป็นต้นแล้วมันเกิดความคิดอย่างนั้นความคิดอย่างนี้แล้วก็คิดไปเป็นลำดับๆไปมันก็ไม่ได้รู้สึกว่าความคิดนี่มันเป็นผลของสิ่งเหล่านั้นปรุงแต่งขึ้นมาไม่คิดอย่างนั้นไม่รู้สึกอย่างนั้นไม่วังเวงอย่างนั้นก็เป็นกูคิดกูคิดแล้วก็ความคิดของกูมันจะรูสึกอย่างนี้เสมออย่างนี้เรียกว่าเอาสังขารเป็นตัวตนสังขารขันเป็นตัวตนทีนี้วิญญาณๆที่มีอยู่จำตาหูจมูกลิ้นกายใจตาเห็นอะไรได้หูฟังเสียงอะไรได้จมูกได้กลิ่นอะไรได้ลิ้นรู้รสอะไรได้ผิวหนังมีวิญญาณรู้สัมผัสได้ใจรู้สึกต่ออารมณ์ได้ เอาแต่ละอย่างๆนี่ที่เป็นความรู้แจ้งทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจเอาความรู้แง่นั้นมาเป็นตัวตนจนที่เขาพูดว่ากูเห็นกูได้ยินได้ฟังกูได้ดมกูได้ลิ้มรสกูได้สัมผัสผิวหนังกูได้รู้สึกคิดนึกเอาวิญญาณที่เคยอยู่ทางอยันตนะทั้ง 6นั้นเป็นตัวตนเรียกว่าเอาวิญญาณเป็นตัวตนหมดแล้วเรื่องมันหมดแล้วมันมีเพียง 5เรื่องเท่านั้นแหละอะไรๆที่จะเข้ามาในรูปของตัวตนมันก็เข้าใน 5กองนี้กองใดกองหนึ่งต้องมีมันแยกเป็น 5กองเรียกว่าขัน 5หรือรูปขันกองรูปเวทนาขันกองรูปเวทนาสัญญาขันกองสัญญาสังขารขันกองสังขารวิญญาณขันกองวิญญาณถ้าเข้าใจท่านผู้ฟังเหล่านี้เข้าใจต่อไปก็จะมองเห็นได้เองว่าอะไรเข้ามากระทบตนเป็นขันกองใหนอะไรเกิดขึ้นเป็นขันกองใหนอะไรดับไปเป็นขันกองใหนถึงความรู้แจ้งรู้จักดีที่สุดต่อขันทั้ง 5นั้นเป็นประโยชน์มากจะรู้จักสงเคราะห์เป็นขันทั้ง 5 แต่ละขันๆนั่นก็จะเห็นเป็นแต่เพียงขันเกิดขึ้นตามเหตุตามปัจจัยไม่มีทางที่จะเป็นตัวกูหรือเป็นของกูไม่มีทางที่จะเป็นตัวตนเป็นของตนไม่มีทางที่จะเป็นอัตตาหรือ

หน้าที่ 5 – เมื่อไรมีความยึดถือยึดมั่นถือมั่นเมื่อนั้นก็เป็นทุกข์
อัตตานีญาถ้าเรียกเป็นบาลีคำพูดก็มีว่าอัตตาตน อัตตนียาของตนทีนี้ถ้ามันโกรธจัดขึ้นมาตัวกูหรือของกูก็เรื่องเดียวกันอัตตาหรืออัตตนียาอยู่ในรูปตัวตนหรือของตนก็ได้อยู่ในตัวกูหรือของกูก็ได้เมื่อนี้รู้สึกว่าเป็นอัตตา อัตตนีญาก็เป็นความทุกข์ทันทีก็มันเป็นการหิ้วของหนักในทันทีที่เกิดความรู้สึกว่าตัวตนอย่างนั้นมันก็หิ้วตัวเองหิ้วตัวตนเป็นของหนักตัวตนเป็นของหนักก็มีความทุกข์เพราะตัวตนไปยึดถือเอาของที่ไม่ใช่ของตนมาของๆตนเอามาเป็นของหนักเหมือนของหนักก็หิ้วของๆตนหิ้วของตัวเองก็หนักหิ้วของๆตัวเองก็หนัก นี่คือตัวความทุกข์จึงกล่าวไว้เป็นหลักด้วยสำคัญอีกข้อหนึ่งว่าเมื่อไรมีความยึดถือยึดมั่นถือมั่นเมื่อนั้นก็เป็นทุกข์ความทุกข์เกิดขึ้นเพราะความยึดมั่นถือมั่นระวังอย่าให้เกิดความยึดมั่นถือมั่นเพราะตัวกูเป็นตัวกูหรือถูกเป็นของกูขึ้นมาระวังอย่าให้มีการกระทำที่โง่เขาในจิตในใจปรุงเป็นตัวกูหรือของกูขึ้นมาว่าเป็นตัวตนหรือของตนขึ้นมาระวังอย่าให้มีการปรุงอย่างนี้มันก็ไม่มีการหิ้วของหนักเมื่อไม่มีการหิ้วของหนักมันก็ไม่รู้สึกหนักคือมันไม่เป็นทุกข์พอมีตัวตนในอะไรก็จะต้องเป็นทุกข์ในเรื่องนั้น

เพราะเหตุนั้นอย่างที่ฉันจะกล่าวไว้ง่ายๆว่าคนโง่เป็นปุถุชนคนโง่มีอะไรมีเงินก็ต้องเป็นทุกข์เพราะเงินมีควายก็ต้องเป็นทุกข์เพราะควายมีนาก็ต้องเป็นทุกข็เพราะนามีบ้านเป็ทุกข์เพราะบ้านมีรือกสวนเป็นทุกข์เพราะเรือกสวนมีเงินก็เป็นทุกข์เพราะเงินนี่มันน่าละอายคนโง่มีอะไรจะต้องเป็นทุกข์เพราะเหตุนั้นมีบุตรก็เป็นทุกข์เพราะบุตรมีภรรยาก็เป็นทุกข์เพราะภรรยามีสามีก็เป็นทุกข์เพราะสามีอันนี้สำหรับคนโง่ที่มีแต่จะปรุงอะไรๆขึ้นมาให้เป็นตัวตนเป็นของตนอยู่อย่างง่ายดายอย่างรวดเร็วและอย่างตลอดเวลาขอให้สนใจเรื่องนี้ ซึ่งเป็นเพียงเรื่องเดียวเป็นหัวใจของพระพุทธศาสนาสิ่งทั้งหลายทั้งปวงตามธรรมชาตืธรรมดานั้นมันไม่ใช่ตนไม่ใช่ของตนแต่เกิดความรู้สึกเป็นตนของตนขึ้นมาได้ก็ในขณะที่มันโง่ที่มันโง่มันไม่ได้ศึกษาเล่าเรียนมาหรือว่าไม่เคยได้ยินได้ฟังจากท่านผู้รู้ผู้เห็นมันปล่อยไปตามอำนาจของอวิชชาคือธรรมชาติที่ปราศจากความรู้วัตถุต้องมีแต่ความไม่รู้แล้วมันก็ต้องปรุงอย่างนี้เสมอไปขอให้สนใจเป็นพิเศษในฐานะเป็นหัวใจของพุทธศาสนามีการปรุงเป็นตัวกูเป็นของกูเมื่อไหล่ก็มีความทุกข์เหมือนนั้นจะไม่ให้ปรุงอย่างนั้นก็ต้องมีสติสัมปชัญญะจะมีสติสัมปชัญญะมันก็ตองฝึกฝนทางจิตที่เรียกว่าทำกรรมฐานทำภาวนาทำอะไรก็ตามเป็นการฝึกฝนทางจิตจนรู้จักควบคุมจิตรู้ทันเวลาที่มีอะไรมากระทบไม่เปิดโอกาสเป็นตัวตนของตนเรื่องมันจะจบมันก็ไม่มีความทุกข์ถ้ามีโอกาสมีเวลาก็ไปฝึกสติมาถึงภาวนาแบบที่มันทำให้มีสติสัมปชัญญะมีอยู่เป็นแบบมีตัวอย่างไว้ใช้ศึกษาปฎิบัติอยู่เป็นประจำเราก็จะมีความเปลี่ยนแปรงคือจะไม่หลงคิดนึกปรุงแต่งเป็นตัวตนนี้ โดยทั่วไปในเวลาที่มีอยู่คือผัสสะในขณะที่มีผัสสะในกรณีที่มีผัสสะผัสสะคือมีอะไรมากระทบตากระทบหูมีอะไมากระทบจมูกมีอะไรกระทบผิวหนังมีอะไรมากันกระทบต้องจิตใจที่เรามีอยู่วันนั้นพอมีผัสสะแล้วมันไม่มีปัญญามันก็มีความโง่มันก็ปรุงไปตามแบบความโง่ของมันมีเกิดเวทนาออกมาสำหรับยินดีและออกมาๆเรียกยินร้ายทั้งนั้นแหละทุกคู่ไปพอเกิดควมยินดียินร้ายแล้วก็เกิดตัวตนเป็นทุกข์ไปตามแบบของตัวตนมันคอยทุกข์คนระวังตลอดเวลาในชีวิตประจำวัน เมื่อมีผัสสะเมื่อไม่มีผัสสะไม่มีอะไรผัสสะคือมีอะไรมากระทบตามีอะไรมากระทบหูมีอะไรมากระทบจมูกมีอะไรมากระทบลิ้นมีอะไรมากระทบผิวหนังมีอะไรมากระทบจิตใจตอนนั้นเรียกวามีผัสสะพอมีผัสสะแล้วมันไม่มีปัญญามันก็ไม่มีความโง่มันก็มีการปรุงไปตามแบบความโง่เกิดเวทนาออกมาสำหรับยินดีเวทนาออกมาสำหรับยินร้ายทั้งนั้นทุกคู่ไปพอเกิดความยินดียินร้ายมันก็เกิดตัวตนก็เป็นทุกข์ไปตามแบบของตัวตนนั่นขอให้ทุกคนระวังตลอดเวลาในชีวิตประจำวันเมื่อมีผัสสะเมื่อไมีผัสสะไม่มีอะไรมากระทบตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจไม่มีเรื่องๆว่างสบายพอมีอะไรมากระทบตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจระวังให้ดีมันจะมีความยินดีหรือมิฉะนั้นก็มีความยินร้ายเอายินดียินร้ายก็ตัวกูของกูล้มลุกคลุกคลานตามแบบที่มีตัวกูของกูนี่เป็นใจความสำคัญ รายระเอียดปลีกย่อยหรือคำพูดจะพูดให้ชัดเจนกว่านี้ก็จะรู้ได้เองขอให้จำใจความสำคัญให้ได้ว่าถ้ามียินดียินร้ายเมื่อไหล่มันก็ปรุงเป็นตัวกูของกูเมื่อนั้นแล้วความคิดที่ว่าตัวกูของกูมันก็เป็นไปอย่างสุดเหวี่ยงของมันทุกข์แล้วทุกข์อีกทุกข์แล้วทุกเล่าตัวกูเกิดอย่างนี้ทุกที่ก็เป็นทุกข์

หน้าที่ 6 – อัตตานีญา
อัตตานีญาถ้าเรียกเป็นบาลีคำพูดก็มีว่าอัตตาตน อัตตนียาของตนทีนี้ถ้ามันโกรธจัดขึ้นมาตัวกูหรือของกูก็เรื่องเดียวกันอัตตาหรืออัตตนียาอยู่ในรูปตัวตนหรือของตนก็ได้อยู่ในตัวกูหรือของกูก็ได้เมื่อนี้รู้สึกว่าเป็นอัตตา อัตตนีญาก็เป็นความทุกข์ทันทีก็มันเป็นการหิ้วของหนักในทันทีที่เกิดความรู้สึกว่าตัวตนอย่างนั้นมันก็หิ้วตัวเองหิ้วตัวตนเป็นของหนักตัวตนเป็นของหนักก็มีความทุกข์เพราะตัวตนไปยึดถือเอาของที่ไม่ใช่ของตนมาของๆตนเอามาเป็นของหนักเหมือนของหนักก็หิ้วของๆตนหิ้วของตัวเองก็หนักหิ้วของๆตัวเองก็หนัก นี่คือตัวความทุกข์จึงกล่าวไว้เป็นหลักด้วยสำคัญอีกข้อหนึ่งว่าเมื่อไรมีความยึดถือยึดมั่นถือมั่นเมื่อนั้นก็เป็นทุกข์ความทุกข์เกิดขึ้นเพราะความยึดมั่นถือมั่นระวังอย่าให้เกิดความยึดมั่นถือมั่นเพราะตัวกูเป็นตัวกูหรือถูกเป็นของกูขึ้นมาระวังอย่าให้มีการกระทำที่โง่เขาในจิตในใจปรุงเป็นตัวกูหรือของกูขึ้นมาว่าเป็นตัวตนหรือของตนขึ้นมาระวังอย่าให้มีการปรุงอย่างนี้มันก็ไม่มีการหิ้วของหนักเมื่อไม่มีการหิ้วของหนักมันก็ไม่รู้สึกหนักคือมันไม่เป็นทุกข์พอมีตัวตนในอะไรก็จะต้องเป็นทุกข์ในเรื่องนั้น

เพราะเหตุนั้นอย่างที่ฉันจะกล่าวไว้ง่ายๆว่าคนโง่เป็นปุถุชนคนโง่มีอะไรมีเงินก็ต้องเป็นทุกข์เพราะเงินมีควายก็ต้องเป็นทุกข์เพราะควายมีนาก็ต้องเป็นทุกข็เพราะนามีบ้านเป็ทุกข์เพราะบ้านมีรือกสวนเป็นทุกข์เพราะเรือกสวนมีเงินก็เป็นทุกข์เพราะเงินนี่มันน่าละอายคนโง่มีอะไรจะต้องเป็นทุกข์เพราะเหตุนั้นมีบุตรก็เป็นทุกข์เพราะบุตรมีภรรยาก็เป็นทุกข์เพราะภรรยามีสามีก็เป็นทุกข์เพราะสามีอันนี้สำหรับคนโง่ที่มีแต่จะปรุงอะไรๆขึ้นมาให้เป็นตัวตนเป็นของตนอยู่อย่างง่ายดายอย่างรวดเร็วและอย่างตลอดเวลาขอให้สนใจเรื่องนี้ ซึ่งเป็นเพียงเรื่องเดียวเป็นหัวใจของพระพุทธศาสนาสิ่งทั้งหลายทั้งปวงตามธรรมชาตืธรรมดานั้นมันไม่ใช่ตนไม่ใช่ของตนแต่เกิดความรู้สึกเป็นตนของตนขึ้นมาได้ก็ในขณะที่มันโง่ที่มันโง่มันไม่ได้ศึกษาเล่าเรียนมาหรือว่าไม่เคยได้ยินได้ฟังจากท่านผู้รู้ผู้เห็นมันปล่อยไปตามอำนาจของอวิชชาคือธรรมชาติที่ปราศจากความรู้วัตถุต้องมีแต่ความไม่รู้แล้วมันก็ต้องปรุงอย่างนี้เสมอไปขอให้สนใจเป็นพิเศษในฐานะเป็นหัวใจของพุทธศาสนามีการปรุงเป็นตัวกูเป็นของกูเมื่อไหล่ก็มีความทุกข์เหมือนนั้นจะไม่ให้ปรุงอย่างนั้นก็ต้องมีสติสัมปชัญญะจะมีสติสัมปชัญญะมันก็ตองฝึกฝนทางจิตที่เรียกว่าทำกรรมฐานทำภาวนาทำอะไรก็ตามเป็นการฝึกฝนทางจิตจนรู้จักควบคุมจิตรู้ทันเวลาที่มีอะไรมากระทบไม่เปิดโอกาสเป็นตัวตนของตนเรื่องมันจะจบมันก็ไม่มีความทุกข์ถ้ามีโอกาสมีเวลาก็ไปฝึกสติมาถึงภาวนาแบบที่มันทำให้มีสติสัมปชัญญะมีอยู่เป็นแบบมีตัวอย่างไว้ใช้ศึกษาปฎิบัติอยู่เป็นประจำเราก็จะมีความเปลี่ยนแปรงคือจะไม่หลงคิดนึกปรุงแต่งเป็นตัวตนนี้ โดยทั่วไปในเวลาที่มีอยู่คือผัสสะในขณะที่มีผัสสะในกรณีที่มีผัสสะผัสสะคือมีอะไรมากระทบตากระทบหูมีอะไมากระทบจมูกมีอะไรกระทบผิวหนังมีอะไรมากันกระทบต้องจิตใจที่เรามีอยู่วันนั้นพอมีผัสสะแล้วมันไม่มีปัญญามันก็มีความโง่มันก็ปรุงไปตามแบบความโง่ของมันมีเกิดเวทนาออกมาสำหรับยินดีและออกมาๆเรียกยินร้ายทั้งนั้นแหละทุกคู่ไปพอเกิดควมยินดียินร้ายแล้วก็เกิดตัวตนเป็นทุกข์ไปตามแบบของตัวตนมันคอยทุกข์คนระวังตลอดเวลาในชีวิตประจำวัน เมื่อมีผัสสะเมื่อไม่มีผัสสะไม่มีอะไรผัสสะคือมีอะไรมากระทบตามีอะไรมากระทบหูมีอะไรมากระทบจมูกมีอะไรมากระทบลิ้นมีอะไรมากระทบผิวหนังมีอะไรมากระทบจิตใจตอนนั้นเรียกวามีผัสสะพอมีผัสสะแล้วมันไม่มีปัญญามันก็ไม่มีความโง่มันก็มีการปรุงไปตามแบบความโง่เกิดเวทนาออกมาสำหรับยินดีเวทนาออกมาสำหรับยินร้ายทั้งนั้นทุกคู่ไปพอเกิดความยินดียินร้ายมันก็เกิดตัวตนก็เป็นทุกข์ไปตามแบบของตัวตนนั่นขอให้ทุกคนระวังตลอดเวลาในชีวิตประจำวันเมื่อมีผัสสะเมื่อไมีผัสสะไม่มีอะไรมากระทบตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจไม่มีเรื่องๆว่างสบายพอมีอะไรมากระทบตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจระวังให้ดีมันจะมีความยินดีหรือมิฉะนั้นก็มีความยินร้ายเอายินดียินร้ายก็ตัวกูของกูล้มลุกคลุกคลานตามแบบที่มีตัวกูของกูนี่เป็นใจความสำคัญ

รายละเอียดปลีกย่อยหรือคำพูดจะพูดให้ชัดเจนกว่านี้ก็จะรู้ได้เองขอให้จำใจความสำคัญให้ได้ว่าถ้ามียินดียินร้ายเมื่อไหล่มันก็ปรุงเป็นตัวกูของกูเมื่อนั้นแล้วความคิดที่ว่าตัวกูของกูมันก็เป็นไปอย่างสุดเหวี่ยงของมันทุกข์แล้วทุกข์อีกทุกข์แล้วทุกเล่าตัวกูเกิดอย่างนี้ทุกที่ก็เป็นทุกข์

หน้าที่ 7 – หัวใจของพระพุทธศาสนา
เป็นของตนมีสามีก็ยึดถือสามีว่าของตนมีวัวควายไร่นาก็ยึดถือวัวควายไร่นาว่าของตนมีเกียรติยศชื่อเสียงก็ยึดเกียรติยศชื่อเสียงว่าของตนมันเป็นที่ตั้งของความยึดมั่นถือมั่นของว่าตัวตนหรือว่าของตนด้วยกันทั้งนั้น

ถ้าไอ้ความรู้สึกตัวตนของตนไม่เกิดของใหม่ๆของมายาเหล่านี้ไม่มาเกิดในจิตใจจิตใจก็สงบสุขอยู่ตามธรรมชาติอยู่ตามธรรมชาติของเดิมนั้นนะไม่โง่เละก็ไม่ฉลาดอะไรแต่มันไม่มีการปรุงแต่งแต่พอโง่หรือว่าฉลาดเหมือนกันมันก็มีการปรุงแต่งโง่ก็ปรุงแต่งไปตามแบบโง่ฉลาดก็ปรุงแต่งไปตามแบบฉลาดปรุงแต่งแบบโง่ก็มีตัวตนเกิดขึ้นมาเป็นทุกข์ปรุงแต่งแบบฉลาดก็คือปรุงแต่งไม่ให้มีความรู้สึกว่าตัวตนระงับควมรู้สึกว่าตัวตนเสียมันก็ไม่เป็นทุกข์นั้นคนเราทุกคนรู้จักหัวใจของพระพุทธศาสนาสั้นๆว่าทุกอย่างทุกสิ่งมีธรรมทั้งปวงไม่ใช่ตัวตนพอได้เกิดขึ้นในลักษณะใดก็ตามอย่าได้หลงยินดียินร้ายแล้วเกิดตัวตนมีสติสัมปชัญญะควบคุมตนอย่าให้ยินดียินร้ายในสิ่งใดมันก็ไม่เกิดความทุกข์เพราะสิ่งนั้นๆ ดังนั้นขอท่านทั้งหลายที่เข้าถึงหัวใจของพระพุทธศาสนาที่มีอยู่เพียงสั้นๆว่าสื่งทั้งปวงเป็นอนัตตามีสติให้เห็นเป็นอนัตตาอยู่ในทุกๆกรณีมีหน้าที่อะไรจะทำไปก็ทำไปด้วยสติปัญญาไม่ทำด้วยกิเลสตัญหาของตัวกูไม่ต้องมีตัวกูเข้ามาให้เป็นทุกข์พอทำได้จะศึกษาเล่าเรียนก็ศึกษาเล่าเรียนด้วยสติปัญญาที่ถูกต้องอย่าทำไปด้วยความหวังด้วยกิเลสตัญหาว่าของกูว่าตัวกูมันจะเป็นทุกข์มันจะเป็นบ้าตายหรือเป็นโรคประสาทตั้งแต่ยังเป็นนักเรียนเราดำเนินชีวิตชนิดที่ฉลาดทันเวลาอยู่เสมอไม่ปรุงว่าเป็นความคิดว่าตัวกูของกูขึ้นมาสมมุติว่าสอบไล่ได้มันก็ถูกแล้วเพราะมันอยู่ในระดับนั้นมันก็สอบไล่ได้มันก็สอบไล่ได้พวกที่สอบไล่ตกมันก็ถูกแล้วเพราะมันทำได้แค่ลำดับนั้นอย่างนั้นเท่านั้นมันก็สอบไล่ตกไม่ต้องเสียใจไม่ต้องร้องไห้สอบไล่ได้ก็ไม่ต้องดีใจเหมือนกับคนบ้าเป็นไป โดยปกติทั้งที่สอบไล่ได้เละสอบไล่ตกแล้วก็เรียนได้ดีอย่างยิ่งด้วยสติปัญญาเรื่อยๆไปมันก็จะจบการศึกษาเข้าสักวัยหนึ่งเป็นแน่นอนตลอดเวลาไม่เป็นทุกข์ไม่อย่างนั้นมันจะเหมือนกับคนบ้าเดี๋ยวหัวเราะเดี๋ยวร้องไห้คือยินดียินร้ายเดี๋ยวหัวเราะเดี๋ยวร้องไห้เป็นเช่นนี้ตลอดไปมันเป็นความละหกละเหินเป็นชีวิตที่หาความปกติสุขไม่ได้เราไม่ต้องการเราต้องการจะเป็นมนุษย์ที่ดีกว่านั้นมันจึงมีวิธีควบคุมจิตใจไม่ให้ละหกละเหินด้วยความยินดีหรือยินร้ายแล้วมันก็ไม่เหลือตัวกูของกูแล้วทันก็ไม่มีความหนักซึ่งเป็นความทุกข์แต่ประการใด นี่คือหัวใจของพระพุทธศาสนาใช้เวลาสั้นๆเพียงเท่านี้พูดมันก็หมดแล้วแต่ส่วนการปฎิบัตินั้นอยู่ที่ว่าจะปฎิบัติได้เพียงเท่าไหล่มันอาจจะตลอดชีวิตปฎิบัติไม่ได้มันก็ได้เหมือนกันแต่ถ้าเป็นคนตั้งใจดีถ้าระวังดีไม่ต้องตลอดชีวิตมันก็ปฎิบัติได้ในครึ่งชีวิตหรือภายในเวลาอันสั้นมันจะรู้จักควบคุมจิตใจไม่ให้เป็นทุกข์ได้เป็นแน่นอนขอให้ท่านทั้งหลายรู้จักไอ้สิ่งที่เรียกว่าชีวิตรู้จักความทุกข์ของชีวิตรู้จักความไม่มีทุกข์หรือความดับทุกข์ของชีวิตไม่รู้แม้ แต่ชีวิต ชีวิตนี้อนัตตาไม่ใช่ตัวตนประกอบขึ้นมาด้วยร่างกายซึ่งไม่ใช่ตัวตน จิตใจที่ไม่ใช่ตัวตนบนความรู้สึกคิดนึกซึ่งมิใช่ตัวตนอุปกรณ์ของความรู้สึกคิดนึกก็มิใช่ตัวตนอะไรอะไรๆมิใช่ตัวตนมันคือชีวิตจึงไม่ได้ยึดถือว่าชีวิตของกูก็เลยไม่ต้องกลัวไม่ต้องรับไม่ต้องโกรธไม่ต้องเกียรไม่ต้องกลัวเหมือนพระอรหันท่านไม่ต้องมีความรักโดดเดี่ยวกลัววิตกกังวลอาลัยอาวรอะไรส่วนปุถุชนที่เต็มไปด้วยความรัก ความโกรธ ความเกียจ ความกลัวความวิตกกังวลอาลัยอาวรอิจฉาริษยาหึงหวงเหล่านี้เป็นต้น คนดีมีเมื่อไม่เกิดตัวกูสงบสุขเป็นพระนิพพานใช่ว่ามันคงเป็นตัวกูของกูมันก็เป็นวัฎสงสารเต็มไปด้วยความเร่าร้อนเหมือนตัวอยู่ในกองไฟหรืออยู่ในกะทะน้ำเดือดฉะนั้นการบรรยายสมควรแก่เวลาแล้วขอร้องท่านทั้งหลายว่าข้อความสั้นๆนี้สำคัญที่สุดขอให้อยู่กับจิตใจในความจำในความรู้อยู่ตลอดเวลาจะคุ้มครองไม่ให้เกิดความทุกข์ได้จนตลอดชีวิตและมีความสุขอยู่ทุกทิวาราตีกาลเทอญ

http://www.vcharkarn.com/varticle/32349

. . . . . . .