‘หลวงพ่อซวง’ศิษย์’สมเด็จฯโต’วัดระฆัง

‘หลวงพ่อซวง’ศิษย์’สมเด็จฯโต’วัดระฆัง

หลวงพ่อซวง อภโย วัดชีปะขาว ต.พระงาม อ.พรหมบุรี จ.สิงห์บุรี เป็นพระเถราจารย์ที่เชี่ยวชาญทางด้านไสยเวทเป็นอย่างมาก ไม่ว่าจะเป็นการสร้างวัตถุมงคลในรูปแบบต่างๆ การสักยันต์ ตำรับยาสมุนไพร วิชาการเล่นแร่แปรธาตุ และด้านอื่นๆ อีกมากมาย

การที่หลวงพ่อซวงมีความเชี่ยวชาญทางด้านไสยเวทในหลายๆ ด้านนั้น เนื่องมาจากท่านได้ศึกษาวิชาไสยเวทมาจากพระเถระผู้เชี่ยวชาญถึง ๓ อาจารย์ด้วยกัน

ท่านแรก คือ พระอาจารย์คำ อดีตเจ้าอาวาสวัดสิงห์ ต.พระงาม อ.พรหมบุรี จ.สิงห์บุรี ซึ่งท่านเป็นศิษย์ของหลวงพ่ออ่ำ วัดวงษ์ฆ้อง จ.พระนครศรีอยุธยา

อาจารย์ท่านที่สอง คือ หลวงพ่อแป้น วัดเสาธงใหม่ ต.เสาธง อ.บางปะหัน จ.พระนครศรีอยุธยา ซึ่งหลวงพ่อแป้นเป็นศิษย์ของพระคณาจารย์ชื่อดังหลายท่าน อาทิ พระพุฒาจารย์ (มา) วัดจักรวรรดิราชาวาส กทม., หลวงพ่อปาน วัดมงคลโคธาวาส จ.สมุทรปราการ, หลวงพ่อทา วัดพะเนียงแตก จ.นครปฐม, หลวงปู่นาค วัดห้วยจระเข้ จ.นครปฐม และองค์บรมครูพระเทพโลกอุดร พระเถระที่เป็นอมตะอยู่เหนือกาลเวลา

หลวงพ่อซวงไปศึกษาวิชาไสยเวทกับหลวงพ่อแป้น โดยการแนะนำของพระอาจารย์คำ ซึ่งทั้งสองท่านเป็นสหธรรมิกกัน

สำหรับประวัติของพระอาจารย์คำและหลวงพ่อแป้นนั้น ผู้เขียนได้เคยนำเสนอในหน้าพระเครื่อง คม ชัด ลึก มาแล้ว หากท่านผู้อ่านสนใจ หาอ่านได้จากเว็บไซต์ของหนังสือพิมพ์ คม ชัด ลึก (www.komchadluek.net)

อาจารย์ท่านสุดท้ายของหลวงพ่อซวง คือ หลวงพ่อฤทธิ์ เทวะ วัดบ้านสวน ต.บ้านสวน อ.เมือง จ.สุโขทัย (หรือวัดน้อย) โดยมีชื่อเป็นทางราชการว่า วัดฤทธิ์ศิริราษฎร์เจริญธรรม หลวงพ่อฤทธิ์ท่านนี้เป็นพระเถระที่เก่งกล้าทางด้านไสยเวทเป็นอย่างสูง เนื่องจากท่านเป็นศิษย์สายตรงของเจ้าประคุณสมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต พรหมรังสี) วัดระฆัง ธนบุรี

หลวงพ่อซวงไปศึกษาวิชาไสยเวทกับหลวงพ่อฤทธิ์โดยการแนะนำหลวงพ่อแป้น ซึ่งทั้งสองท่านเป็นสหธรรมิกที่สนิทสนมกันมาก โดยหลวงพ่อฤทธิ์มีอายุมากกว่าหลวงพ่อแป้นประมาณ ๑๕ ปี

สำหรับประวัติโดยสังเขปของหลวงพ่อฤทธิ์นั้น เดิมท่านเป็นชาวบ้านคลองตะเคียน ต.บ้านสวน อ.เมือง จ.สุโขทัย ต่อมาเมื่ออายุครบบวช ท่านได้อุปสมบทเป็นพระภิกษุ เมื่อครั้งกิตติคุณชื่อเสียงของสมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต พรหมรังสี) วัดระฆัง มีความโด่งดังมาก ท่านพร้อมกับสหธรรมิกอีก ๒ ท่าน คือ หลวงพ่อเจ๊ก วัดหัวฝ่าย จ.สุโขทัย และ หลวงพ่อแป๊ะ วัดคุ้งยางใหญ่ จ.สุโขทัย ได้เดินทางไปศึกษาสมถะวิปัสสนากรรมฐาน และวิชาไสยเวทกับ สมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต พรหมรังสี) ศึกษาอยู่ถึง ๖ พรรษา จึงสำเร็จ และขอกราบลาเจ้าประคุณสมเด็จโต เพื่อเดินทางกลับมายังบ้านเกิด โดยใช้วิธีธุดงควัตร เพื่อฝึกพลังจิตให้แก่กล้า

ขณะเดินทางท่านได้เข้ากราบนมัสการ หลวงปู่แสง วัดมณีชลขัณฑ์ อ.เมือง จ.ลพบุรี ซึ่งเป็นพระอาจารย์อีกท่านหนึ่งของ สมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต พรหมรังสี) โดยได้ขอศึกษาเคล็ดลับวิชาไสยเวทเพิ่มเติมกับหลวงปู่แสง เพื่อให้มีความเชี่ยวชาญขึ้นไปอีก

ในที่สุด ท่านได้กลับมาจำพรรษาที่วัดบ้านสวนเหมือนเดิม จนกระทั่งได้รับการแต่งตั้งให้เป็นเจ้าอาวาสวัดบ้านสวนในเวลาต่อมา ในสมัยนั้นกิตติคุณชื่อเสียงของท่านโด่งดังมาก

หลวงพ่อฤทธิ์ เป็นพระเถราจารย์ผู้ทรงอภิญญา สามารถแสดงอิทธิฤทธิ์ต่างๆ ได้อย่างน่าอัศจรรย์ อาทิ ย่นระยะทางไปบิณฑบาตที่กรุงเทพฯ ในตอนเช้า กลับมาตอนบ่ายพร้อมอาหารและผลไม้แปลกๆ ที่ชาวบ้านชาวสวนในท้องถิ่นไม่มี, ใช้คาถาแปลงกายให้ตัวเองเป็นจระเข้ได้, ใช้วิชากระสุนคดกำราบชายหนุ่มขี้เมาที่มาเอะอะโวยวายภายในบริเวณวัด, ใช้พลังจิตเรียกฝูงนกอีแร้งที่บินอยู่บนเวหาให้ลงมาหาท่านได้ เป็นต้น

หลวงพ่อฤทธิ์ มีความชำนาญในการสร้างเครื่องรางของขลังประเภทเนื้อชิน วัดของท่านถือเป็นสรรพวิชาทางด้านไสยศาสตร์

นอกจากนี้ท่านยังชำนาญทางตำรับยาสมุนไพร ยากลั่นหรือยาเปรี้ยวของท่านสามารถใช้รักษาคนถูกสุนัขบ้ากัด งูกัด หรือใช้รักษาโรคปวดท้องจากสาเหตุต่างๆ ได้ชะงัดนัก

และที่สุดยอดมาก คือ ท่านยังสำเร็จวิชาเล่นแร่แปรธาตุ สามารถแปลงโลหะธรรมดาให้เป็นทองคำได้ ซึ่งท่านจะทำเป็นครั้งคราว เพื่อหาปัจจัยมาบูรณะและสร้างศาสนสถานภายในวัดบ้านสวน

หลวงพ่อแป้น เป็นผู้แนะนำให้หลวงพ่อซวง ศิษย์ของท่านไปศึกษาไสยเวทเพิ่มเติมกับหลวงพ่อฤทธิ์ เพื่อให้มีความรู้ทางด้านไสยเวทเพิ่มเติมออกไปอีกในหลายๆ ด้าน

เมื่อหลวงพ่อซวง เดินทางไปพบหลวงพ่อฤทธิ์ครั้งแรกที่วัดบ้านสวน หลวงพ่อฤทธิ์ได้ถามหลวงพ่อซวงว่า “พระเถระที่เป็นเพชรเม็ดงามแห่งแดนใต้ ไม่มีแล้วหรือ?”

หลวงพ่อซวง ตอบว่า “ไม่มีขอรับ” ทั้งนี้เป็นการตอบด้วยความเกรงใจ และเกรงว่า หลวงพ่อฤทธิ์จะไม่รับท่านเป็นศิษย์ หลวงพ่อฤทธิ์ได้กล่าวตอบว่า “มีซิ คือ หลวงพ่อแป้น นั่นไง”

หลวงพ่อซวงได้ศึกษาวิชาไสยเวทกับหลวงพ่อฤทธิ์ พร้อมๆ กับ หลวงพ่อห้อม อมโร วัดคูหาสุวรรณ จ.สุโขทัย ซึ่งหลวงพ่อซวงมีอายุมากกว่าหลวงพ่อห้อม ๖ ปี (หลวงพ่อซวงชาตะปี ๒๔๔๒ ส่วนหลวงพ่อห้อมชาตะปี ๒๔๔๘) หลวงพ่อห้อม จึงมักจะเรียกหลวงพ่อซวงว่า “หลวงพี่ซวง” เสมอ

วิชาที่หลวงพ่อซวงศึกษากับหลวงพ่อฤทธิ์มีหลายประเภท เช่น การปฏิบัติสมถะวิปัสสนากรรมฐานขั้นสูง ตำรับยาสมุนไพรต่างๆ อาทิ ยากลั่น หรือยาเปรี้ยว การสร้างเครื่องรางของขลังต่างๆ อาทิ การทำแหวน (แหวนหูมุ้ง) การทำตะกรุด (ตะกรุดมหาอุด-สาลิกา) เป็นต้น

นอกจากนี้ ท่านยังศึกษาวิชากระสุนคด และวิชาเล่นแร่แปรธาตุ เพื่อแปลงโลหะธรรมดาให้เป็นทองคำ

วิชาเล่นแร่แปรธาตุนี้ หลวงพ่อฤทธิ์จะสอนโดยบอกเป็นปริศนา แล้วให้หลวงพ่อซวงไปขบคิดตีความเอาเอง ซึ่งหลวงพ่อซวงใช้เวลาไม่นานก็ตีความได้สำเร็จ

การที่หลวงพ่อซวงเป็นศิษย์ของพระเถระที่เชี่ยวชาญทางไสยเวทถึง ๓ ท่านตามที่กล่าวมานี้ โดยเฉพาะหลวงพ่อฤทธิ์นั้นท่านเป็นศิษย์สายตรงของสมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต พรหมรังสี) จึงทำให้หลวงพ่อซวงเป็นศิษย์ผู้สืบทอดพุทธาคมสายสมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต พรหมรังสี) ตามไปด้วยอย่างสมบูรณ์ หลวงพ่อซวงจึงเป็นพระอริยสงฆ์ และเป็นพระเถราจารย์ที่มีความเก่งกล้าทางด้านไสยเวทในระดับแนวหน้า ไม่เป็นสองรองใคร

วัตถุมงคลที่ท่านได้สร้างไว้ เช่น รูปหล่อ เหรียญหล่อ พระลีลาหล่อ ฯลฯ จึงมีพุทธคุณเปี่ยมล้นในทุกๆ ด้าน เป็นที่ต้องการของนักสะสมพระเครื่องยิ่งนักและมีการเช่าหากันที่ราคาค่อนข้างสูงมากในขณะนี้ ตลอดจนมีแนวโน้มจะเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ สวนกับกระแสของวงการพระเครื่องที่ค่อนข้างซบเซาในขณะนี้

ขอขอบคุณ : http://www.komchadluek.net/

. . . . . . .