กฏแห่งกรรม จากชีวิตจริงของหลวงพ่อจรัญ (พระธรรมสิงหบูราจารย์)

กฏแห่งกรรม จากชีวิตจริงของหลวงพ่อจรัญ (พระธรรมสิงหบูราจารย์)

อาตมาเคยเล่าให้โยมฟัง คนแก่จนอายุ ๘๖ ปีแล้วทอดกฐินตั้งหลายโครม ทอดผ้าป่าไปหลายร้อยโครมแล้วมานั่งรักษาอุโบสถดังที่กล่าวมาแล้วถึง ๓๐ ปีเศษ ตั้งแต่เป็นรุ่นสาว แก่แล้วก็มานั่งอีก แต่ตายไปเป็นเปรตเสียได้ ตายไปเป็นเปรตเพราะเหตุใด ทำบุญเก่ไม่น่าตายไปเป็นเปรต แต่ก็ตายเป็นเปรตด้วยอำนาจโลภะ คุณยายเป็นเศรษฐีมีลูกหลายคนและให้สมบัติแก่ลูกไปหมดแล้วทุกคน แต่อาศัยอยู่กับลูกสาวคนเล็กซึ่งมีสามีเป็นเศรษฐีมีโรงน้ำแข็ง โรงสี เป็นต้น

ต่อมาลูกเขยเล่นการพนันจนสมบัติหมด ต้องขายร้าน ขายโรง ขายไร่ ขายนาจนสิ้นเนื้อประดาตัว กลัวเขาจะยื่นฟ้องล้มละลาย ลูกสวยจึงขอความช่วยเหลือจากคุณแม่ คุณแม่ก็ไม่มีทุนแล้ว เพราะทอดกฐินมากถึงมีก็ไม่พอใช้หนี้ จึงขึ้นไปหาลูกชายคนโตที่เชียงใหม่ขอสมบัติที่มอบให้คืน เพื่อนำมาช่วยลูกสาวคนเล็ก ลูกชายและลูกสะใภ้ก็ยินดีคืนให้ กลับมาก็มอบให้ลูกสาว ลูกสาวก็มอบให้สามี แต่สามีกลับนำไปเล่นการพนันต่อเพราะหมอดูที่วัดหนึ่งบอกว่าเล่นแล้วจะรวยมหาศาล เดือนหน้ารวยแน่ ๆ เลยหมดไม่มีเหลือ คุณยายก็เสียใจจนเป็นโรคหัวใจวายตาย ตายแล้วไม่ไปสวรรค์กลับไปทุคติ เป็นเปรต

อาตมาไปธุระแถวบางมะยม อำเภอท่าวุ้ง จังหวัดลพบุรี ใกล้บ้านกำนันไข่ เด็กสาวอายุ ๑๖ ปี ร้องหวีดหวาดขึ้นมาว่าผีเข้า เด็กคนนี้ไม่รู้ประวัติคุณยายและไม่รู้จักอาตมาด้วย อาตมาไปดู ถามไปถามมาก็รู้ว่าคุณยายนี่เองมาบอกว่าอดหมากเหลือเกินและมาบอกความลับที่ตายไปเพราะเสียใจลูกเล่นการพนันหมด เคยถวายหมากพระเวลาทอดกฐิน ทอดผ้าป่าทุกชนิด แต่คราวนี้ไม่ได้กินหมากไปเป็นเปรตเที่ยวขอเขากินตามบ้าน บุญที่ทำนั้นจะได้ต่อภายหลัง ต้องใช้หนี้กรรมหนัก คืออำนาจโลภะนี้ก่อน นี่อาตมายืนยันเพราะไปเจอเด็กที่ผียายคนนี้ไปเข้า ถามพ่อแม่เด็กว่ารู้จักตระกูลนี้ไหม ก็ไม่รู้จัก แต่ทำไมบอกได้หมดว่าลูกชายคนโตชื่ออะไร ลูกสาวคนเล็กชื่ออะไร เด็กมันจะรู้ได้อย่างไร ขอฝากญาติโยมไปคิดโดยทั่วหน้ากัน

อย่าลืมนะบุญกรรมจากการกระทำของคุณยายรักษาอุโบสถนี่ดิ่งเลย ทั้งวันไม่คุยกับใคร มานั่งเฝ้าศาลาพระเทศน์ก็ติดกัณฑ์เทศน์ไม่พัก แต่ไม่รู้ว่าบุญคือความสุขจากการชำระใจ คุณยายสวดมนต์ก็เก่ง แต่ไม่ปฏิบัติธรรม แล้วบุญที่ทำจะได้หรือ ตอบว่า ได้แต่บาปมาก่อน เพราะอำนาจโลภะจึงไปเป็นเปรตก่อน พอหมดเวรกรรมจากเปรตจึงจะไปสวรรค์ต่อภายหลัง

ตอนที่คุณยายป่วยด้วยความเสียใจ อดข้าว อดปลา มาเป็นเดือนเศษ อาตมาไปเยี่ยม ๒ ครั้ง ชวนมานั่งกรรมฐาน คุณยายบอกว่านั่งไม่ได้ ไม่สบายใจเสียแล้วแก่แล้ว เมื่อก่อนนี้ตอนที่อินทรีย์ยังดีก็ไม่สนใจกรรมฐานเลย สนใจแต่ว่าใครจะมาบอกบุญไม่เคยขัดเลย ต้องทำทุกวัด จึงหาความสุขไม่ได้ ตายไปเป็นเปรต เดี๋ยวนี้ยังไม่ไปผุดไปเกิด แต่ประการใด ยังทรมานอยู่ด้วยอำนาจของโลภะ เรื่องนี้อาตมาประสบมาด้วยตนเอง

ผลกรรมของหลวงพ่อ- เมื่อครั้งประสบอุบัติเหตุทางรถยนต์-คอหัก

อาตมามีประสบการณ์เกี่ยวกับกฎแห่งกรรมที่เราจะต้องรับใช้ เมื่อเรามีจิตมีปัญญาเกิด จะรู้กฎแห่งกรรมทันทีจากการเจริญวิปัสสนากัมมัฏฐาน เวรกรรมตามสนองอาตมา จึงรู้บุญบาป เมื่อก่อนนี้อยู่กับยาย อาตมาไม่สนใจกับพระตลอดกาล เวลาไปวัดหาบของไปทำบุญที่วัด ยายก็ต้องให้เก็บเอาก้อนดินไปด้วยใส่กระบุงไปข้างละ ๓ ก้อน ไปถึงวัดแล้วให้ไปโยนไว้ที่มันเป็นบ่อ เป็นหลุมอยู่ในวัด ยายบอกได้บุญ อาตมาบอกว่าคนอื่นเขาไม่หาบดินไปวัดกันหรอก มีบ้านเราบ้านเดียวอายเขาตาย ยายบอกว่า เราไปวัดเหยียบดินติดเท้ามานี่เป็นกรรมนะเป็นบาป ใช้หนี้สงฆ์ เป็นหนี้สงฆ์มาก เป็นบาปเป็นกรรมแต่แกก็ไม่ได้อธิบาย เขาเล่ากันมาอย่างนี้ แกก็จำมาอย่างนี้ก็ทำมาอย่างนี้ ไม่เหมือนคนเดี๋ยวนี้ว่าไม่บาป บาปได้ยังไงเหยียบแค่นิดเดียว พระก็ถมเอาเองซิ นี่คนรุ่นใหม่เข้าใจอย่างนี้ แต่คนรุ่นเก่าถือนัก เชื่อเข้าไว้ก่อนมันมีประโยชน์ มันได้กำไรชีวิต คือเชื่อกฎแห่งกรรม

อาตมาเป็นเด็กเมื่อมาบวชใหม่ ๆ ไปบ้านญาติที่เขาเป็นนักเลง เป็นโจร เป็นเสือ เขากินเหล้ากัน พอเห็นพระมาเขาเก็บแก้วหมดเลย เอาเหล้าแอบเลย ยังกลัวบาปนะเดี๋ยวนี้ไม่ต้อง กินต่อหน้าพระเลยสบายมาก แถมงานศพเล่นไพ่หน้าศพอุทิศส่วนกุศล แล้วพระก็สวดไปไม่ได้เกรงกลัวบาปกรรมแต่ประการใด เขาว่าบาปกรรมไม่มีแน่นอน เข้าใจอย่างนี้

สร้างกรรม-กินอาหารที่ยายถวายพระ

ตอนอยู่ที่โรงเรียนมัธยม ยังอยู่กะยาย ยายให้เอาอาหารไปถวายพระ แล้วเราก็เอาไปทานเสียเองทั้งคาวทั้งหวาน แล้วก็กลับมาบอกยายว่าไปถวายสมภารแล้ว เดินจากบ้านไปไม่มีรถหรอก เดินไปเป็นระยะทาง ๑ กิโลเมตร อาตมาไปก็ไปเจอเพื่อนนักเรียนที่สร้างความดีมาด้วยกัน หนีโรงเรียนกันสะบัด เพื่อนบอกว่ายังไม่ได้กินข้าวเลย เราก็นึกเลยว่าจะเอาไปให้พระทำไม เราก็ยังไม่ได้กินเลย พรรคพวก ๔-๕ คนด้วยกัน ก็เห็นด้วย เลยตั้งวงกินกันเสียเลย เรียบร้อยล้างปิ่นโตเสร็จกลับบ้าน ยายถามไปวัดเจอสมภารไหมล่ะ บอกยายว่า ผมไม่ได้ขึ้นกุฏิหรอกให้เด็กมันถ่ายปิ่นโตให้ แล้วผมก็มา ยายบอกว่าต่อนี้ไปต้องรับพรด้วยนะ รับพรสมภารมาแล้ว ก็มาบอกยาย ยายจะได้ชื่นใจ แล้วบอกท่านด้วยว่ายายให้เอาอาหารมาถวาย

วันหลังเอาอีกแล้ว ให้ไปอีกก็เจอเพื่อนอีก โรงเรียนปิดก็แบบเดิม กินเสร็จแล้วไปตีผึ้งต่อ ยายถามว่า “ เจอสมภารมั้ย ” เจอครับรับพรเสร็จแล้วผมก็มา แท้ ๆ สมภารดันมาอยู่บนบ้านเรา มาไม่บอกเราเลย มานั่ง นั่งตั้งนานแล้ว วันนั้นสมภารไปฉันบ้านใต้ ฉันเสร็จแล้วก็มานั่งคุยกับยายแวะมาเยี่ยมยาย เราไม่รู้ ไม่บอกเรา เราไม่ทันแหงนดูบนบ้าน สมภารนั่งยิ้ม ยายเป็นคนใจบุญ พระชอบมาเยี่ยมแต่อาตมารำคาญ พอสมภารกลับไปแล้วโดนหนัก บอกว่าบาป ถามว่านี่กี่เที่ยวแล้ว เราบอกว่า ๒ เที่ยวแล้วครับ ยายบอกว่า นี่ต้องเป็นเปรต ปากเท่ารูเข็ม กินข้าวไม่ลง เราก็ถามว่าเปรตสูงกว่าต้นตาลมั้ย ยายบอกว่าไม่เห็น เราไม่เชื่อหรอก ว่าหลอกเรา แต่เราไม่พูด เถียงไม่ได้

โกงค่าเรือจ้าง

ในเวลากาลต่อมา ไปโรงเรียนต้องนั่งเรือจ้างข้ามฟากเดือนละ ๒๕ สตางค์ อาตมาโกงค่าเรือจ้างไม่ให้ค่าเรือจ้าง กินก๋วยเตี๋ยวผัดไทย แถมเลี้ยงเพื่อนด้วยนะ ก็โกงค่าก๋วยเตี๋ยวเขาอีก

ยิงนก-หักคอ-หักขานก

ในเวลาต่อมา โรงเรียนปิดหลายวันเทอมสุดท้ายแล้วครูใหญ่โรงเรียนประชาบาลเขามาขอแรงอาตมาไปยิงปืนไปยิงนก เราก็ไม่รู้บุญบาปมันมีจริงอย่างไร สนุกดีก็เอาปืนลูกซองดาวกระจาย ๕ นัด บอกกับโยมแม่ว่าจะไปติววิชาตอนโรงเรียนปิด อยู่สัก ๗ วันจะกลับมา ขอสตางค์สัก ๑๐๐แม่ก็ให้ตังค์ไป เราจะเอาปืนไปได้ยังไง ก็เอาที่นอนไปด้วยเอาเสื่อออกมาเอาปืนไว้ข้างใน เช้ากินข้าวแล้วก็ออกตามทุ่ง ตามหนองยิงนกเป็ด นกกระสา พอยิงได้จับหักคอใส่ตะข้อง พอนกมันจิก จิกก็ถลกหนังเลย ทรมานเหลือเกิน เราไม่ทราบว่ามันจะมีบาปกรรมแต่ประการใด ล่วงมาอีกวันหนึ่งก็ไปยิงนกกระสาถูกปีกมันหักแล้วมันบินไม่ได้ เราก็ขับมัน เหนื่อยมากแล้วก็จับได้ ทำไง หักขาเลย นกก็ดิ้นร้องจนตาย สรุปให้ฟังที่อาตมาทำบาปกรรม

ต่อมาได้มาบวชในพระพุทธศาสนา พ่อแม่ให้บวชโดยไม่ได้เลื่อมใส ไม่ได้คิดว่าจะมาอยู่อย่างนี้ ก่อนที่จะบวชก็ไปเรียนหนังสืออยู่ที่กรุงเทพฯ ไปอยู่โรงเรียนหลายโรงเรียน อยู่วัดก็ตั้งหลายวัด พอเสร็จจากเรียนหนังสือก็มาบวช กะว่าจะบวชสักพรรษาเดียวท่องเรียน หนังสือไปจนจบหลักสูตรก็ไปเจริญพระกัมมัฏฐานออกป่าดงพงไพร

ใช้หนี้ค่าก๋วยเตี๋ยว

เริ่มมารักษาการเจ้าอาวาสที่วัดนี้ เมื่อ พ.ศ.๒๔๙๙ ปี พ.ศ.๒๕๐๐ ได้รับการแต่งตั้งเป็นเจ้าอาวาสอยู่ที่นี่ก็เริ่มใช้กรรมมาตามลำดับ โดยที่ว่าในปีต่อมาใช้เรื่องก๋วยเตี๋ยวก่อน เรามานั่งสมาธิของเรา มันก็เกิดไปเข้าญาณวิถีของเขาชื่อว่า นางกลุ่ม นางกลุ่มมีสามีชื่อตากิ๊ม เขาไม่รู้ว่าเราโกงก๋วยเตี๋ยวเขา แม่กลุ่มกับตากิ๊มเกิดฝันพร้อมกัน ฝันว่าเทวดามาบอกว่าถ้าต้องการให้ลูกชายหายเกเร แล้วกลับมาเรียนหนังสือละก้อ ให้ไปตามลูกชายมาแล้วให้ไปบวชเณรที่วัดอัมพวัน รับรองแก้ได้แน่เมื่อเป็นเช่นนี้แล้ว โยมกลุ่มก็เอาลูกมา ตากิ๊มมาด้วย อาตมาก็จำได้คลับคล้ายคลับคลา เดินขึ้นมาสามคนบอกว่าจะเอาลูกมาฝากบวชเณร อาตมาก็ถามว่าทำไมไม่บวชที่วัดอื่น โยมกลุ่มก็เลยเล่าให้ฟังว่าที่พาลูกมานี่เพราะฝันไปว่าเทวดามาบอกว่าให้มาบวชที่นี่ ช่วยรับไว้หน่อย

เรานึกแล้วว่าจะต้องได้ใช้หนี้ค่าก๋วยเตี๋ยวเขาแน่ แต่ไม่บอกก็เลยบอกว่าเดี๋ยวจัดการให้ แล้วก็จัดการส่งโยมทั้งสองกลับแล้วก็จัดแจงโกนหัวเลย เรามีเรือยนต์ลำหนึ่งก็วิ่งไปตามพระอุปัชฌาย์ ซื้อผ้าไตร ซื้อรองเท้า ซื้อเสื่ออ่อน ซื้อบาตร ซื้อร่ม ทั้งหมด ๒๐๐ บาท แล้ววิ่งไปหาอุปัชฌาย์บอกเอาเด็กมาบวชเณรครับ บวชเสร็จแล้วก็กลับมานั่งกัมมัฏฐานเดินจงกรม

พอได้ ๗ วัน ก็เลยเล่าเรื่องเก่าของอาตมาให้เณรฟังว่า อาตามานี่โกงค่าก๋วยเตี๋ยวแม่เจ้า แม่เจ้าก็ไม่รู้ แล้วไอ้ผ้าไตรนี่นะ อะไรต่ออะไร ๒๐๐ นี่ กระซิบบอกแม่นะบอกว่าเจ๊ากันไปนะ ไม่ต้องเอามาให้ ถือว่าใช้ค่าก๋วยเตี๋ยวกันไป พอเล่าเสร็จแล้วเณรบอกว่า ผมเกิดศรัทธาเสียแล้วก็ตั้งใจปฏิบัติ

ต่อมาก็ขอสึกว่าจะไปเรียนหนังสือแล้ว ก็สอบได้ในปีนั้น แล้วไปเป็นทหารอากาศต่อมาก็ได้เลื่อนเป็นนายทหารอากาศไปเลย

นี่คือใช้หนี้ค่าก๋วยเตี๋ยว ถ้าไม่ได้ใช้ในชาตินี้ก็ต้องใช้ดอกชาติหน้านะ กฏแห่งกรรมมีจริงแต่กฎแห่งกรรมที่อาตมาประเมินผลและได้ประสบการณ์มารู้ล่วงหน้าได้เพราะใช้สติระลึกก่อนเป็นตัวรู้ล่วงหน้า ตัวสัมปชัญญะตัวผลักดันทำให้แก้ไขเหตุการณ์ ได้ทันเฉพาะหน้า เรียกว่าตัวสัมมปชัญญะ ที่อาตมารู้นี้ก็เนื่องจากว่า เราเจริญสมาธิเจริญสติอยู่ตลอดเวลา ขอให้ท่านไปพิจารณาด้วยตนเองด้วยเจริญกุศลภาวนาไปเรื่อย ๆ ไม่จำเป็นต้องมีเวลาว่างเวลาที่ท่านทำงาน ก็ภาวนาไป หูไปยินเสียงภาวนาไว้เขียนหนังสือภาวนาได้ ตั้งสติไว้ตลอดกาล กัมมัฏฐานมีความสำคัญต่อหน้าที่การงาน

ในเวลาต่อมา อาตามาก็นั่งเจริญภาวนาโดยไม่ได้ขาดแล้วก็มีการอโหสิกรรม และแผ่เมตตาขอให้ท่านเอาไปใช้กันทุกท่าน ก่อนที่จะแผ่เมตตาออกไปต้องอโหสิกรรมก่อนนะ ถ้าไม่อโหสิกรรมออกก่อน ท่านจะแผ่ไม่ออก อโหสิกรรมให้ใจสบายไม่โกรธใครไม่เกลียดใคร ไม่อิจฉา ริษยาใคร แผ่เดี๋ยวนั้น ถึงเดี๋ยวนั้น แล้วก็มีการรับตอบด้วยนะ อันนี้มันเป็นของใครของมัน อาตมาจะบอกกรรมวิธีแบบวิชาการนั้นคงไม่ได้ เพียงแต่แนะแนววิธีปฏิบัติเท่านั้นจากอำนาจของจิตด้วยการใช้สตินั่นเอง

เวลาผ่านมา พอดีไปเยี่ยมร้านเบ๊เต็กเส็งที่บางปะอินเคยแวะไปกินอาหารบ่อย ๆ ต่อมาก็ไม่เอาสตางค์เพราะทุกครั้งไปอาตมาก็จ่ายสตางค์ เขาบอกว่าตั้งแต่อาตมาไปฉันร้านเขานี่ทำให้ร้านเขาขายดีเลยไม่เอาสตางค์ก็ชอบพอกันอยู่ด้วย มาตอนหลังมีคนไปผ่าท้องที่สุขศาลาอนามัยชั้น ๑ บางปะอิน ที่ริมน้ำ อาตมาก็ตั้งใจว่าจะไปเยี่ยมเขา

พอดีคืนนั้นอาตมาก็แผ่เมตตาอโหสิกรรมสติบอกอีกแล้วว่าจะต้องไปใช้หนี้เต่า ที่รับจ้างต้มเต่าตัวละ ๑ บาทให้พวกขี้เมาปรากฏเต่ามันมีความสามัคคีดิ้นเสียจนหม้อดินแตกหนีเข้ากอไผ่ไปหมด กรรมเหล่านี้เราลืมไปหมดแล้ว สติอันหนึ่งก็บอกว่า ระวังพรุ่งนี้อย่าเอาใครไป อาตมาก็ไปกับคนขับรถปิคอัพ ถ้าไปก็ตายหมดเลย ตายหมดแน่นอนอาตมาก็หาเรื่องเพทุบายเขาก็โกรธอย่างร้ายแรงว่าไปชวนเขามาแล้วก็ไม่เอาเขาไป อาตมาก็บอกกะคนขับรถว่าไปเยี่ยมเขานี่เจ้าคอยตั้งเวลาไว้ว่าแค่ ๑๕ นาทีนะ คอยเตือนอาตมาให้รีบกลับด่วนโดยเราคิดแล้วถ้าไม่กลับตามเวลา ๑๕ นาที รถจะคว่ำที่พระนครศรีอยุธยาและเราจะต้องตายเลย ผลสุดท้ายไม่เอาใครไปเลย พอได้ ๑๕ นาที ก็บอกเจ๊ชื่อศรีนวลร้านเบ๊เต๊กเส๊ง อาตมาขอลาละ บอกมีธุระรีบกลับขึ้นรถได้ก็บึ่งเลยความเร็วขนาด ๑๒๐ กม. /ชั่วโมง ขับเป็นการใหญ่ถนนเอเชียเพิ่งสร้างเสร็จใหม่ ๆ ฝนตกฟ้าร้องเป็นการใหญ่ มาถึงอ่างทองฝนก็หยุดที่อำเภอพรหมฯ มันยังตกอยู่ถนนมันลื่น ตรงโค้งวัดคูรถมาด้วยความเร็วก็หมุนเลย รถเสียหลักพวงมาลัยหลวมหมดเลยคว่ำ ๘ รอบศีรษะโดนทั้งบนทั้งล่าง ล็อคประตูไว้จีวรขาด รถบี้ถลอกปอกเปิกหมด ต้องมาปวดแสบปวดร้อนอยู่เป็นเวลาแรมเดือน อาตมาไม่กล้าไปโรงพยาบาลเพราะอายเขา รถบี้หมดต้องเอาแชลงงัด พวกรถมาจอดดูเป็นแถว ดีว่ารถข้างหน้าไม่สวน ถ้าสวนก็คงตายหมดเสียค่าซ่อม ๓-๔ หมื่นบาท ปวดแสบ ปวดร้อน ไปทั้งตัวเลย มันถลอกหมด อันนี้ก็ได้ใช้หนี้เต่าแต่ยังไม่หมด

ใช้หนี้หักคอนก

ในเวลาต่อมา อาตมาก็นั่งสมาธิ ๖ เดือนเศษ ที่จะถึงวาระแห่งความตายก็มีนิมิตบอกอาตมาให้ทราบว่าพระเดชพระคุณท่าน วันที่ ๑๔ ตุลาคม ๒๕๒๑ เที่ยงสี่สิบห้าต้องจากวัด ตายไปใช้หนี้นกที่หักคอ วันที่ ๑๖ ตุลาคม ออกพรรษาอาตมาก็มานึกดูว่าเราต้องลาเขา ก็ประชุมสงฆ์มอบอัฐบริขารเสียสละปลงบริขารให้หมดมอบให้องค์อื่น เงินวัดมีเท่าไหร่มอบให้มัคทายก แล้วก็องค์ไหนจะเป็นสมภารต่อไปก็มอบ อาตมาก็บอกให้พวกโยมผู้หญิงมานั่งกัมมัฏฐานคนละเดือน พอโยมหญิงกลับแล้วเอาโยมผู้ชายมานั่งแทน ต่อไปก็จะไม่มีคนสอนจะขอลาแน่นอนวันที่ ๑๔ ตุลาคม

นี่มันรู้ล่วงหน้าได้ มันมีประโยชน์มากนะ ท่านทั้งหลายถ้ารู้ล่วงหน้าไม่ได้ลำบากมากสติตัวนี้เป็นการรวมผลงานสัมปชัญญะเป็นตัวคำนวณการ นี่สติสัมปชัญญะมันบอกได้ดังนี้ อาตมาก็ขอลาเขาหมดแล้ว แบ่งงานแบ่งภาระหน้าที่แล้ว

อาตมาก็คิดว่าตามหลักพระพุทธเจ้าสอนไหน ๆ เราจะตายแล้วก็ขอลาเขาเสีย แล้วคนที่มาเราก็บอกได้คนที่ไม่มาจะทำยังไง เขาจึงจะรู้ได้ ก็เจริญกัมมัฏฐานเดินจงกรมนั่งกัมมัฏฐาน

มีโยมท่านหนึ่งชื่อโยมชาญ กรศรีทิพา ที่รู้จักอาตมา เนื่องจากว่าบริษัทนายสุเมธ เตชะไพบูลย์ คุณชาญ กรศรีทิพา เขามีโรงงานน้ำตาลที่สิงห์บุรี เขาฝันว่ารัชกาลที่ ๕ ไปเข้าฝันบอกให้เขามาที่วัดนี้ พระบรมฉายาลักษณ์ของท่านที่วัดนี้ เขาก็พูดลักษณะได้ถูกต้องโดยที่รัชกาลที่ ๕ เคยเสด็จทางชลมารค สมัย ร.ศ.๑๒๕ และพระองค์ได้ถวายพระบรมฉายาลักษณ์ตอนพระองค์ขึ้นเสวยราชย์ ในวันนั้นท่านสมภารก็อยู่ด้วย

คุณชาญ พร้อมด้วยคุณสุเมธ ก็เดินเข้ามา อาตมาก็ไม่รู้จัก บอกโยมมีธุระอะไร เมื่อทั้งสองมาเห็นรูปก็เลยเล่าเรื่องที่ฝันให้ฟังก็เลยรู้จักกันเป็นเวลาหลายปี ในเวลาต่อมาอาตมาเห็นว่าคนนี้มีประโยชน์ต่อวัด ถ้าหากเราจะเป็นอะไรไป เราต้องบอกเขาเสียก่อน อันนี้เอาไปใช้ได้ เวลาจะแผ่เมตตากระแสจิตนี่เป็นพลังงานอันหนึ่งอาตมาพิสูจน์ได้เช่นเอาผ้าขาวมากอง แล้วเราเอากระดาษสีมาทับ แล้วเอาพลังงานกระแสแดดหรือไฟฟ้าส่องจะทำให้กระแสนี่ไปติดผ้าขาวได้เหมือนอย่างแผ่ส่วนกุศล ขอให้ท่าน ทำจิตดี ๆ ติดได้แต่ก็หาคนไม่ได้ง่าย ๆ นัก ต้องทำจิตใจให้ได้ถึงก่อน

ส่งกระแสจิตลาตายกลายเป็นตัวหนังสือ

อาตมาก็เริ่มต้นว่าใกล้วันที่ ๑๔ ตุลาคม แล้วเราก็มาสวดมนต์ไหว้พระแล้วก็แผ่เมตตาบอกโยมชาญว่าโยมกับอาตมาก็ชอบกันมาหลายปีแล้ว อาตมาขอลานะวันที่ ๑๔ ตุลาคม อาตมาคอหักแน่ ตายอยู่โรงพยาบาลสิงห์บุรี ก็บอกเขาอย่างนั้นขอลา ในเวลาต่อมาคุณชาญเขาก็ไปทำงานบริษัทไปนั่งเขียนหนังสือไอ้ข้อความที่เราแผ่เมตตาไป ไปติดที่กระดาษเขา ลายมืออาตมาด้วย ตามที่เราแผ่เมตตาตรงกับตัวหนังสือ

วิธีการแผ่ส่วนกุศลท่านทั้งหลายจำตำรานี้ไว้ให้ดี สามารถทำเป็นตัวหนังสือได้สามารถติดที่โน่นที่นี่ได้

ครั้งถึงวันที่ ๑๔ ตุลาคม เที่ยงสี่สิบห้านาที อาตมาก็จำเป็นต้องไปประชุมที่วัดกวิศราราม จังหวัดลพบุรีในวันนั้นด้วย หลวงพ่อธรรมฌาณ เจ้าคณะจังหวัดลพบุรีท่านมีหนังสือมาว่าเขาจะประชุมเจ้าคณะอำเภอกันทั้งหมดที่จังหวัดลพบุรี พอดีวันนั้นนายแพทย์ศิริราชมาเลี้ยงเพลที่วัด พอเลี้ยงเพลเสร็จ อาตมาก็เตรียมตัว รู้แล้วว่า วันนี้เราไม่ได้กลับวัดแน่นอนตามที่เรามีสติรู้ล่วงหน้า ๖ เดือนว่าเราต้องใช้หนี้นก จะใช้อย่างไรกันแน่ คงจะไม่ได้กลับมอบ หมายการงานเรียบร้อยแล้ว โยมผู้หญิงมานั่งกัมมัฏฐาน ๑ เดือน แล้วโยมผู้ชายด้วยมาแทน หลังจากโยมผู้หญิงกลับไปแล้วโยมผู้ชาย จะได้ช่วยกันเอาศพไปไว้วัด เตรียมงานทำนองนี้เป็นต้น

อาตมาก็ลาเขาหมดแล้วก็ขึ้นรถเที่ยงกว่าแล้ว จะตกเที่ยงสามสิบ เปลี่ยนจีวรใหม่หมด เตรียมหนังสือขึ้นรถคิดว่าไม่ได้กลับแล้ว มีนาวาตรีวาด เกษแก้ว ใส่เสื้อขาวกางเกงขาวอาศัยรถไปด้วย ก็คงจะตายพร้อมกับอาตมา ออกจากวัดเลี้ยวขวาเข้าลพบุรีถึงหลังตลาดปากบาง ตอนนั้นพอถึงปั๊มน้ำมันรถเขาก็เปิดไฟเลี้ยวขวา รถตามหลังมา ๓ คัน แซงซ้ายรถทัวร์ทันจิตออกจากปั๊มน้ำมันวิ่งเข้าชนทันที เที่ยงสี่สิบห้าพอดี นาวาตรีวาด เกษแก้วลอยขึ้นหลังรถทัวร์ไปเลย พวกตลาดนึกว่าหนังสือพิมพ์ลอยไปก็เนื่องจากแกใส่เสื้อขาวกางเกงขาว นี่หลังหัก

อาตมาไหล่ชนเหล็กหักไปเลย แล้วกระจกครูดเอาหนังหัวไปอยู่ตรงท้ายทอยหมด หัวขาวเลย คอพับไปที่หน้าอก หมุนได้เลย เลือดเต็มจมูก กระจกมันบาดอาตมาก็บินออกไปแบบนก ออกห่างรถไปประมาณ ๒๐ วา แต่เดชะบุญว่ามือดีอยู่มือหนึ่งจับขึ้นมา อาตมาก็ลองคลำว่าเราคอหักไปหรือนี่ ตาไม่สัมผัส หูไม่สัมผัสตายหมดแล้วทั้งตัว แต่มีสติดีแต่กลับไปหายใจได้ที่ท้อง พองหนอยุบหนอ ใช้ได้นะ ใครอยากจะรู้ว่าสะดือหายใจได้ลองไปคอหักดูนะ คนขับก็สลบ อาตมายังพูดได้เพราะสติดีอยู่ที่ลิ้นปี่จำไว้ แล้วหายใจทางสะดือได้ ทำไมหายใจได้ นึกถึงในท้องได้ที่เราอยู่ในท้องแม่กินอาหารทางสะดือแน่นอน หายใจได้ พองหนอ ยุบหนอตลอดเวลาเลยได้ตำราเพิ่มขึ้น แต่ต้องทำได้ก่อนนะ ต้องมาฝึกกันให้รู้สติ ตื่นมีสติ หลับมีสติ รู้แน่อาตมาก็พูดว่าโยมช่วยอุ้มหน่อย ไอ้พวกที่ไปมุงดูกันก็ไม่ยอมอุ้ม หัวเละแต่ยังพูดได้ ที่เข้าใจว่าหัวเละเพราะหนังไม่มีจนตำรวจทางหลวงมาบอกว่าไม่ตาย ถ้าตำรวจไม่มาเราก็คงจะจมอยู่ตรงนั้น

กรรมต้มเต่ามาซ้ำ

พอดีตรงนั้นเขาทำอิฐ เถ้าแก่เขาก็ขับรถมา อาตมามือยังดีอยู่อีกข้างก็เสยคางไว้ มันไม่มีความรู้สึก พอรถแล่นถึงวิทยาลัยเกษตรได้ยินเสียงแว่วแผ่วมาแต่ไกล เสียงดังนี้สมน้ำหน้า ๆ ได้ยินมาเรื่อย ๆ เดี๋ยวต้องซ้ำ คอหักแล้วยังไม่สงสารจะมาซ้ำ สักประเดี๋ยวเห็นเต่า พอเห็นเต่าเท่านั้นแหละฝาหม้อน้ำรถอยู่ตรงนั้นหลุดพรวด ลวกเอาเราคนเดียวตายจริงเปียกหมดเลย ไอ้แขนยังดีอยู่ก็ร้อนนะซิแล้วกระเด็นไปถูกคนขับ ไอ้คนที่ประคองอาตมาไปบอกว่าหยุด ๆ เดี๋ยวคนหลังจะตาย ไอ้เต่ามาซ้ำเราอีก สงสัยใช้หนี้ตอนนั้นยังไม่หมด รถไปถึงโรงพยาบาลน้ำแห้งพอดีหมดพอดีเลย

อาตมาก็ขออธิษฐานว่าข้าพเจ้าขอให้ไปสบาย รู้แล้วเข้าใจแล้ว ขออโหสิกรรมทุกอย่างกับโลกมนุษย์ ในเมื่อข้าพเจ้ายังใช้หนี้ในโลกมนุษย์ไม่หมด ขอให้ข้าพเจ้าไปใช้หนี้ในชาติต่อไป ประการที่ ๒ ถ้าข้าพเจ้าใช้หนี้ในโลกมนุษย์หมดแล้ว ขอให้ข้าพเจ้าไป ณ บัดนี้ อย่าได้ทรมานต่อไปอธิษฐาน ๒ ข้อ

วันนั้น พอดีผู้อำนวยการโรงพยาบาลไม่อยู่เขาไปบ้านเขาทางวัดเกษ อยู่แต่นายแพทย์ใหญ่หมอสมหมายก็วิ่งไปจากบ้านรู้ข่าวว่ารถชนอาตมา ก็เอาเข้าห้องฉายเอกซเรย์เขาพูดกันได้ยินแว่ว ๆ บอกไม่มีทางหมอใหญ่บอกไม่มีทาง หมอใหญ่สั่งให้อาตมานอนตรง ๆ บนรถซึ่งมีลูกล้อเล็ก ๆ ให้บุรุษพยาบาลเอาเข้าห้อง ไอ ซี ยู โดยด่วนจัดการเย็บหนังที่มีถลกไปก่อน

อาตมาก็อธิษฐานไปเรื่อย ๆ มือยังดีมีอยู่อีกมือหนึ่ง นอกนั้นตายหมดแล้ว แต่ยังหายใจได้ที่ท้องพองหนอ ยุบหนอตลอดก็แบ่งวาระบุรุษพยาบาล ๒ คน ก็ไสรถเต็มที่รถก็เกิดตกร่องประตูเหล็ก โครม ล้อพังหมด แพทย์อีกคนบอกตายเสียแล้วละมังหว่า เปล่าเลย คอลั่นกร๊วบเข้าที่เลย คือติดเลย ลืมตาเห็นเลย หายใจไม่ออก พอคอติดปวดก้นแทบหลุด เลยทำให้ได้ความรู้เพิ่มขึ้นอีก ๒ ข้อ ได้ความรู้ยังไง หมายความว่าถูกจุดประสาท ประสาทคอกับประสาทก้นเป็นเส้นเดียวกัน เข้าไปในห้องฉุกเฉินเขาก็เริ่มดึงหนังมาเย็บ หมอก็สงสัยว่าอาตมาจะเป็นอัมพาตไม่ดีขึ้น บุรุษพยาบาลบอกว่าเป็นเพราะอั๊วนะถ้าอั๊วไม่ไสรถตกร่อง คอจะต่อติดหรือ กลับมีบุญคุณเสียอีก อาตมาก็นึกว่าเรารักษาได้ เพราะมีแรงขาแข็งถีบได้ทั้งนั้นนางพยาบาลหมอก็ให้เราบีบมือ หากว่าเราจะไม่มีแรงอันนี้ก็เป็นบุญวาสนา

พอรุ่งเช้า คุณชาญมา ถือหนังสือ โทรจิตมาด้วยบอกนี่ท่านทำไมต้องเขียนหนังสือมาวันก่อนผมไปพบ ท่านทำไมไม่บอกผม ทำไมต้องเขียนหนังสือฝากเขาไป อาตมามาบอกเปล่า ว่าไม่ได้เขียน เขาว่านี่ไงล่ะลายมือท่าน

ผู้อำนวยการโรงพยาบาลสิงห์บุรีก็ไม่รู้จะทำยังไงก็โทรศัพท์ไปหาผู้อำนวยการโรงพยาบาลเลิดสินอาจารย์เขาคือ หมดประดิษฐ์ ถามว่าหลวงพ่อองค์นี้คอหักแล้วไม่ตายทำไงดี หมอประดิษฐ์บอกผมก็ไม่เคยเห็น ขอให้เอาตัวมาดู

รุ่งขึ้นเขาก็หามอาตมาขึ้นรถไปโรงพยาบาลเลิดสินหามไปอาตมาพลิกไม่ได้ ยกแข้งขาได้ลุกไม่ได้ ก็หามขึ้นไปชั้น ๒ หมอประดิษฐ์ก็มาตรวจเอาแพทย์มาวิจัยกันใหญ่ หมอประดิษฐ์ก็บอกขอทำเอง ก็เอาผ้ามาแช่น้ำมาพันใส่เฝือก ๑๕ นาที อาตมาเดินลุกขึ้นได้ ขากลับขึ้นรถกลับจังหวัดสิงห์บุรี มันก็แปลกดีแขกมาเยี่ยมกันมากมาย ต่างจังหวัดมากันเยอะ เขาลือกันว่าอาตมาคอหักไม่ตาย ขนมนมเนยเยอะแยะไปหมด อาตมานึก เวลากินได้ไม่มาเยี่ยม เวลาจะตายจะซื้อมาทำไม รู้ว่ากินไม่ได้ก็เอามาให้กิน คนกินได้ไม่ค่อยให้

พอกลับมาวัดได้ อาตมาก็คุยทั้งวันเพราะมีคนมาเยี่ยมมากมาย หมอประดิษฐ์ก็สั่งมาบอกว่าอย่าให้คุยมากคุยมากแล้วแผลจะหายช้า ให้ฉันยานอนหลับก็นอนไม่หลับ ฉีดยานอนหลับก็ไม่หลับ จนนางพยาบาลว่าหลวงพ่อสู้ยา หมอประดิษฐ์รู้ก็ออกอุบายว่าให้เข้ามาโรงพยาบาลเลิดสิน จะถอดเฝือกให้ อาตมาก็ดีใจรีบไป พอไปถึงเขาก็ถอดเฝือกให้จริง ๆ พอตัดเฝือกออกก็เลยเป็นลม ครั้นพอพักสักประเดี๋ยว หมอบอกว่า หลวงพ่อเดี๋ยวใส่ใหม่ ผมหลอกท่านมาไม่งั้นท่านไม่มา เอาใส่ใหม่เพิ่มอีก ๔ กิโล พอใส่ได้สัก ๑๕ นาที อ้าปากไม่ออกเป็นฤาษีเลย

เปรตปากเท่ารู้เข็ม

พอกลับไปถึงสิงห์บุรี เราก็จะแย่อ้าปากไม่ขึ้น ผลสุดท้ายก็หิวน้ำเหลือเกิน กินไม่ได้ต้องหยอดด้วยหลอดกาแฟ ต้องดูด ดูดก็ไม่เข้า เวลาฉันข้าว ก็ใส่เข้าไปข้าง ๆ เลยมานึกในใจนึกถึงยายได้ เจ้าต้องเป็นเปรตปากเท่ารู้เข็มกินอะไรไม่ได้จริง ๆ ตั้ง ๕๐ วัน นอกเหนือจากกินไม่ได้แล้ว พูดไม่ได้ด้วยพออ้าปากมาก ๆ ไอ้ข้างบนขบแล้วเลือดไหล เวลาฉันข้าวก็ต้องขยับเลือดไหล จะกินอะไรก็ต้องป้อนเราต้องมาทรมานเป็นเปรต ก็เลยนึกถึงคำยายว่าต้องเป็นเปรตเพราะไปกินข้าวที่ให้ไปถวายพระ

หลังจากที่อาตมากลับมาจากโรงพยาบาลแล้ว ๕๐ วันเท่านั้น กลับมานึกในใจว่า เราต้องใช้หนี้โลกมนุษย์ก็เริ่มถมดินรอบวัด ก็เริ่มสร้างหอประชุมนี้ เพื่อจะอบรมต่อไป ตั้งใจไว้อย่างนั้น ต้องใช้หนี้โลกมนุษย์ ด้วยการเผยแผ่พระธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้า จะไม่ขอสร้างวัตถุต่อไป แล้ว ในที่สุด มีการทำบุญรับขวัญ โยมก็มาทำบุญกันมาก ในครั้งสุดท้ายนายชาญ กรศรีทิพากับนายสุเมธ เตชะไพบูลย์ ทั้งสองท่านนี้ก็มาทำบุญรับขวัญให้อาตมา แล้วนำเอากระดาษที่มีตัวหนังสือมาด้วย วันนั้นแกก็พับอย่างดีมา พอทำบุญเสร็จเรียบร้อยอุทิศกุศลเรียบร้อยดีแล้ว แกก็เอากระดาษออกมาว่าจะเอามาอ่านให้เขาฟัง ปรากฏว่าตัวหนังสือไม่มี มีแต่กระดาษเปล่า เดี๋ยวนี้ก็ยังเก็บใส่กรอบไว้ดูเป็นที่ระลึก

จากหนังสือเพื่อชีวิตที่รุ่งเรือง

พระธรรมสิงหบุราจารย์ (หลวงพ่อจรัญ ฐิติธัมโม)

เจ้าคณะจังหวัดสิงห์บุรี

ขอบคุณข้อมูล : http://www.kanlayanatam.com/sara/sara49.htm

. . . . . . .