เรื่องผัสสะเป็นสิ่งที่ต้องรู้จักและควบคุม โดย ท่านพุทธทาส ภิกขุ
หน้าที่ 1 – วิญญาณ
มันก็สรุปอยู่ในเรื่องนี้ มันเป็นเพียงคำพูดคำเดียว ถ้าเข้าใจถือเอาว่าได้ จะเป็นผลมาก จะมีผลมาก ท่ายลองทายดูว่า จะ จะพูดว่าอะไร จะได้แกะคำว่าอะไร อาตมาเชื่อว่าคงทายผิด ไม่เชื่อก็ลองทายดูก่อนว่าอาตมาจะพูดว่าอะไร คำเดียวสำหรับหมดทุกเรื่อง ทายแล้วนะ คำเดียวคำนั้นคือคำว่า ผัสสะ ถูกไหม ใครทายถูกบ้าง คือเรื่องผัสสะเรื่องนี้เป็นเรื่องเป็นเรื่องครอบหมดในบรรดาธรรมะ ธรรมศึกษาธรรมะปฏิบัติ ธรรมมะอะไรก็ตาม มันไปรวมอยู่ที่คำๆเดียว เหมือนกับเป็นขั้วของเรื่องเป็นต้นขั้วของเรื่อง คือคำว่าผัสสะ จะมีคำให้ท่องจำง่ายๆ เกี่ยวกับผัสสะ มีอยู่ว่า ความทุกข์เกิดที่จิต เพราะทำทำผิดเรื่องผัสสะ ความทุกข์จะไม่โผล่
ถ้าไม่โง่เรื่องผัสสะ ความทุกข์เกิดไม่ได้ ถ้าเข้าใจเรื่องผัสสะ นั่นมันไปรวมอยู่ที่ผัสสะคำเดียวก็เหลืออยู่แต่ว่ารู้จักหรือเปล่า ว่าไอ้เรื่องผัสสะนั้นคืออะไร ผัสสะ ผัสสะนี่คืออะไร ที่จริงก็เคยได้ยินได้ฟังอยู่เป็นประจำ แต่จะไม่สนใจก็ได้ คำว่าผัสสะ แปลว่า กระทบ ความหมายกลางๆ แปลว่า กระทบ ในภาษธรรมะนี้หมายถึง กระทบทางตา กระทบทางหู กระทบทางจมูก กระทบทางลิ้น กระทบทางผิวหนัง กระทบทางใจเอง รวมเป็น 6 ทาง ใน 6 ทางนี้เป็นเรื่องที่ต้องศึกษาเบื้องต้นเบื้องแรกเลยทีเดียว ผัสสะก็เกิดจากการกระทบ 6 ทางนี้ ถ้าจะเรียนกันอย่างถูกต้องแท้จริง ก็ให้ถือว่า ไอ้ในเรื่องตาหูจมูกลิ้นกายใจมันก็คือ ก ข ก ข ก กา หรือเอ บี ซี ก็ได้ ของพระพุทธศาสนา เรื่องตาหูจมูกลิ้นกายใจ เป็นเรื่องก ข ก กา เคยเรียนทีแรกของพระพุทธศาสนา เพราะมีตาหูจมูกลิ้นกายใจ มันจึงมีผัสสะ มีอะไรมากระทบทางตาก็เกิดการเห็นทางตา มีเสียงมากระทบหู ก็เกิดความรู้สึกทางหู มีกลิ่นมากระทบทางจมูก ก็รู้สึกทางจมูก รู้กลิ่นทางจมูก มีรสมากระทบลิ้น ก็รู้รสทางลิ้น กระทบผิวหนัง ก็รู้สึกสัมผัสผิวหนัง กระทบจิต ก็รู้สึกที่จิต
อย่าฟังแต่คำพูดหรือ หนังสือ ทุกคนมีผัสสะอยู่ทุกวันแทบจะตลอดวันไม่ตาก็หูไม่หูก็จมูกลิ้นกายใจมีอยู่ ขอให้ทำความรู้จักกับผัสสะตัวจริงโดยตรงเสียก่อน อย่าสักแต่ว่าเป็นคำพูด ทีนี้ก็ดูผัสสะว่า มันเป็นจุดรวมของทั้งหมดอย่างไร เอาตามที่พระพุทธเจ้าตรัส ชนกกรรม กรรมการกระทำ มันก็เกิดจากผัสสะ ผัสสะ ผัสสะตอนแรกต้องการอะไรมันก็ทำกรรมอย่างนั้นแหละ แล้วไปสัมผัสอะไรเข้า ถูกใจมันก็จะทำกรรมที่จะเอา ไม่ถูกใจมันก็ทำกรรมที่มันจะทำลาย จึงกล่าวได้เป็นขึ้นแรกว่า ผัสสะให้เกิดการกระทำกรรม กรรมทั้งหลาย กรรมดี กรรมชั่ว ไม่ดี ไม่ชั่ว กรรมทั้งหลายทั้งหมดทั้งสิ้น เล็ก ใหญ่อะไรก็ตาม ผัสสะนั้นเป็นต้นเหตุให้กระทำ เราไปผัสสะอะไรเข้าแล้วมันก็รู้สึกค่าของสิ่งนั้นแล้วมันก็อยาก แล้วมันก็ทำ ที่เรียกกันว่า กรรมทั้งปวง มีผัสสะเป็นปัจจัย นี่จะให้ละเอียดเข้ามาก็ว่าสังขาร สังขาร คือความคิด การปรุงแต่งทางจิตในรูปจองความคิดเรียกว่า สังขาร เราไปผัสสะอะไรเข้าแล้วเราจะเกิดความคิดเกี่ยวกับผัสสะนั้น เรียกว่า การปรุงแต่งทางจิต คือ สังขารเกิดมาจากผัสสะ กาม
ทีนี้มาถึงกามแล้วก็กาม อารมณ์กามคือ รูปเสียงกลิ่นรส ที่น่าพอใจ ในตัวกามเองคือกิเลสที่รักพอใจ ตำหนักไปในความตริตรึกตำหนัก พอใจตาม ติตรึกๆๆ นั้นนะ คือตัวกิเลสกาม มันต้องมีผัสสะในสิ่งใดที่เป็นที่ถูกอกถูกใจ พอใจเป็นที่ชอบใจมีนก็เกิดความรู้สึกที่เป็นกามภายในและก็แสวงหาเหยื่อของกามภายนอก คือ รูปเสียง กลิ่น รส ที่เป็นที่พอใจ ถ้าไม่มีผัสสะความรู้สึกที่เป็นกามเกิดไม่ได้ ยิ่งพูดแล้วว่ากามทั้งหลายมาจากผัสสะเกิดจากผัสสะ ทีนี้ที่มันละเอียดมากกว่านั้นว่า เวทนา เกิดจากผัสสะที่เป็นบทที่ได้ยินได้ฟังกันอยู่แล้วว่า เพราะมีผัสสะมีเวทนา ที่เกือบจะไม่ต้องอธิบายแล้วมั้ง พอมีผัสสะก็มีเวทนา สุขเวทนา ทุกขเวทนา สุขทุขเวทนา ถ้ามีเวทนามันก็มีตัณหา มีความอยากไปตามความหมายของเวทนา เวทนาพอใจก็อยากได้เวทนาไม่พอใจ ก็อยากฆ่าอยากทำลาย
เวทนาที่ยังไม่รู้ว่าอะไรก็สงสัยติดพันไปตามเรื่อง พูดได้ว่าเวทนาทั้งหลายมาจากผัสสะหรือตัณหาทั้งหลายก็มาจากผัสสะ เวทนาคือสิ่งที่เลวร้าย ในทางบังคับมนุษย์ใสหัวใสคอมนุษย์จะไปทำอะไรก็ได้ อย่างมากก็เวทนา ถ้าเวทนาเกิดตัณหา ตัณหามันเป็นเรื่องชักจูงไป ตัณหามาจากผัสสะ เวทนาก็มาจากผัสสะ สัญญา สัญญา ความสำคัญว่าอะไรเป็นอะไร สำคัญมันหมายด้วยความจำก็ได้ ความหมายมั่นก็ได้ สัญญาว่าเป็นนั่นเป็นนี่ มันก็มาจากผัสสะ สัญญาว่าสุขก็มาจากผัสสะ ที่พบสุขเวทนา สัญญาว่าทุกข์ ก็มาจากผัสสะ ที่พบทุกขเวทนา สัญญาว่าผู้หญิง ก็เพราะสัมผัสผู้หญิง สัญญาว่าผู้ชาย ก็เพราะสัมผัสผู้ชาย สัญญาทั้งหลายมีหลายสิบอย่างหลายร้อยอย่างล้วนแต่มาจากผัสสะคอการกระทบ ทีนี้ก็มาถึง ทิฐิ รู้สึกอย่างไร สำคัญมันหมายอย่างไรก็มีทิฐิอย่างนั้น เราสัมผัสสิ่งใดด้วยจิตใจ มันก็เกิดผลสรุปความว่า สิ่งนั้นเป็นอย่างนั้น สัมผัสผิดๆ มันก็เกิดขึ้นทิฐิผิดๆ สัมผัสถูกต้อง มันก็เกิดทิฐิถูกต้อง ใจของเราไปสัมผัสสิ่งใดมีผลสะท้อนมาอย่างไร ก็สร้างทิฐินั้นแก่บุคคลนั้นๆ เราสัมผัสคำสอนตายแล้วเกิด แล้วก็มีทิฐิว่าตายแล้วเกิดในตรงกันข้าม ตายแล้วศูนย์
เกิดทิฐิว่ามันไม่มีอะไรเลยยังนี้ก็ได้ แล้วแต่ว่าจิตมันไปสัมผัสเข้าที่อะไร ผิดถูกอย่างไร ทิฐิทั้งหลายที่เรียกว่า 62 ประการล้วนมันมาจากผัสสะ ชั้นตื้น ชั้นลึก ชั้นละเอียด ชั้นหยาบ ล้วนแต่มาจากผัสสะ ดูจะไม่มีอะไรเหลือแล้วมั้ง ทีนี้ก็จะสรุปความว่า โลก ทั้งโลก ไม่ว่าโลกไหนโลกข้างนอกโลกข้างในโลกหยาบโลกละเอียดทั้งหมด ทุกๆโลกมันมาจากผัสสะ
ถ้าไม่มีผัสสะต่อสิ่งนั้นก็ไม่มีโลก แล้วนี่ตาของเราเห็นอะไร คือเห็นนี่ๆคือโลก ทางตา หูได้ยินเสียงอะไร ก็คือโลกทางหู จมูกได้กลิ่นอะไร ก็คือโลกทางจมูกรส มีรสอย่างไร ก็คือรสทางลิ้น โลกที่สัมผัสด้วย��
http://www.vcharkarn.com/varticle/34820