สุดยอดเคล็ดฝึกจิต หลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน.

สุดยอดเคล็ดฝึกจิต หลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน.

การฝึกจิตทุกคนให้ใช้ปัญญานะ อย่าสักแต่ว่าทำสุ่มสี่สุ่มห้า ให้ใช้สติปัญญาพิจารณาเหตุผลของตัวเองที่บำเพ็ญไปเป็นยังไงต่อยังไงให้เทียบ นี้ได้พิจารณามาตลอดดังที่เคยพูดให้ฟัง จิตเจริญแล้วเสื่อมๆ มันเป็นยังไง ปีกับห้าเดือนเราก็ไม่ลืม คือมันเป็นอย่างนั้นแล้วมันสดๆ ร้อนๆ นะ ทุกข์ที่สุดผู้ที่มีสมาธิภาวนาแล้วจิตเสื่อมลงไปนี้ ทุกข์มากยิ่งกว่าคนที่เขาไม่เคยภาวนานะ คือมันเห็นผลเป็นที่พอใจแล้ว เหมือนว่าเราได้เงินเป็นล้านๆๆ นะ ทีนี้มาเสื่อมไปหมดเลยไม่มีอะไรติดเนื้อติดตัว เหมือนเขามีเงินเป็นล้านๆ ล่มจมไปด้วยเหตุใดเหตุหนึ่ง แม้จะมีเงินอยู่ในบ้านในเรือนเป็นหมื่นเป็นแสนก็ไม่มีความหมาย จิตมันไปเกาะอยู่กับสมบัติที่ล่มจมไปนั้นเป็นกองทุกข์มาก

ทีนี้ภาวนาของเราก็เหมือนกัน เวลาจิตเสื่อมนี้ไม่มีอะไรในตัว หมดเนื้อหมดตัว มีแต่กองทุกข์สุมอยู่ทั้งวันทั้งคืน พยายามตั้งขึ้นๆ ๑๔-๑๕ วัน ตั้งขึ้นได้เพียงสองคืนแล้วเสื่อมลงต่อหน้าต่อตา เสื่อมลงอย่างอุตลุดเลยไม่ได้ฟังเสียงใคร จึงเอามาทดสอบดู เอ๊ะ มันเป็นยังไง เราก็พยายามดันขึ้น ไปถึงนั้นแล้วเสื่อมลงต่อหน้าต่อตา เป็นอย่างนี้มาได้ปีกับห้าเดือน ทุกข์มากที่สุดนะ คนผู้มีจิตเจริญแล้วเสื่อมนี้ทุกข์มากที่สุด ยิ่งกว่าเขาไม่เคยภาวนานะ คือมันเคยเห็นรายได้มาแล้ว มันไปล่มจมเอาเสียด้วยเหตุใดเหตุหนึ่ง ดังที่กล่าวตะกี้นี้ว่าเหมือนเขามีเงินล้านนั่นละ ไปล่มจมเอาเสียทุกข์มากนะ คนนี้ทุกข์มากยิ่งกว่าตาสีตาสาหากินอยู่ตามท้องนาเป็นไหนๆ

คือเวลาจิตมันเจริญแล้ว มันเห็นความแปลกประหลาดอัศจรรย์อยู่ในใจประจำตลอด แต่เสื่อมลงไปแล้วมีแต่ฟืนแต่ไฟเผาไหม้มันทุกข์มาก จึงได้มาทดสอบมันเป็นเพราะเหตุไร เราก็ตั้งสติพยายามทั้งวันทั้งคืนมันก็เจริญขึ้นไป ถึง ๑๔-๑๕ วันเจริญ ถึงนั้นแล้วอยู่เพียงสองคืน คืนสามนี้เสื่อม เหมือนกลิ้งครกลงมาจากภูเขาอะไรห้ามไม่อยู่ ผึงเลย ไม่มีอะไรติดตัว หมดกำลัง เอ้า เอาอีกๆ อยู่อย่างนั้น เป็นอย่างนั้นตลอดมา พอถึงสองคืนสามคืนแล้วไม่อยู่ เสื่อม ทีนี้จึงมาพิจารณาทดสอบเหตุผลกลไก เอ๊ นี่จะเป็นเพราะเราขาดคำบริกรรมภาวนา สติอาจจะเผลอไปตอนนั้นก็ได้จิตถึงได้เสื่อม เอ้า ทีนี้ตั้งใหม่ มีข้องใจอยู่จุดนี้เท่านั้นแหละ ทีนี้จะเอาคำบริกรรมติดกับใจ

เพราะไม่มีงานอะไรมีแต่งานภาวนาอย่างเดียว แล้วอยู่คนเดียวเสียด้วย เอาละที่นี่พิจารณาลงตัวแล้ว คือจะเป็นเพราะขาดคำบริกรรม สติอาจจะขาดไปตรงนั้นก็ได้จิตถึงได้มีเวลาเสื่อมได้ คราวนี้จะเอาคำบริกรรมให้ติดกับจิต และสติให้ติดแนบอยู่กับคำบริกรรมไม่ยอมให้เผลอเลย เอา ทีนี้มันจะเสื่อมไปทางไหนให้รู้กันตรงนี้ พอลงใจแล้วก็เอาละที่นี่ แต่มันจริงจังมากนะเรา เหมือนระฆังดังเป๋งนี้ต่อยกันแล้วนักมวย คำบริกรรมกับคำไม่ให้เผลอ พอเอาละที่นี่ระฆังเป๋งก็ใส่ปุ๊บเลย ไม่ให้เผลอ ตั้งแต่เริ่มปั๊บไม่ให้เผลอเลย ทั้งวันไม่ยอมให้เผลอไปไหน ให้อยู่กับคำบริกรรมคือพุทโธ เราชอบพุทโธ ติดอยู่กับคำบริกรรม โลกนี้เหมือนไม่มี มีแต่คำบริกรรมติดกับหัวใจอยู่อย่างนั้นตลอดทั้งวัน

มันอยากคิดอยากปรุงนี้เหมือนอกจะแตกนะ ถึงรู้ได้ชัดว่าสังขารนี้สำคัญมากมันดันออกมา สังขารเป็นสังขารสมุทัย อวิชฺชาปจฺจยา สงฺขารา สังขารสมุทัยมันดันออกอยากคิด พอมันคิดมันปรุงมันไปกว้านเอาฟืนเอาไฟมาเผาเรา นั่นละเสื่อมตรงนั้น ทีนี้ไม่ยอมให้คิด มันอยากจะคิดอกจะแตก เอ้า แตก ไม่ยอมให้คิดเลย ให้คิดแต่คำว่าพุทโธอันเป็นงานของธรรมเท่านั้น วันแรกเหมือนอกจะแตก วันหลังรู้สึกจะเบาลง แต่ไม่เผลอเหมือนกัน ความเผลอไม่ให้มีเลย ทั้งวันนี้ไม่ให้เผลอเลย ทุกข์มากไหม ตั้งสติไม่ให้เผลอทั้งวันไปเลยเชียว เรื่องเผลอไม่ให้เผลอเลย กี่วันก็ตามไม่ให้เผลอ

พอสามวันไปแล้วค่อยอ่อน ความดันอยากปรุงอยากคิดอะไรนี้ค่อยอ่อนลงๆ ๓-๔ วัน ๕ วัน ทีนี้สงบ นั่น ทีนี้เปลี่ยนละที่นี่เป็นใจสงบละ เรื่องสังขารไม่กวน สังขารความคิดความปรุงไม่กวน ต่อไปจิตก็ค่อยก้าวขึ้นๆ ละเอียดเข้าไปๆ จนกระทั่งไปถึงที่ที่มันเคยเสื่อม มันจะเสื่อมที่นี่ เอ้าๆ เสื่อมไปบอกเลย ได้หักห้ามกันพอแล้ว ยังไงมันก็ไม่อยู่คราวนี้ปล่อยเลย เอา อยากเสื่อมเสื่อมไป แต่คำบริกรรมกับสตินี้จะไม่ยอมปล่อย มันจะเสื่อมที่ตรงไหนให้รู้กัน พอไปถึงนั้นแล้วก็ปล่อยเลย แต่พุทโธกับสติไม่ยอมปล่อย

พอถึงนั้นแล้วจะเสื่อม เอ้า เสื่อม พอถึงขั้นมันแล้วนะ ถึงนั่นแล้วมันจะเสื่อม ทุกครั้งๆ เป็นอย่างนั้น ทีนี้ปล่อยเลย เอ้าๆ เสื่อมไป แต่คำบริกรรมกับสตินี้จะไม่ยอมปล่อย ติดกับคำบริกรรมเลย พอไปถึงนั้นแล้วว่ามันจะเสื่อมไม่ห่วงใย ปล่อยเลย เอ้า จะเสื่อมให้เสื่อมไป พอถึงนั้นแล้วทีนี้ไม่เสื่อมนะ เอ้า เสื่อมบอกเลย มึงอยากเสื่อมมึงเสื่อมไป กูไม่ยอมเสื่อมกับคำบริกรรมกับสติซัดขึ้นไป ทีนี้ไม่เสื่อม แล้วขึ้นไปเรื่อยๆ แทนที่ไปถึงนั้นแล้วจะลงไม่ลง ขึ้นเรื่อยๆ ขึ้นไปจนกระทั่งจิตแนบสนิทๆ จนกระทั่งที่ว่าจิตเรานี้ภาวนาๆ พุทโธๆ อยู่นี้ เวลาจิตละเอียดจิตอิ่มตัวแล้วคำว่าพุทโธหายนะ พอไปถึงนั้นแล้วพุทโธหายเงียบเลย ปรุงไม่ขึ้น คิดอะไรก็ไม่มี เหลือแต่ความรู้ที่ละเอียดแน่วกับสติ

อ้าว ทำไมเป็นอย่างนี้ล่ะ สงสัยนะ ก็พุทโธๆ ติดกันมาตลอดตั้งแต่วันตั้งคำบริกรรม แล้วนี้มันหายไปไหนเงียบเลย ตั้งไม่ขึ้น จิตมันละเอียดเต็มที่ เรียกว่ามันอิ่มตัว อิ่มคำบริกรรมเข้าพัก พูดง่ายๆ พัก ไม่ปรุงอะไรเลย คิดอะไรก็ไม่ออก อย่าว่าแต่พุทโธ จะคิดเรื่องใดก็ไม่ออก หมดความปรุง เอ้า อยู่นี้ก่อน คำว่าหมดคำบริกรรมนี้จิตมันละเอียดนะ ให้สติจับอยู่กับนั้น จับอยู่กับความรู้ที่ละเอียด ส่วนสตินี้ไม่ให้เผลอ ทีนี้พอมันได้จังหวะนี้มันก็คลี่คลายออกมา คือจิตสงบเหมือนเราตื่นนอน พอมันคลี่คลายออกมานึกคำบริกรรมได้ นึกพุทโธได้พุทโธต่อเรื่อยเลย

ทีนี้ก็เลยรู้จักวีธี พอถึงขั้นจิตอิ่มตัวจิตสงบมันจะปล่อยคำบริกรรม นึกก็ไม่ออก ปล่อยเสียเวลานั้น แต่ความรู้นั้นกับสติให้ติดกันไปเรื่อย มันเลยไม่เสื่อม นี่ละวิธีการปฏิบัติต้องทดสอบตัวเอง นี่เราได้ทดสอบอย่างนั้น แล้วก็ไม่เสื่อมตั้งแต่นั้นมาเรื่อยเลย ไม่เสื่อม ขาดสตินี่จับได้ชัดเจน อ๋อ สติสำคัญมาก พอขาดสติจิตเสื่อมได้ๆ เมื่อไม่ขาดสติแล้วไล่มันเสื่อมมันก็ไม่เสื่อม เราเป็นแล้วนี่ จึงบอกว่า เอ้า เสื่อมไป อยากเสื่อมไปไหนเสื่อม เราหึงหวงห่วงใยมันพอแล้วมันไม่ได้ฟังเสียงเรา คราวนี้ปล่อยเลย เอ้า เสื่อม แต่คำบริกรรมกับสติจะไม่ยอมปล่อย มันก็เลยได้กับอันนี้ไปเรื่อยๆ เจริญเรื่อย นี่เราพูดแต่ต้นไปถึงขั้นไม่เสื่อม ทีนี้ก้าวหน้าละที่นี่ เรียกว่าตั้งรากตั้งฐานได้เพราะสติดี

ใครมีสติดีแล้วตั้งได้ ถ้าขาดๆ วิ่นๆ เผลอๆ เผลๆ อะไรไป นึกได้เมื่อไรถึงมาระลึกไม่เป็นท่านะ ถ้าลงได้เอาจริงเอาจังพ้นมือเราไปไม่ได้ละ เราทำแล้ว ตั้งแต่นั้นมาจิตเราก็ไม่เคยเสื่อมอีกเลย ทะลุไป จนกระทั่งนั่งหามรุ่งหามค่ำ นั่นเห็นไหมล่ะเมื่อไม่เสื่อมแล้วมันก็ก้าวใหญ่ เอาใหญ่เลย จากนั้นมาก็ก้าวทางวิปัสสนาพิจารณาทางด้านปัญญา แยกธาตุแยกขันธ์ทุกสัดทุกส่วนในสกลกาย ของสัตว์ของบุคคลของเขาของเรา ของหญิงของชายพิจารณากระจายออกไป ตั้งแต่ผม ขน เล็บ ฟัน หนังละที่นี่ ถลกออกไปหนังน่ะ มันสวยมันงามอยู่ที่หนัง ถลกหนังออกแล้ว เอ้า ดู นั่นน่ะปัญญา เข้าใจไหม ดูเป็นหญิงเป็นชายที่ไหน น่ารักน่าชอบใจที่นี่มันเป็นเพราะหนัง

จากหนังดูเข้าไปกระดูกสวยอะไร ดูเข้าไปข้างในเท่าไรสวยที่ไหนงามที่ไหน มันก็เห็นชัดด้วยปัญญาละซิ เมื่อเห็นชัดแล้วมันก็ค่อยปล่อยของมันไปเองๆ นี่วิปัสสนาทางด้านปัญญา เมื่อพิจารณาทางด้านปัญญาเห็นผลแล้วมันเพลินนะ ทางด้านปัญญานี้มันจะไม่เข้าพักสมาธิ มันเพลิน หมุนติ้วๆ เลย จนกระทั่งเจ้าของเหน็ดเหนื่อยเมื่อยล้า ให้หยุดพักทางปัญญาเสีย เข้าสู่สมาธิ เวลามันเพลินทางปัญญามันไม่สนใจสมาธินะ ไม่สนใจก็ตาม เอาคำบริกรรมติดเข้าไปให้มันเข้าสู่สมาธิได้ จิตเป็นหนึ่งได้ ใครบริกรรมคำไหนก็เอาคำนั้น บริกรรมพุทโธก็เอาพุทโธๆ ให้อยู่กับพุทโธๆ จิตก็แน่วลงไปสู่สมาธิ มีกำลังวังชาเหมือนถอดเสี้ยนถอดหนาม นี่ละพักเอากำลังเป็นอย่างนั้น

พอได้โอกาสแล้วรู้ว่าจิตนี้แน่นหนามั่นคงได้กำลังพอแล้ว ก้าวออกทางวิปัสสนานี้มันพุ่งเลยเทียว มันอยากออกยิ่งกว่าอะไร มันไม่สนใจกับสมาธิ มันหาว่าสมาธิไม่ใช่ธรรมแก้กิเลส ตีกิเลสให้ตะล่อมเข้ามาต่างหาก แก้กิเลสคือปัญญา นั่นมันไปอย่างนั้น มันก็จะเห็นคุณของปัญญาโดยถ่ายเดียวไม่เห็นโทษของสมาธิ เพราะฉะนั้นจึงให้รู้วาระ วาระนี้เราทำงานเพื่อผลประโยชน์ด้วยปัญญา วาระนี้เราจะพักจิตของเราเพื่อจะเอากำลังวังชาเพื่อวิปัสสนาต่อไป ให้พัก พักมันไม่อยากพัก

ลำพังจะบังคับไว้เฉยๆ ไม่อยู่นะ มันจะพุ่งๆ ทางปัญญาตลอด ต้องเอาคำบริกรรมให้ติดกับนั้นปั๊บเลย เอ้า บริกรรมพุทโธๆ ถี่ยิบเข้าไปลง ที่นี่จิตลง ลงแน่วมีกำลังวังชากระปรี้กระเปร่าแล้วก็เหมือนถอดเสี้ยนถอดหนาม โอ๋ ทีนี้สบายเบาหมดเลย นี่จิตพักงาน พอได้กำลังเต็มที่แล้ว พอรามือเท่านั้นมันจะพุ่งออกทางด้านปัญญา ให้ทำอย่างเก่านี้ต่อไปเรื่อยๆ นี้เรียกว่าปฏิปทาที่ถูกต้องดีงาม พากันจำเอาไว้นักปฏิบัติ

มีใครจะสอนที่ว่าถูกต้องแม่นยำ นี้แน่ใจการสอนว่าไม่ผิดเพราะเราผ่านมาแล้ว ทายผิดทายถูกอะไรเราผ่านมาหมด คัดเลือกมาหมดแล้วมาสอน ตั้งแต่สิ่งที่ถูกต้องดีงาม ให้นำไปปฏิบัติ ไม่เช่นนั้นไม่ได้เรื่อง ภาวนากี่ปีกี่เดือนไม่มีหลักมีเกณฑ์ไม่ได้เรื่องนะ ต้องให้มีหลักมีเกณฑ์ ตั้งได้จิตขอให้มีหลักเกณฑ์เถอะ การภาวนาๆ ท่านพูดกว้างๆ นี่สอนกันก็สอนทั่วโลกเรื่องภาวนา ไม่ทราบภาวนายังไงตั้งหลักตั้งเกณฑ์ยังไง ไม่มีหลักมีเกณฑ์มันก็ไม่ได้เหตุได้ผลได้อรรถได้ธรรม ให้มีหลักมีเกณฑ์อย่างที่ว่าซิ เอาทำอย่างนี้ละ ตั้งได้ๆ ขึ้นได้ไม่สงสัย ที่สอนนี้ไม่ผิด ดังที่ว่าคำบริกรรมเป็นสำคัญ สติเป็นพื้นฐานสำคัญมากทีเดียว ต่อจากนั้นจิตก็สงบๆ เรื่อยๆ ควรพักพัก ควรจะออกทางวิปัสสนาออก จำให้ดีเหล่านี้ ดำเนินมาแล้วไม่ผิด ได้ผลมาแล้วจึงมาสอน สอนด้วยความได้หลักได้เกณฑ์นี้ ผู้ยึดก็ยึดได้หลักได้เกณฑ์ ที่สอนสุ่มสี่สุ่มห้าไม่ได้หน้าได้หลัง ผู้ปฏิบัติก็ไม่ทราบจะยึดเอาตรงไหนๆ เป็นหลักเป็นเกณฑ์ ไม่ได้เรื่อง เหลวไหลทั้งนั้น จำให้ดี เอาละเท่านี้

TopicPic-060803093604264.jpg
Copyright © 2013 www.phuttawong.net All Rights Reserved.

http://www.phuttawong.net/index.aspx?ContentID=ContentID-061218090205201

. . . . . . .