คำสอนสุดท้ายก่อนลาขันธ์ ของท่านพระอาจารย์มั่น ภูริทัตโต

คำสอนสุดท้ายก่อนลาขันธ์ ของท่านพระอาจารย์มั่น ภูริทัตโต

ปนิธานของหลวงปู่มั่นท่านให้น้ำหนักการสอนไปที่พระเณรมากกว่าฆราวาส ด้วยเหตุผลที่ว่า ถ้าได้พระดีแม้รูปเดียวก็จะอำนวยประโยชน์ และขยายผลออกไปได้อย่างมหาศาล ซึ่งก็เป็นที่ประจักษ์ดีอยู่แล้ว ดังจะเห็นว่าหลวงปู่ หลวงพ่อ ครูบาอาจารย์ที่เป็นศิษย์สายหลวงปู่มั่นนั้นแต่ละองค์ได้สร้างประโยชน์ให้แก่ประชาชน สังคม และพระศาสนาอย่างมหาศาล ไม่ต้องยกตัวอย่างพวกเราก็คงพอนึกออกได้เป็นอย่างดี

ในเนื้อธรรมที่แสดงในระยะเริ่มป่วยคล้ายกับเป็นการเตือนสงฆ์ว่า นับแต่ท่านเริ่มป่วยคราวนี้ เป็นการป่วยในลักษณะที่ถอดถอนรากเหง้าของเค้ามูลชีวิตธาตุขันธ์เกี่ยวกับการผสมทุกส่วนของร่างกายให้ลดความดีงามคงที่ลงเป็นของชำรุดใช้งานไม่ได้โดยลำดับ

เกี่ยวกับคำสอนในช่วงสุดท้านของหลวงปู่มั่นที่ท่านแสดงเพื่อสอนพระเณรในช่วงที่ท่านเริ่มป่วย จนกระทั่งลาขันธ์นั้น หลวงตามหาบัวได้บันทึกไว้ดังนี้

นับตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป การห่วงธาตุขันธ์และความตายนั้นผมได้พิจารณามานานเกือบ 60 ปี ไม่มีสิ่งที่น่าห่วงใยใดๆทั้งสิ้นแล้ว ผมหายสงสัยกับสิ่งเหล่านี้โดยสิ้นเชิงแล้ว นับแต่ขณะธรรมของจริงเต็มส่วนเข้าถึงใจมาจนบัดนี้ มองดูสิ่งใด ทั้งในกายทั้งนอกกายมันเป็นสภาพเดียวกับที่มีอยู่ในกายเรา ที่เริ่มสลายตัวลงวันละเล็กละน้อยนี้ เพื่อความเป็นของเดิมเขา แม้สมมุติว่ายังเป็นกายเราอยู่ก็ตาม มันก็คือสิ่งเดียวกันกับธาตุทั่วๆไปนั่นเอง

สิ่งที่ผมเป็นห่วงอยู่เวลานี้ คือ ท่านผู้มาศึกษาทั้งหลายทั้งมาจากที่ใกล้และที่ไกล กลัวจะไม่ได้อะไรเป็นหลักใจเมื่อผมผ่านไปแล้ว จึงได้เตือนอยู่เสมอว่า อย่าพากันประมาทนอนใจว่ากิเลสคือเชื้อแห่งภพเกิดตายไม่มีทางสิ้นสุด เป็นของเล็กน้อยไม่เป็นภัยแก่ตน แล้วไม่กระตือรือล้นเพื่อแก้ไขถอดถอนเสียแต่กาลที่ยังควรอยู่ เมื่อถึงกาลที่สุดวิสัยแล้ว จะทำอะไรกับกิเลสเหล่านี้ไม่ได้นะ จะว่าไม่บอกไม่เตือน

คนและสัตว์ทุกข์ทรมานมาประจำโลก อย่าเข้าใจว่าเป็นอะไร แต่เป็นมาจากกิเลสตัณหาที่เห็นว่าไม่สำคัญ และไม่เป็นภัยนั่นแหละ ผมค้นดูทางมาของการเกิดการตายและการมาของกองทุกข์มากน้อยจนเต็มความสามารถของสติปัญญาที่มีอยู่แล้ว ไม่มีอะไรเป็นต้นเหตุชักจูงจิตใจให้มาหาที่เกิดตายและรับความทรมานมากน้อยเลย มีแต่กิเลสตัวที่สัตว์โลกคิดว่าไม่สำคัญและมองข้ามไปนี้ทั้งสิ้นเป็นตัวการสำคัญ ทุกท่านมีกิเลสดังกล่าวบนหัวใจด้วยกัน มีความรู้สึกอย่างไรบ้าง หรือยังไม่เห็นความสำคัญเช่นเดียวกับโลกทั้งหลายด้วยหรือ ถ้าเห็นอย่างนั้น การมาอยู่และอบรมกับผมจะเป็นเวลานานเพียงไร ก็เท่ากับท่านทั้งหลายมาทำตัวเป็นทัพพีขวางหม้ออยู่เพียงนั้น

ถ้าต้องการเหมือนลิ้นผู้รอรับรส ก็ควรฟังธรรมที่ผมแสดงอย่างถึงใจทุกครั้งให้ถึงใจ อย่าพากันเป็นทัพพีขวางธรรมอยู่นานนักเลยขะตายทิ้งเปล่าๆ ยิ่งกว่าสัตว์ตายที่เนื้อหนังยังเป็นประโยชน์อยู่บ้าง ส่วนคนประมาท ยังตายอยู่หรือเป็นไปก็ไม่มีประโยชน์อะไรเลย

ผมเริ่มป่วยก็ได้บอกมาโดยลำดับว่าผมเริ่มตายไปเป็นลำดับเช่นเดียวกัน การตายด้วยความเพียงพอทุกอย่าง เป็นการตายที่หมดกังวลพ้นทุกข์ แม้ขะไปอยู่ที่ไหนก็ไม่มีอะไรบกพร่อง ผู้เพียงพอทุกอย่างแล้วไม่จำเป็นต้องคาดหวังสิ่งใดๆทั้งสิ้น อยู่กับความเพียงพอนี้ แต่การตายด้วยกิเลสความไม่อิ่มพอใจ จะไปอยู่โลกไหนความไม่อิ่มพอก็ติดแนบอยู่ที่ดวงใจทำให้เป็นทุกข์ ตามส่วนของกิเลสที่มีอยู่ในใจนั่นเอง

ท่านทั้งหลายอย่าไปคาดโลกนั้นโลกนี้ ว่าน่าสนุกรื่นเริงบันเทิงใจเวลาตายไปอยากไปอยู่โลกนั้นโลกนี้ อันความอยากความไม่เพียงพอกวนใจอยู่ก่อนที่ยังไม่ตาย ท่านทั้งหลายยังมองไม่เห็นว่าเป็นข้าศึก เครื่องรบกวนใจ แล้วพวกท่านจะไปหาความสุขจากอะไรที่ไหนกัน ถ้าท่านทั้งหลายไม่หมดความหวังว่าจะไปโลกนั้นโลกนี้อยู่ อย่างนี้แล้วผมเองก็หมดปัญญาด้วย

การเป็นพระถ้าใจยังไม่มีความสงบเย็นทางสมาธิธรรมแล้ว อย่าเข้าใจว่าตนจะได้รับความสุขเย็นใจที่ไหนๆเลย แต่จะเจอเอาแต่ความรุ่มร้อนที่แอบแฝงไปกับหัวใจที่ไม่มีความสงบนั้นนั่นแล จงพากันรีบชำระแก้ไขให้พอเห็นทางเดินของจิตเสียแต่บัดนี้เป็นต้นไป

ใครเพียรใครอาจหาญใครอดทนในการต่อสู้กับกิเลส ตัวฝืนธรรมอยู่ตลอดเวลา ผู้นั้นจะเจอร่มเงาแห่งความสงบเย็นใจในโลกนี้ ในบัดนี้และในดวงใจนี้ ไม่เนิ่นนานเหมือนการท่องเที่ยวที่เจือไปด้วยสุขด้วยทุกข์อยู่ทุกภพทุกชาติไม่มีวันจบสิ้น

ธรรมทุกบททุกบาทที่ศาสนาสอนไว้ ล้วนเป็นธรรมรรื้อขนสัตว์ผู้เชื่อฟังพระองค์ให้พ้นไปโดยลำดับ จนถึงขั้นธรรมที่ไม่กลับมาหลงโลกที่เคยเกิดตายนี้อีกต่อไป

ท่านผู้ไม่หวังมาเกิดอีก ต้องประมวลโลกทั้งสามภพลงในไตรลักษณ์ที่หมุนไปด้วย อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ตามขั้นหยาบละเอียดของภพชาตินั้นๆด้วยปัญญา จนปราศจากความสงสัยอุปปาทานที่ว่ายึดๆชนิดแกะไม่ออกนั้นจะถอนตัวออกมาอย่างรวดเร็วจนมองไม่ทันนั่นแล ขอแต่ปัญญาเครื่องตัดสิ่งกดถ่วงให้คมกล้าเถอะ ไม่มีอะไรจะเป็นเครื่องมือแก้กิเลสทุกประเภทอย่างทันสมัยเหมือนสติปัญญาในสามภพนี้

ที่มา : หนังสือประวัติ ข้อวัตร และปฏิปทา หลวงปู่มั่น ภูริทัตโต บันทึกโดย หลวงตามหาบัว

ขอบคุณข้อมูลจาก : http://muangput.com/webboard/index.php/topic,468.0.html

. . . . . . .