ความสำคัญของสิ่งที่เรียกว่า ธรรม โดย ท่าน พุทธทาส ภิกขุ
หน้าที่ 1 – ชีวิต
คำนี้มีความหมายมากเหลือเกิน มีความหลายได้หลายสิบอย่าง แต่ความหมายที่รวบรัดที่สุดนั้นมันมีอยู่อย่างหนึ่ง ซึ่งจำเป็นที่ทุกคนจะต้องทราบว่าจะต้องประพฤติจนถือเอาประโยชน์ให้ได้ ให้เต็มตามความหมาย เพื่อไม่ให้ฟุ้งซ่านมากมายจะขอบอกกล่าวเพียงว่า ใจความสำคัญของคำคำนี้ก็คือ สิ่งที่เรียกว่าหน้าที่ หน้าที่คือคำที่ขอให้จำไว้และก็ประพฤติให้ได้จนได้รับประโยชน์ คำว่าหน้าที่ในภาษาที่พูดกันอยู่ทุกวันนี้ คือไม่ค่อยจะมีใครให้ความสำคัญถึงที่สุด แต่ที่จริงคำนี้มีความสำคัญถึงที่สุด โดยสรุปใจความก็ว่าสิ่งที่เรียกว่า หน้าที่นั้นมันคู่กันมากับสิ่งที่เรียกว่า ชีวิต นี่คอยมองความสำคัญของข้อนี้ว่าสิ่งที่เรียกว่าชีวิตนั้นเป็นสิ่งที่คู่กันมากับหน้าที่ หน้าที่นั้นมันคู่กันมากับชีวิต ถ้าไม่มีหน้าที่ชีวิตก็อยู่ไม่ได้ คือ ตาย หรือถ้าไม่มีชีวิตก็ไม่รู้ว่าอะไรมันจะทำหน้าที่ สิ่งที่มีชีวิตจะเป็นสิ่งที่ทำหน้าที่ แล้วสิ่งที่เรียกว่าหน้าที่นั้นก็หล่อเลี้ยงชีวิตเอาไว้ จึงมีความสำคัญเท่ากับความเป็นความตายของสิ่งที่เรียกว่าชีวิตนั่นเอง เดี๋ยวนี้ดูเหมือนว่าจะให้ความสำคัญกันเพียงเป็นสิ่งประกอบเบ็ดเตล็ดเล็กๆ น้อยๆ เรื่องทำมาหากินเป็นส่วนใหญ่ และก็สนใจธรรมะกันเล็กๆ น้อยๆ หรือเป็นเรื่องของคนที่แก่ชราแล้ว เป็นต้น
โดยเนื้อแท้สิ่งที่เรียกว่า ธรรมนั้น คู่กันมากับชีวิต มีความสำคัญเท่ากันมาตั้งแต่แรกเกิดแล้ว เรื่อยมาจนตลอดไป คำว่าธรรมะในกรณีอย่างนี้แปลว่า หน้าที่ ถ้าพูดให้หมดโดยสรุป ก็จะได้เป็น 4 ความหมาย ธรรมะ คือ ตัวธรรมชาติทั้งหลาย ธรรมะ คือ กฎของตัวธรรมชาติทั้งหลาย ธรรมะ คือ หน้าที่ตามกฎของธรรมชาติทั้งหลาย และธรรมะ คือ ผลของการปฏิบัติหน้าที่ เป็น 4 ประการกันอยู่อย่างนี้ แต่ความสำคัญก็คือ ธรรมชาติ ธรรมชาติได้ทำให้มีสิ่งมีชีวิตขึ้นมา และสิ่งที่มีชีวิตนั้นเป็นไปตามกฎ เมื่อปฏิบัติหน้าที่ถูกต้องตามกฎชีวิตนั้นก็รอด สิ่งที่เรียกว่าชีวิตนี้มันเป็นเรื่องของธรรมชาติ เป็นตัวธรรมชาติ อยู่ภายใต้กฎของธรรมชาติ ซึ่งต้องมีหน้าที่อย่างนั้น อย่างนั้น อย่างนั้น จึงจะเกิดขึ้นมา จึงจะตั้งอยู่ได้หรือจะเป็นไปด้วยดีและได้รับประโยชน์ถึงที่สุด จะมองในแง่ไหนก็มีความสำคัญถึงที่สุด มองในแง่สิ่งสูงสุด เพราะว่าถ้าไม่มีการทำหน้าที่แล้วมันต้องตาย ถ้ามีการทำหน้าที่แล้วมันจะรอด คำว่าหน้าที่จึงมีความหมายเท่ากับพระเจ้าผู้ช่วยให้รอด ฟังดูให้ดี เดี๋ยวนี้ที่เรามีชีวิตรอดกันอยู่ได้ ก็ได้มานั่งกันอยู่มากๆ อย่างนี้มันรอดมาได้ด้วยอะไร มันรอดมาได้ด้วยการทำหน้าที่ หรือที่เรียกว่า ธรรมะนั่นเอง มีธรรมะจึงรอดเพราะมีการทำหน้าที่ ธรรมะคือการทำหน้าที่ การทำหน้าที่คือได้รอด การที่เรามาศึกษาธรรมะ อยากเรียนธรรมะหน้าที่ให้ยิ่งขึ้นไป ให้หน้าที่ชั้นต้นที่ว่าเพื่อให้รอดชีวิตอยู่ได้นี้เราก็เรียนรู้กันมาพอสมควรแล้ว เราก็เรียนกันโดยวิธีอื่น เช่น ที่โรงเรียน ที่มหาวิทยาลัย ที่ไหนก็ได้ เรื่องให้รอดชีวิตพื้นฐานคือไม่ตาย และมีสุขภาพอนามัยดี มีการประกอบอาชีพ มีการกระทำชนิดที่มันรอดชีวิตอยู่ได้พอเหมาะสมเป็นหน้าที่ที่ปฏิบัติเสร็จไปตอนหนึ่ง ทีนี้เพียงเท่านั้นมันไม่พอ ยังมีปัญหาเรื่องจิตใจที่ละเอียดประณีตสูงขึ้นไป ยังถูกรบกวนด้วยราคะบ้าง ด้วยโทสะบ้าง โดยโมหะบ้าง จึงมีหน้าที่ที่จะต้องขจัดสิ่งเหล่านี้ออกไปเสียอีกทีหนึ่ง จึงมาศึกษากันในส่วนนี้ รวมความแล้วก็คือทำหน้าที่ให้ครบถ้วนถูกต้องสมบูรณ์ แต่ต้นจนปลาย ทีนี้ก็อยากจะมาพูดเสียคราวเดียวกันว่า สิ่งที่เรียกว่าธรรมะหรือหน้าที่นั้นมันมีอยู่อย่างไร เพราะว่าธรรมะหรือหน้าที่นี่คือสิ่งที่ช่วยให้รอด แต่ว่ามันเนื่องมาจากการทำหน้าที่ได้จริง ได้ถูกต้อง ได้สมบูรณ์ ใจความสำคัญมันอยู่ที่คำว่าถูกต้อง คนโดยมากเอาความถูกต้องของกิเลสมาเป็นใหญ่ ไม่ได้เอาความถูกต้องของธรรมะหรือของปัญญาของโพธิเป็นใหญ่ เพราะว่าเกิดมาจากท้องมารดามันไม่มีความรู้อะไรติดมา พอมาได้รับสิ่งที่ถูกใจ เป็นความสุข สนุกสนาน อะเหร็ดอร่อย ก็ยึดถือเอาสิ่งนั้นว่าเป็นสิ่งสำคัญและก็มุ่งหมายที่จะได้สิ่งนั้นอยู่ตลอดเวลา การประพฤติ การกระทำ การแสวงหาหรืออะไรทุกอย่างมันเป็นไปเพื่อสิ่งนั้น ถือว่านั่นถูกต้อง คือการได้ตามใจกิเลสของตนนั่นแหละ เขาถือว่าเป็นความถูกต้อง ทีนี้เมื่อเป็นไปตามกิเลสหนักเข้ามันก็เลยความถูกต้องที่คนอื่น ผู้อื่นจะยอมรับไหว หากคนนั้นมีแต่ความเห็นแก่ตัวอย่างเดียว ทำไปโดยเห็นแก่ตัวโดยคนอื่นยอมรับไม่ไหว มันก็เกิดปัญหาขึ้นมาในทางสังคม เช่น เดี๋ยวนี้ก็มีอันธพาลที่เขามีความถูกต้องของเขา ในการที่จะได้ประโยชน์ของเขาโดยไม่คำนึงถึงประโยชน์ของผู้อื่น แล้วเขาก็ไปกระทำอย่างรุนแรงจนถึงกับว่า ลักล้วง ช่วงชิง ฆ่าฟัน ผู้อื่นเพื่อจะเอาประโยชน์ของตนและถือว่าเป็นความถูกต้อง นี่ความรู้ ความคิดของเขาผิดหมด เป็นความถูกต้องชนิดผิด ถ้าเป็นความถูกต้องของธรรมะ ตามกฎของธรรมชาติในฝ่ายที่จะให้อยู่กันเป็นสุขนั้น คำว่าถูกต้องนั้นมันต้องหมายความจำกัดลงไปว่าต้องไม่ทำความทุกข์ให้เกิดขึ้นแก่ฝ่ายใด ฝ่ายเราก็ดีฝ่ายผู้อื่นก็ดี ถ้ามีการกระทำให้มันถูกต้องแล้วย่อมไม่เกิดความทุกข์ ความยุ่งยากลำบาก โกลาหนขึ้นแก่ฝ่ายใดนั่นคือความถูกต้อง ความหมายของคำว่าธรรมะที่ถูกต้องมีใจความอย่างนี้ ไม่ต้องใช้เหตุผลอย่างอื่น ไม่ต้องพิสูจน์ด้วยเหตุผลอันละเอียด ในทางปรัชญาหรือทางอะไร ซึ่งไม่ใช่ความถูกต้องของธรรมะ ความถูกต้องของธรรมะอยู่ที่ความเป็นประโยชน์ของทุกฝ่าย ไม่ทำให้เกิดความทุกข์ ยากลำบาก เดือดร้อนแก่ฝ่ายใดและก็เป็นสิ่งที่ทุกคนยอมรับได้ ดังนั้นความคิดเห็นของอันธพาล จึงเป็นสิ่งที่คนอื่นเขายอมรับไม่ได้ มันยอมรับกันได้แต่พวกอันธพาลพวกเดียว นี่คือความถูกต้องที่เรียกว่าธรรมะ ทีนี้ก็ย้อนไปดูถึงสิ่งที่เรียกว่าหน้าที่ หน้าที่อันใหม่ สิ่งที่มีชีวิตต้องมีหน้าที่ และหน้าที่นั้นก็ไม่มีอะไรนอกจากการดำรงชีวิต การประพฤติกระทำให้ชีวิตมันอยู่ได้ มีความผาสุกสะดวกสบายถึงที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้และถูกต้องคือไม่ทำให้คนอื่นเขาเดือดร้อนลำบาก ดังนั้นจึงต้องมีความถูกต้องเหมือนกันทุกคน ที่จะอยู่ร่วมกันในโลกจะต้องถือหลักเกณฑ์แห่งความถูกต้องเหมือนกันเป็นอยู่ด้วยกันได้สนิทสนม นี่คือหน้าที่ ถ้ากล่าวไปกว้างออกไปถึงสังคมเราจะต้องนึกถึงความถูกต้องของบุคคลแต่ละคน แต่ละคนก่อน ถ้าความถูกต้องมีทุกคนแล้วสังคมก็ไม่ไปไหนเสีย สังคมก็ถูกต้องเอง เพราะว่าสิ่งที่เรียกว่าสังคมนั้นประกอบขึ้นด้วยบุคคลแต่ละคน
หน้าที่ 2 – การเบียดเบียน
ถ้าบุคคลมีธรรมะที่มีความถูกต้องแล้วสังคมก็มีธรรมะและมีความถูกต้อง เดี๋ยวนี้คนไม่ยอมรับรู้ในเรื่องนี้ ถึงกับศึกษาเรื่องธรรมะหรือหน้าที่กันอย่างละเอียดลออ กระทำกันไปอย่างหวัดๆ ลวกๆ วันหนึ่งๆ ให้ได้เงินมาซื้อหาอะไรบำรุงบำเรอร่างกาย จิตใจของตนให้มากเท่าไรก็ยิ่งดี เท่านี้ก็พอแล้ว มันเป็นการกระทำที่ผิดตรงกันข้ามกับธรรมะซึ่งต้องการความถูกต้อง เมื่อไม่มีความถูกต้องมันก็มีความกระทบกระทั่งซึ่งเรียกว่าเบียดเบียน เมื่อมีการเบียดเบียนมันก็ยิ่งเพิ่มปัญหา เพิ่มความทุกข์มากขึ้นไปอีก ขอให้เรามุ่งจ่องไปยังความถูกต้องและรักษาความถูกต้องไว้ให้ได้ แล้วพอใจเคารพบูชาในสิ่งที่เรียกว่าหน้าที่ หน้าที่อันถูกต้อง นั่นก็คือการมีธรรมะโดยแท้จริง เคารพธรรมะโดยแท้จริง มีธรรมะโดยแท้จริง ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหน เวลาไหนก็ขอให้ทำหน้าที่นั้นอย่างถูกต้องเมื่อนั้นเวลานั้นก็คือเวลาที่มีธรรมะ ไม่ต้องเฉพาะที่วัดวาอารามหรือว่าในห้องพระในห้องสวดมนต์ ก็กล่าวมาแล้วว่าหน้าที่ช่วยให้ชีวิตรอดนั้นคือธรรมะ
หน้าที่พื้นฐานที่มีชีวิตรอดก็ได้แก่การประกอบอาชีพ ประกอบหน้าที่ที่เป็นอาชีพ คำว่าอาชีพแปลว่าสิ่งที่ทำให้ชีวิตดำรงอยู่ได้มันก็เป็นสิ่งเดียวกันกับธรรมะ ซึ่งมีความหมายว่าหน้าที่สำหรับสิ่งที่มีชีวิต เพราะฉะนั้นเราจะประพฤติธรรมะให้ดีที่สุดในการทำหน้าที่นั้นเอง ไม่ต้องนึกว่าจะต้องไปวัดหรือไปในโบสถ์ คอยกำหนดดูให้ดีว่าที่ไหนมีหน้าที่ที่จะต้องทำแล้วก็ทำหน้าที่อันนั้นให้ดี ธรรมะที่นั่น หน้าที่ที่ทำความรอดแก่ชีวิตนั้น คือ ธรรมะ ตั้งแต่ธรรมดาสามัญขึ้นไปยังระดับสูงสุด แต่ก็เป็นธรรมะเสมอกัน ที่ใดมีการทำหน้าที่ ที่นั้นก็มีธรรมะ ถ้าในโบสถ์มีแต่เสี่ยงเซียมซี ทำพิธีบวงสรวงขอร้องอ้อนวอน อย่างนั้นอย่างนี้แล้ว เท่านั้นแล้วในโบสถ์ไม่มีธรรมะ ที่กลางทุ่งนาที่ชาวนากำลังไถนาอยู่ซะอีกจะกลับมีธรรมะ เรื่องนี้เป็นที่เข้าใจซึมทราบกันมาแต่โบราณจนฝังจิตฝังใจ ชาวนาไถนาเดินไปใกล้เขา ชาวนาก็พูดว่าจะไถนาเอาข้าวใส่บาตรสักหน่อย นี่คิดดูเขาทำไถนาหวังถึงจะเอาข้าวใส่บาตรเลี้ยงพระบำรุงศาสนานี่ชาวนาแบบเก่า ถ้าชาวนาแบบนี้ก็จะทำนาเอาเงินไปซื้อเหล้ากิน ไปหาความเพลิดเพลิน จะซื้อหาสิ่งของที่เป็นอุปกรณ์แห่งความเพลิดเพลินที่ดีที่แปลกที่แพง บางทีก็เป็นเรื่องกู้หนี้ยืมสินมา ก็ต้องทำนาเพื่อใช้หนี้อย่างนี้เป็นต้น จิตใจมันก็ผิดกัน ถ้าทำนาด้วยความรู้สึกว่าทำหน้าที่ของมนุษย์และก็ช่วยบำรุงศาสนาให้ยังคงมีอยู่เป็นที่พึ่งของมนุษย์ จิตใจมันก็เป็นไปอย่างมีความรู้สึกอย่างหนึ่ง แต่ถ้าทำนาด้วยความรู้สึกว่าจะหาเงินไปกินเหล้า เอาไปเที่ยวเมามายหรือแสวงหาความสำราญ หรือว่ามันจะต้องใช้หนี้อย่างนี้จิตใจมันก็เป็นอีกอย่างหนึ่ง จิตใจชนิดไหนมันจะให้ความสงบสุขก็คิดดู นี่อยากจะให้มองเห็นความสำคัญข้อนี้ว่า ธรรมะคือหน้าที่ของสิ่งมีชีวิต ทำให้สิ่งที่มีชีวิตรอดอยู่ได้และเจริญไปอย่างถูกต้องเป็นชีวิตเย็น เป็นชีวิตเยือกเย็น เย็นถึงที่สุดหรือว่าเย็นจนเข้าโลง แต่ถ้ามันเป็นความร้อนด้วยความโง่มันไม่ได้ทำงานเพื่อธรรมะเพื่อหน้าที่ มันก็ทำงานเพื่อกิเลส เพื่อจะบำรุงบำเรออย่างนั้นอย่างนี้ มันก็ร้อนอยู่ตั้งแต่เมื่อแรกทำ ได้มามันก็ทำอย่างนั้นแล้วมันก็ร้อนต่อไป หาความเยือกเย็นในชีวิตไม่ได้ ไม่มีความหมายแห่งความเยือกเย็น ขอให้ทุกคนมีหลักว่า ธรรมะคือหน้าที่ หน้าที่คือธรรมะ เมื่อทำหน้าที่รู้สึกว่ามีธรรมะให้พอใจให้ยินดี เพราะว่าได้ทำสิ่งที่ดีที่สุด สิ่งที่มีเกียรติที่สุด สำคัญที่สุด ถูกต้องตามกฎของธรรมชาติมากที่สุด และเป็นสิ่งที่ช่วยเราได้เหมือนกับพระเป็นเจ้า หน้าที่นั่นคือพระเป็นเจ้า เขามีพระเป็นเจ้ากันอย่างอื่นตามใจเขา เรามีหน้าที่ที่เรากระทำด้วยตนเองให้เป็นพระเป็นเจ้าจะช่วยเรา คล้ายว่าที่จริงแล้วคำสอนเรื่องพระเป็นเจ้าก็มีพูดอยู่ว่า พระเป็นเจ้าไม่ช่วยคนที่ไม่ช่วยตัวเอง พระเป็นเจ้าไม่ช่วยคนที่ไม่ทำหน้าที่ของตัวเอง ก็มาเรื่องเดียวกันอีก จะให้พระเป็นเจ้าช่วยก็จะต้องทำตามคำสั่งของพระเป็นเจ้าคือ ทำหน้าที่ ทำหน้าที่โดยพระเป็นเจ้าก็ได้สั่งให้ทุกๆ คนทำหน้าที่ โดยกฎของธรรมชาติก็ได้ระบุให้คนทุกคนทำหน้าที่ โดยเหตุผลทั่วๆ ไป จะนึกคิดเอาเองก็ได้คือ จะต้องทำหน้าที่เพื่อความรอดของของตน เมื่อได้ทำหน้าที่นั่นแหละเป็นการกระทำที่สูงสุดยิ่งกว่าสิ่งใด เอาสิลองเปรียบเทียบกันดู การทำอะไรที่ควรจัดว่าเป็นการกระทำที่สูงสุดยิ่งไปกว่าการกระทำหน้าที่ มนุษย์มีอะไรที่จะทำได้กี่อย่างก็ลองดู นึกดู แล้วมีอะไรที่มันสูงสุดไปกว่าการทำหน้าที่ ชาวนาก็ทำนาสนุกไปเลย พอใจในการทำหน้าที่ของชาวนาและก็มีธรรมะของชาวนา ชาวสวนก็ทำสวนสนุกไปเลย พอใจในการประพฤติธรรมะของชาวสวน พ่อค้าแม่ค้าก็ทำการค้าอย่างถูกต้อง ไม่ฉ้อโกงอย่างสนุกไปเลย มีธรรมะของพ่อค้าแม่ค้า ข้าราชการก็ทำหน้าที่ให้ถูกต้องให้สนุกสนานไปเลย มีธรรมะของข้าราชการ กรรมกรทั้งหลายก็ทำหน้าที่ของตนให้ดีที่สุด มีธรรมะของกรรมกร ไม่ว่าจะเป็นคนถีบ 3 รถ แจวเรือรับจ้าง กวาดถนน ล้างท่อถนนอะไรก็ตาม เมื่อทำหน้าที่ของตนแล้วมันก็เป็นธรรมะเต็มรูปแบบ เพราะว่าเขาได้ทำสุดความสามารถที่เขาจะทำได้ เขาทำอย่างอื่นไม่ได้ แต่เขาก็ได้ทำในสิ่งที่เขาทำได้เต็มกำลังของเขาก็มีธรรมะเต็ม แม้ที่สุดแต่ว่าคนขอทาน ก็นั่งขอทานอยู่อย่างถูกต้อง ก็เป็นการปฏิบัติธรรมะของคนขอทาน มีคนเมตตาสงสารก็ให้ทาน ในที่สุดเขาก็พ้นจากการเป็นคนขอทานนี่ธรรมะจะช่วยได้อย่างนี้ ธรรมะคือสิ่งที่ช่วยผู้ปฏิบัติธรรมะให้พ้นจากปัญหาทุกอย่างทุกประการ หรือว่าถ้าเรายังเป็นนักเรียน หน้าที่ของเราก็คือการเรียน เมื่อเราทำการเรียนให้ดีที่สุดนั่นแหละคือประพฤติธรรมะถึงที่สุด ประพฤติธรรมะของนักเรียน และจะช่วยให้สำเร็จในการเป็นนักเรียน แล้วก็ออกไปประกอบการงานตามอาชีพของตน ก็ประพฤติธรรมะด้วยการทำหน้าที่ของตนให้ดีที่สุดของคนมีธรรมะ อย่างนี้แปลว่ามีธรรมะเสมอกันคือ หน้าที่ หน้าที่เสมอกัน นับตั้งแต่คนขอทานขึ้นไปจนถึงพระมหาจักรพรรดิกระทั้งถึงเทวดาในสวรรค์ในยมโลก ต่อให้ถึงยมโลกมันก็ยังมีหน้าที่ที่จะต้องประพฤติปฏิบัติกระทำให้รอดอยู่ได้ด้วยกันทั้งนั้น แปลว่าประพฤติกระทำด้วยความรอดด้วยกันทั้งนั้น ถ้าต่ำลงมาจากคนขอทานไปถึงสัตว์เดรัจฉาน ลงไปถึงต้นไม้ต้นไร่ มันก็ต้องทำหน้าที่ของมัน สัตว์เดรัจฉานก็ต้องทำหน้าที่ของสัตว์เดรัจฉานมีธรรมะของสัตว์เดรัจฉาน แล้วมันก็รอดอยู่ได้ ต้นไม้ต้นไร่ก็มีชีวิต มันก็ต้องทำหน้าที่ของต้นไม้ แล้วก็รอดอยู่ได้ ถ้าจะเปรียบเทียบกันดูไอ้ปัญหายุ่งยากลำบากระหกระเหินนั่นแหละในหมู่มนุษย์มีมากกว่าหมู่สัตว์เดรัจฉานหรือต้นไม้มีชีวิตและก็ทำงานในหน้าที่ของต้นไม้ อย่างที่เราเรียนวิทยาศาสตร์กันว่าต้นไม้นี่ระบายแก๊สออกซิเจนตลอดวัน ระบายแก๊สคาร์บอนไดออกไซด์ตลอดคืน ก็แปลว่ามันทำงานทั้งวันทั้งคืนตลอด 24 ชั่วโมง มันเก่งกว่าเราเสียอีกนะซึ่งทำงานกันไม่กี่ชั่วโมง สัตว์เดรัจฉานก็เหมือนกันแหละทำหน้าที่หาอาหาร ดูสัตว์เหล่านั้นกินหญ้า สัตว์เหล่านั้นหาอาหารกัน อย่างไก่นี่ก็เขี่ยกันอย่างสนุกสนาน ก็ไปหลับนอก หิวก็เขี่ยอีก ไม่มีปัญหายุ่งยากลำบากใจอะไร นี่ก็เพราะว่ามันยังอยู่ในระดับต่ำ มีสมองอย่างต่ำคิดนึกได้น้อย ยังมีความต้องการน้อยก็ทำหน้าที่ให้บริบูรณ์ได้โดยง่าย แต่ก็ควรจะถือเป็นตัวอย่างที่ดี ว่าถ้าเราต้องการความสงบสุข เราก็ต้องทำให้พอดีให้ถูกต้องให้พอดีสมควรแก่อัตภาพ เป็นต้นไม้ เป็นสัตว์ เป็นคน เป็นมนุษย์ เป็นเทวดา ถ้าทำหน้าที่ของตนอย่างถูกต้องและพอดีก็จะไม่มีปัญหาอะไร จะอยู่ด้วยความสงบสุข
หน้าที่ 3 – ศาสนา
ขอให้มองดูที่คำว่าหน้าที่ หน้าที่เรียกในภาษาบาลีว่าหน้าที่ ถ้าเรียกในภาษาไทยว่าหน้าที่ เรียกในภาษาบาลีว่าธรรมะ ธรรมะคำนี้ก็เป็นภาษาเก่าแก่เก่าแก่ดึกดำบรรพ์ก่อนพุทธกาล คือพอมนุษย์ที่มีขึ้นมาในโลก พ้นจากสภาพคนป่าพอจะเรียกได้ว่ามนุษย์ โดยพูดจาได้ สัตว์เดรัจฉานพูดจาไม่ได้ อยู่กันคนละระดับ ที่เป็นคนนี่มันพูดจาได้มีความหมาย คนคนแรกที่พ้นจากความเป็นคนป่ามาพอสมควรแล้ว มันเกิดความสำนึกรู้สึกสังเกตเห็นว่าโลกมีสิ่งที่ต้องทำ ไม่ทำไม่ได้ และมันก็เรียกชื่อสิ่งนั้นว่าหน้าที่ โดยภาษาสมัยนั้นว่าธรรมะ ธรรมะคือหน้าที่ นี่คำว่าหน้าที่มันได้เกิดขึ้นนมนานก่อนพุทธกาลก่อนพระพุทธเจ้าเกิดโน่น มนุษย์มีคำว่าธรรมะใช้กันอยู่แล้ว แล้วก็รับช่วงมาใช้ต่อๆ กันมาจนยุคหลังๆ โดยอธิบายความหมายของคำว่าหน้าที่นั้นให้สูงขึ้นไป สูงขึ้นไป ไม่ใช่หน้าที่แต่เพียงหาเลี้ยงปากเลี้ยงท้อง แต่เป็นหน้าที่ที่ทำให้เกิดความสุขความสงบสูงยิ่งขึ้นไป มีหน้าที่ที่ดีกว่าธรรมดา หน้าที่ตามธรรมดาของชาวบ้านชาวโลกก็คือหน้าที่อย่างโลกๆ ถ้าเป็นหน้าที่ทางจิตทางใจที่ทำให้อยู่เหนือความบีบคั้นของสิ่งต่างๆ ในโลก เรียกว่า เป็นเรื่องเหนือโลก ผู้รู้ผู้ศึกษาก็ค้นพบหน้าที่สูงขึ้นไปสูงขึ้นไปตามสติปัญญาของตน แล้วก็สอนหมู่มนุษย์เหล่านั้นให้รู้ด้วยกันตามลำดับ จนกว่าจะเกิดพระพุทธเจ้าขึ้นมาในโลก ตั้งแต่หน้าที่ที่สูงที่สุดคือหน้าที่ที่ปฏิบัติแล้วหมดความทุกข์ด้วยประการทั้งปวง คือหน้าที่ที่กำจัดกิเลสเสียได้ทุกอย่างทุกประการ นี่เป็นหน้าที่ชั้นสูงสุด ที่บุคคลสูงสุดในระดับพระพุทธเจ้าได้ค้นพบแล้วก็ได้สอนกันไว้เป็นหลักเรียกกันมาว่า พระศาสนา ก็คือคำว่าธรรมะ ธรรมะนั่นแหละคือศาสนา ธรรมะ
ธรรมะก็คือเรื่องหน้าที่ บอกว่าจะต้องทำอย่างไร ทำอย่างไร ทำอย่างไร เมื่อกล่าวเฉพาะภายในระบบพระพุทธศาสนา ก็จะมองได้ว่ามันมีหน้าที่ที่ตรัสไว้ในรูปแบบของศีล สมาธิ ปัญญา หน้าที่ทางกายทางวาจาให้ถูกต้องเรียกว่า ศีล ทำจิตให้ถูกต้องเรียกว่า สมาธิ ทำปัญญาหรือความรู้ความถูกต้องนั้นก็เรียกว่า ปัญญา ศีล สมาธิ ปัญญา เป็นระบบหน้าที่ประเสริฐสูงสุดชั้นที่จะทำให้อยู่เหนือทุกๆ อย่างทุกประการ เรียกว่าอยู่เหนือโลก หมายความว่าโลกนี้จะไม่ทำให้บุคคลนี้เป็นทุกข์อะไรได้เลยแม้ว่าเขาจะอยู่ในโลกนี้โดยร่างกาย แต่โดยจิตใจของเขาอยู่เหนืออิทธิพลของสิ่งทุกสิ่งในโลกนี่คือธรรมะสูงสุด หน้าที่สูงสุดของชาวพุทธเรา เมื่อทำหน้าที่นี้แล้วมันก็มีผลเป็นมรรคผลนิพพาน ในการบรรลุมรรคผลนิพพานคือมีกิเลสสิ้นสุดลงไปเป็นตอนๆ เป็นขั้นตอน เป็นก้อนๆ จนกระทั่งหมดไม่มีเหลือ ไม่มีกิเลสใดใดเหลือเรียกว่า บรรลุ ผลสุดท้ายหรือพระนิพพานก็เรียกจบเรื่องของมนุษย์ มนุษย์เกิดมาสามารถทำได้อย่างนี้ และเมื่อทำได้อย่างนี้ก็จบเรื่องมนุษย์คนนั้น เรียกคนนั้นว่าเป็นพระอรหันต์บ้าง เป็นอย่างอื่นบ้าง แล้วแต่ว่าภาษาไหนจะเรียก แต่นิยมเรียกกันมาแต่โบราณว่า พระอรหันต์ แปลว่าผู้จบหน้าที่ของมนุษย์ เป็นบุคคลสูงสุด ยอดสุดของมนุษย์ มนุษย์สิ้นสุดแห่งการทำหน้าที่ มีแต่ความรอดพ้น อยู่อย่างเป็นผู้มีความรอดพ้น นี่ลองคิดดู ลองใคร่ครวญดู ลองเทียบเคียงดูไล่เรียงดูว่าธรรมะคืออะไร หน้าที่คืออะไร เป็นคู่กันมากับชีวิตอย่างไร ถ้าชีวิตนั้นปราศจากธรรมะ ชีวิตนั้นก็ต้องตาย เป็นภาษาของชาวบ้านว่าคู่ชีวิตคือภรรยาสามี มันมีความรู้แค่หางอึ่ง มันรู้เพียงแค่นั้น ไอ้คู่ชีวิตโดยแท้จริงนั้นคือธรรมะ สามารถทำให้ชีวิตนั้นรอดตลอดมาตลอดไป ส่วนคู่ชีวิตคู่ผัวตัวเมียนั้นบางคู่ก็ทะเลาะกัน ตีกัน ด่ากันหัวเดือนท้ายเดือน ไม่เท่าไร่ก็หย่ากันแล้วก็ไปหาคู่ใหม่ แล้วก็ทะเลาะกันหัวเดือนท้ายเดือน อย่างนี้เรียกว่าคู่ชีวิต ถ้าคู่ชีวิตอย่างนี้ก็สู่แมวหมาก็ไม่ได้ เพราะแมวและหมามันก็ไม่ได้ทะเลาะกันหัวเดือนท้ายเดือน หรือต้องไปฟ้องหย่าหรือไปอะไรกันให้ยุ่งยาก เมื่อพูดถึงคู่ชีวิตที่เป็นโดยแท้จริงแล้ว มันก็ต้องถือว่าไอ้สิ่งที่ทำให้ชีวิตรอดนั่นแหละคือคู่ชีวิต สิ่งใดทำให้ชีวิตรอด สิ่งนั้นเป็นคู่ชีวิต และอะไรหน้าที่ หน้าที่มันคู่กันอยู่กับชีวิตทุกเวลานาที ทุกวัน ทุกเดือน ทุกปีจนตลอดชีวิต หน้าที่คือธรรมะ ธรรมะคือหน้าที่ ขอให้ทุกคนจงตรวจสอบหน้าที่ของตนว่าได้ทำแล้วอย่างถูกต้อง วันหนึ่งคืนหนึ่งอะไรเป็นหน้าที่จะต้องกระทำให้ครบถ้วนถูกต้องและดีที่สุดเท่าที่จะทำได้ เรามีหน้าที่ที่จะต้องบริหารกาย ข้อแรก จะต้องกินอาหาร ต้องอาบน้ำ ถ้าจะต้องถ่ายอุจจาระปัสสาวะก็ต้องทำอะไรทุกอย่างเป็นกิจประจำวัน และก็มีหน้าที่ที่จะต้องไปทำการงาน ถ้าเป็นนักเรียนก็ไปเรียน ถ้าเป็นผู้ใหญ่แล้วก็ไปทำหน้าที่ ที่ๆ ทำงาน เสร็จแล้วก็กลับมาบ้านมาทำหน้าที่ทุกอย่างที่จะต้องทำทุกวันๆ ขอให้ตั้งจิตอธิษฐานจิตอย่างดีแล้วว่าจะทำหน้าที่นั้นๆ ให้ถูกต้อง ไม่ขี้เกียจ ไม่ขี้เกียจแม้กระทั่งอาบน้ำ ไม่ขี้เกียจแม้กระทั่งรักษาความสะอาดของบ้านเรือน วัตถุ สิ่งของ ไม่ขี้เกียจบริหารกาย ถ้ามีคนที่ขี้เกียจบริหารกาย คนนั้นก็มีร่างกายเสื่อมสุขภาพแล้วก็ใช้ประโยชน์อะไรไม่ได้ นี่มันผิดธรรมะสำหรับคนที่ไม่ทำหน้าที่ละเลยต่อหน้าที่ นอนตื่นสายอย่างนี้ก็เป็นคนที่ไม่มีธรรมะ คนไม่ทำงานตามหน้าที่ของตนนั่นแหละคือ คนไม่มีธรรมะ ถ้าเขามีธรรมะเขาจะนิ่งอยู่ไม่ได้ เขาจะทำหน้าที่ของตนอย่างสนุกสนาน ดังนั้นอาตมาจึงบอกว่าเพียงแต่ศีลธรรมกลับมา ศีลธรรมะกลับมา ปัญหาจะหมดไป เพราะว่าคนมีศีลธรรมะมันสนุกในการทำหน้าที่ก็เลยไม่มีการยากจน ไม่มีใครเจ็บไข้ ไม่มีใครโง่เง่างมงายเพราะเขาทำหน้าที่ จะพูดไว้สักประโยคหนึ่งซึ่งขอให้จำไว้จนตายเลยว่า ขอยืนยันว่าถ้าทุกคนทำหน้าที่ ปัญหาในหมู่มนุษย์นี้จะไม่มีเลย ถ้าทุกคนทำหน้าที่ ปัญหาในหมู่มนุษย์นี้จะไม่มีเลย ถ้าทุกคนทำหน้าที่ ปัญหาในหมู่มนุษย์นี้จะไม่มีเลย เดี๋ยวนี้ประเทศชาติมีปัญหาในเรื่องยากจน เรื่องเบียดเบียน เรื่องเอาเปรียบ เรื่องอะไรทุกอย่างทุกประการ ประเทศชาติมีปัญหาเศรษฐกิจ ขาดดุลการค้าเป็นหนี้เป็นสิน ท่วมหูท่วมหัว ปัญหานี้จะหมดไปทันที ถ้าทุกคนทำหน้าที่ ถ้าทุกพลเมืองทำหน้าที่ของตนให้ถูกต้องเท่านั้นปัญหานี้จะไม่มีเลย จะไม่มีใครใช้ของฟุ่มเฟือย ซึ่งทำให้มันขาดดุลการค้า และก็จะไม่มีใครคดโกงเบียดเบียนใคร ก็ไม่มีปัญหาเรื่องอาชญากรรมเรื่องอะไรต่างๆ ทุกอย่างปัญหาเกิดจากการที่คนไม่ทำหน้าที่ให้ถูกต้อง ถ้าทุกคนทำหน้าที่ของตนเท่านั้นแหละไม่ทำหน้าที่ของผู้อื่น ทำหน้าที่ของตนให้ถูกต้องมันจะมีความถูกต้องเกิดขึ้นในแผ่นดินนี้ จนไม่มีปัญหา ถ้าทำหน้าที่ของตนถูกต้องจิตใจก็เจริญ จิตใจก็จะสูงขึ้นไป สูงขึ้นไป จนรู้ว่าธรรมะคือหน้าที่สูงสุด ไม่เบียดเบียนเขาหรือรักผู้อื่น ยินดีที่จะช่วยเหลือผู้อื่น หากเรารู้สึกว่า เราอยู่ในโลกคนเดียวไม่ได้ เพราะว่าธรรมะชาตินี่ได้สร้างมนุษย์มาสำหรับอยู่กันมากๆ ไม่ใช่สำหรับอยู่คนเดียว เราไม่อาจจะอยู่คนเดียวได้ สมมุติว่าทั้งหมดในโลกเนี่ยเค้ายกให้เราคนเดียว ยกทรัพย์สมบัติในโลกให้เราคนเดียวแล้วให้เราอยู่คนเดียว จะอยู่ได้หรือไม่ลองคิดดู แล้วมันจะมีประโยชน์อะไร อยู่คนเดียวครองโลกทั้งหมดนี้คนเดียว 2-3 วันก็บ้าตาย เพราะว่าธรรมะชาติมันสร้างมาสำหรับอยู่กันมากๆ ถ้าเป็นคนมีธรรมะแล้ว ไม่เป็นไรอยู่กันได้สบายไม่คุ้มกำเนิด
หน้าที่ 4 – สมาทานธรรมะ
เดี๋ยวนี้มันมีคนที่ไม่อยู่ในร่องในรอยของธรรมะมากขึ้นดูแลกันไม่ทัน ปกครองกันไม่ทัน จึงมีความคิดไปในทางคุ้มกำเนิดกันมากนัก นี่ก็เพราะความเลวของมนุษย์นั่นเองสร้างปัญหาขึ้นมามากมายจนควบคุมไม่ได้จนต้องคิดคุ้มกำเนิด ถ้าทุกคนมีธรรมะ ขยันขันแข็งในหน้าที่ของตนในมนุษย์ของตนก็ไม่เป็นภาระใครเบียดเบียนใครอยู่กันเท่าไรก็ได้ อยู่ได้อีกมากในโลกนี้ไม่ต้องคุ้มกำเนิด นี่ดูประโยชน์ของสิ่งที่เรียกว่าธรรมะ เมื่อเราธรรมะชาติสร้างมาสำหรับอยู่ในโลกด้วยกันเป็นจำนวนมาก เป็นสังคมใหญ่ เราจึงต้องนึกถึงผู้อื่นนอกจากตัวเราเพื่อว่าเราจะไม่เบียดเบียนใคร เพื่อว่าเราจะช่วยเหลือซึ่งกันและกัน ให้มีความผาสุกยิ่งๆ ขึ้นไป อย่างศาสนาพระศรีอารยเมตรัย ซึ่งเขาวาดไว้วางไว้ให้เป็นเป้าหมายของมนุษย์ เมื่อมีความเจริญถึงที่สุดมีความเป็นมนุษย์ที่ประกอบเป็นธรรมะถึงที่สุดแล้วภาวะโลกพระศรีอารยเมตรัยก็จะเกิดขึ้น คือคนทุกคนมีจิตใจดี มีจิตใจบริสุทธิ์สะอาดทำหน้าที่ของตนเพื่อประโยชน์แก่ผู้อื่น พร้อมที่จะช่วยผู้อื่น มีลมหายใจอยู่ในโลกนี้ด้วยคิดว่าจะช่วยผู้อื่น มีความสุขเกิดมาจากได้ช่วยผู้อื่น
เขาจึงวาดภาพโลกพระศรีอารยเมตรัยไว้อย่างประหลาดมหัศจรรย์ เช่นว่าไม่มีอะไรที่เป็นความขาดแคลน แต่พูดไว้ในรูปแบบอุปมา เช่น ว่ามีต้นกาลปะพฤกษ์อยู่ทั่วไปทั้ง 4 มุมเมือง ใครต้องการอะไรไปเอาได้ที่นั่นโดยไม่มีใครขาดแคลน แต่ที่พูดกันไว้อย่างธรรมดาสามัญก็พูดว่าพอลงจากเรือนก็จำไม่ได้ว่าใครเป็นใคร ไปในท้องถนนจำไม่ได้ว่าใครเป็นใคร เหมือนกันหมดมีหน้าตายิ้มแย้มแจ่มใส ชูมือสะหล่อนหมดว่าจะให้ทำอะไรให้ช่วยอะไร ต้องการอะไรจนไม่รู้ว่าใครเป็นใคร แต่กลับมาบ้านตนเองจึงรู้ว่านี่บ้านของเรา นี่ภรรยาสามีของเราอย่างนี้เป็นต้น เพราะว่าคนทุกคนเป็นมิตรเป็นสหายสมตามคำว่าเมตรัย เมตรัย เมตะคือคำว่ามิตรมาจากคำว่ามิตรประกอบท้ายศัพท์เป็นอริยะ เมตรัยะแปลว่าเครื่องเกื้อกูลของมนุษย์ เครื่องเกื้อกูลแก่มิตร เมตรัย ศรีอาริยะเป็นคำคุณศัพท์ประกอบให้รู้ว่าประเสริฐอย่างยิ่ง สูงสุดอย่างยิ่ง วิเศษอย่างยิ่ง พูดเป็นภาษาธรรมดาก็คือมิตรภาพอย่างยิ่ง นี่ยังไม่ถึงนิพพานแต่อยู่ในโลกชนิดดีที่สุด สูงที่สุด เป็นโลกแห่งความรักผู้อื่นเพราะไม่มีกิเลส ที่เห็นแก่ตัว คนในโลกพระศรีอารยเมตรัย นั้นไม่รู้จักความเห็นแก่ตัว รู้จักแต่มิตรภาพ มีจิตใจสูงถึงขนาดไม่เห็นแก่ตัว เห็นแก่ผู้อื่น ชีวิตอื่น สัตว์อื่น คงไม่ต้องพูดถึงการเบียดเบียน การเบียดเบียนไม่มีและก็มีแต่มิตรภาพ นี่ก็เรียกว่าธรรมะสูงสุดในระดับที่เป็นโลก เป็นอย่างโลกยังไม่ถึงนิพพาน แต่ว่าพร้อมกันนั้นก็มีหลักการหรือมีความมุ่งหมายที่จะก้าวหน้าไปสู่พระนิพพาน นี่เอาแต่เพียงว่าที่อยู่ในโลกนี้มันอยู่กันอย่างนี้ อย่างกับว่ามันเป็นมิตรที่สุดสูงสุดด้วยกันทุกคน ทุกคนทำหน้าที่ของตนของตนและมีผู้ช่วยเหลือจนไม่มีความยุ่งยากลำบากขาดแคลนอะไร นี่ความเป็นมิตรมันเป็นเหตุให้ช่วยเหลือกันและกันในการทำหน้าที่ของตนโดยเฉพาะในการปฏิบัติธรรมะนั้นเอง มันจึงมากไปด้วยธรรมะ ก็หมายความว่าทุกคนทำหน้าที่ของตนได้เต็มเปี่ยม มันไม่มีความขาดแคลนอะไร ทางวัตถุก็ไม่ขาดแคลนอะไร ทางกายก็ไม่ขาดแคลนอะไร มีแต่ความพอใจ เดี๋ยวนี้เรายังห่างไกลต่อโลกพระศรีอารยเมตรัย ดูจากหนังสือพิมพ์รายวันแต่ละฉบับในกรุงเทพฯ ที่ออกอยู่ในกรุงเทพฯ ดูข่าวหนังสือพิมพ์นั้นแล้วก็พอจะมองเห็นได้ว่ายังอยู่ไกลต่อโลกพระศรีอารยเมตรัย ยังอยู่ในสภาพเหมือนกับอยู่ในนรก มีการฆ่าฟัน มีการเบียดเบียนกัน เลวร้ายเหลือประมาณ ฆ่าบิดามารดาของตนก็ได้ ฆ่าลูกก็ได้ ฆ่าพ่อก็ได้ แล้วก็เห็นแต่ประโยชน์ของตนแม้จะต้องทำลายผู้อื่นเขาก็ทำลายผู้อื่นเพื่อเอาประโยชน์ของผู้อื่นมาเป็นของตน นี่เรียกว่าเทียบกับโลกพระศรีอารยเมตรัยแล้วมันก็คล้ายกับว่านรกกับสวรรค์ สวรรค์กับนรก โลกปัจจุบันนี้เรียกกันว่าเป็นกลียุค อยู่ในกลียุค กลีคือความเลวความร้าย มีศีลธรรมต่ำทราม เพราะมีจิตใจต่ำทราม เพราะไม่รู้จักความเป็นมนุษย์ของตน ไม่รู้จักหน้าที่เพื่อความเป็นมนุษย์ของตน จึงอยู่กันอย่างต่ำทรามและถ้าเป็นไปโดยนัยนี้มากขึ้นๆ ก็จะเป็นทุกข์กันทุกคน คนที่ไม่ได้ทำความผิดความชั่วอะไร ก็มีคนมาเบียดเบียนให้มีความทุกข์ความร้อนเป็นตายไปเลย คนที่ไม่ได้ทำความผิดอะไร เมื่อคนอันธพาลมันมากมันแน่นหนาเข้าในบ้านในเมืองนั้นก็ถูกเบียดเบียนทั้งที่ไม่ได้ทำความผิดอะไร*ไอ้ความที่ไม่มีธรรมะนั้นมันเป็นอย่างไร มันร้ายกาจสักเท่าใด การที่คนไม่ปฏิบัติหน้าที่ตามธรรมะ แล้วไปปฏิบัติหน้าที่ตรงกันข้ามคือหน้าที่ตามอำนาจของกิเลส คือความโง่ แล้วก็มีโลภะ โทสะ โมหะรุ่นแรงอยู่ใต้อำนาจของกิเลสแล้ว กิเลสก็จะพาไปให้ทำอะไรตามแบบของกิเลส อย่างนี้ก็เรียกว่า เลวร้ายกว่าอยู่ในนรกเสียอีก เพราะว่าเบียดเบียนกันเกินประมาณ ในนรกนั้นมันก็ถูกเผา ถูกเฆี่ยน ถูกตี ถูกอะไรไปตามเรื่อง แต่ว่าไม่มีความเบียดเบียนกันอย่างเกินประมาณ57.38เหมือนกับในโลกมนุษย์ที่มันมีแต่กิเลสนี่เรียกว่าขาดธรรมะแล้ว โลกนี้จะเป็นอย่างไร เมื่อขาดธรรมะแล้วบุคคลคนหนึ่งๆ จะเป็นอย่างไร ขอให้ตั้งใจแน่ใจอธิษฐานว่าจะเป็นผู้สมาทานธรรมะ ช่วยจำไว้สักคำหนึ่งก็ดีว่าสมาทานธรรมะหรือธรรมะสมาทาน คำว่าสมาทานนั้นแปลว่า ถือเอาไว้อย่างดี รับเอาไว้อย่างดีเรียกว่าสมาทาน เช่น เราสมาทานศีลอย่างนี้เราก็หมายความว่าเราจะรับศีลมาถือไว้อย่างดี สังอาคายะถือไว้อย่างถูกต้องครบถ้วนสมาทาน นี้เราจะสมาทานธรรมะจะประพฤติหน้าที่อย่างถูกต้องของสิ่งที่มีชีวิตตั้งแต่ต่ำที่สุดขึ้นไปยังสูงที่สุด ไม่มีความผิดชนิดที่จะให้เกียจชังตัวเอง มีแต่รู้สึกว่าถูกต้องถูกต้อง พอใจตัวเอง เคารพตัวเอง นับถือตัวเอง บูชาตัวเอง ชื่นใจต่อตัวเอง ยกมือไหว้ตัวเองได้ คำนี้คือสวรรค์ ถ้ามีอะไรดีจนยกมือไหว้ตัวเองก็หมายความว่าเป็นสวรรค์อันแท้จริง สวรรค์นี้ไม่หลอกก็ลองคิดดูสิ ถ้ามีอะไรดีจนยกมือไหว้ตัวเองแล้วมันก็มีความสุขที่สุดแสดงอยู่ชัดที่สุดไม่ต้องหลอก ไม่ต้องคาดคะเนไอ้สวรรค์ที่เขาพูดว่าต่อไปตายแล้วจะไปอยู่ สวรรค์มีวิมานมีอะไรนั่นหนะไม่รู้ใครพูด พระพุทธเจ้าก็ไม่ได้พูด เพราะเขาก็พูดกันมาก่อนพระพุทธเจ้าคงจะพูดกันตั้งแต่สมัยที่คนยังโง่ ยังไม่รู้เรื่องอะไรมากไปกว่าเป็นเรื่องกิน เรื่องเล่นเรื่องหัวเราะ เรื่องอะเหร็ดอร่อยเต็มไปด้วยกามอารมณ์ทางเพศ เลยวาดภาพไว้ว่าในสวรรค์นั้นเต็มไปด้วยความสนุกสนานทางเพศอย่างนี้สวรรค์สกปรกลองคิดดูมันจะได้อะไรมันจะมีประโยชน์อะไร ถ้าเราทำอะไรจนยกมือไหว้ตัวเองได้นี้เป็นสวรรค์สะอาด เป็นสวรรค์ที่แท้จริง ดังนั้นขอให้เรารู้จักตัวเองว่ามันมีอะไรมันเป็นธรรมชาติอย่างไร รู้จักตัวเอง เข้าใจตัวเองแล้วก็ควบคุมตัวเองให้เป็นไปอย่างถูกต้อง จนเป็นที่พอใจแก่ตัวเอง จนยกมือไหว้ตัวเองได้นี่แหละสวรรค์อันแท้จริง ที่อยู่ในอำนาจของเราที่จะสร้างสรรค์ขึ้นมาได้
หน้าที่ 5 – กิเลสชั้นละเอียดที่สุด
ขอให้ทุกคนรู้จักหน้าที่ของตน คือธรรมะ รู้จักธรรมะคือ หน้าที่ของตนและก็กระทำหน้าที่ของตนให้ถูกต้องให้ครบถ้วนจนมองเห็นแล้วก็พอใจตัวเองยกมือไหว้ตัวเองได้ แม้ว่าจะไม่ได้ทำอาการยกมือไหว้ตัวเองได้แต่ก็ในจิตใจมันก็รู้สึกว่าเรายกมือไหว้ตัวเองก็พอ ขอให้จัดปรับปรุงแก้ไขระมัดระวังไอ้สิ่งที่มันยังผิดอยู่ให้มันหมดไป อย่าให้มีหน้าที่ที่คดโกง หน้าที่ที่ปลอม หน้าที่ที่ไม่เป็นธรรมะ ให้มีแต่หน้าที่ที่เป็นธรรมที่ถูกต้อง เป็นไปเพื่อดับทุกข์ เป็นที่พอใจแก่ทุกคนที่ได้พบได้เห็น ก็มีความเปลี่ยนแปลงอันใหญ่หลวงเกิดขึ้น รู้เรื่องของกิเลสอย่างที่เคยพูดเมื่อวานว่าจิตใจที่ควบคุมไม่ได้มันก็เกิดกิเลส เกิดเป็นความเศร้าหมอง เป็นความทุกข์ เป็นความเดือดร้าน ถ้าเรามีความรู้ในเรื่องนี้ ศึกษาเพียงพอแล้วประพฤติปฏิบัติ ควบคุมกำจัดกิเลสได้จนกระทั่งว่าไม่มีความยึดถือว่าตัวตน กิเลสชั้นละเอียดที่สุด คือการยึดถือว่าตัวตนและก็มีความโลภ ความโกรธ ความหลงอย่างหยาบๆ ขึ้นมาแล้วก็เดือดร้อนระส่ำระสายกันไปหมด เพราะว่ามีปัญญารู้จนถึงความไม่มีตัวตน ไม่ยึดถือสิ่งใดโดยความเป็นตัวตน แล้วมันก็ไม่มีใครจะเป็นทุกข์คิดดูให้ดี ถ้ามันไม่มีตัวตน มันก็ไม่มีใครที่จะเป็นทุกข์ ถ้าร่างกายนี้จิตใจนี้ชีวิตนี้มันศึกษาธรรมะจนเข้าถึงความไม่มีตัวตนแล้วมันก็ไม่มีใครจะเป็นทุกข์ แต่แล้วก็อย่าเสียใจที่ไม่มีใครต้องเป็นทุกข์ ถ้ามันจะเป็นสุขมันก็เป็นสุขตามธรรมชาติของมันเพราะว่ามันไม่มีความทุกข์ มันเป็นสภาพที่ว่างที่ปราศจากความทุกข์โดยแท้จริง ทีนี้ไม่เป็นไรเราไม่มีความทุกข์ ให้คนทั้งโลกเป็นอันธพาลกันทั้งหมดมารุมเบียดเบียนเราอย่างเดียวเราก็ไม่มีความทุกข์
ลองคิดดูให้ดีว่าธรรมะนี้มีประโยชน์อย่างไร ผู้ที่ไม่มีตัวตนมันไม่มีใครจะมาจับเขาให้ไปเป็นทุกข์ได้ ให้ระเบิดปรมาณูลงมาเต็มบ้านเต็มเมืองก็ไม่ถูกคนนั้นซึ่งเขาไม่มีตัวตน เขาไม่มีความรู้สึกยึดถือว่าสิ่งใดเป็นตัวตนของเขาไม่มีความทุกข์ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น นี่จะเป็นทางออกได้ถ้าสมมุติว่าโลกนี้ที่มันจะเลวลง โลกนี้เลวลง เลวลงจนเต็มไปด้วยอันธพาลหมดทั้งโลกเราก็ยังต้อนรับได้ด้วยธรรมะสูงสุด คือความไม่มีตัวตน ไม่เป็นทุกข์ ไม่มีอะไรจะทำให้เป็นทุกข์ได้ กรรมชั่วเลวร้ายก็ไม่ได้ทำ ไม่มีอะไรที่ทำให้เป็นทุกข์ได้ กรรมดีก็ทำไว้สำหรับให้จิตใจมันเจริญ จนมองเห็นว่าไอ้ดีมันก็ยุ่ง ไอ้ชั่วมันก็ยุ่ง ก็เลยไม่ต้องการ ไม่ต้องการยุ่งอย่างชั่ว ไม่ต้องการยุ่งอย่างดี ต้องการแต่ความสงบคือว่างไปจากการปรุงแต่งทุกอย่าง นี่จบเรื่องของธรรมะ ผู้นั้นได้ปฏิบัติหน้าที่ของตนตามลำดับแล้วก็สูงขึ้นไป สูงขึ้นไป จนถึงที่สุดของธรรมะ เป็นโลกุตลธรรม ถ้ายังไม่ถึงนี่ก็มีแต่โลกียธรรม ล้มลุกคลุกคลานหัวหกก้นขวิดไปตามประสาคนในโลก ชั่วก็ยุ่งอย่างชั่ว ดีก็ยุ่งอย่างดี ถ้าไม่ต้องยุ่งก็อยู่เหนือชั่วเหนือดีเป็นโลกุตลธรรม เอาเรื่องนี้มาพูดกับท่านทั้งหลาย บางคนจะเห็นว่าบ้าแล้วก็ได้ เอาเรื่องที่มันสูงเกินไปดีเกินไปมาพูดกับคนอายุน้อยๆ เป็นคนบ้า พยายามจะพูดไว้ ให้รู้ไว้ว่าข้างหน้านั้นมันมีอยู่อย่างนี้ ในอนาคตข้างหน้านั้นมันจะไปจบกันที่นั่น ชีวิตนี้สภาพนี้มันจะไปจบกันที่นั่น คือ อยู่เหนือชั่วเหนือดี ไม่มีความรู้สึกว่าเป็นตัวเป็นตนที่จะชั่วหรือดี มีแต่ความว่างจากตัวตน มีจิตใจที่ไม่ต้องการอะไร ไม่ยึดถืออะไร มีอยู่แต่ความว่างจากกิเลส ว่างจากทุกข์ ว่างจากตัวตน จนกว่าร่างกายมันจะดับไปจิตนี้มันก็ดับไปแล้วมันก็เลิกไปเลิกไปหมด ถ้าทำได้อย่างนี้ก็เรียกว่าได้ทำหน้าที่ หน้าที่ หน้าที่ ถูกต้องครบถ้วนแต่ต้นจนปลายจนถึงที่สุดเท่าที่มนุษย์จะทำได้ นี่ความลับของมนุษย์มีอยู่อย่างนี้ ใครรู้เรื่องนี้ก็คงจะมีประโยชน์คือจะได้ไม่เดินผิดทาง จะได้จัดให้ชีวิตอัตภาพนี้ดำเนินไป ก้าวหน้าไป ในทางที่ถูกต้องต่อจุดหมายปลายทางที่แท้จริงของมนุษย์ เรียกว่า ความหลุดพ้นจากปัญหา จากความทุกข์ทั้งปวง ทีนี้ก็จะพูดในข้อที่ว่า ธรรมะคือสิ่งที่มีค่าสูงสุด หรือค่าสูงสุดความหมายสูงสุดของคำว่าธรรมะ ธรรมะแปลว่าหน้าที่ หน้าที่คือ สิ่งที่จะช่วยให้รอด ผู้ใดทำหน้าที่แล้วผู้นั้นจะรอด แล้วแต่ว่าจะทำหน้าที่รอดชั้นไหน รอดชั้นต้นๆ รอดชั้นกลางๆ รอดชั้นปลายสุด แต่ว่าความรอดนั้นจะมีมาจาการทำหน้าที่ ไอ้สิ่งที่เรียกว่าหน้าที่นี้เองคือธรรมะ เราควรจะเห็นธรรมะ มองเห็นธรรมะเป็นสิ่งสูงสุด มันเป็นสิ่งที่ต้องคู่กันกับชีวิต เป็นสิ่งที่จะอาศัย เป็นหลักแล้วดำเนินไป ดำเนินไปให้ถึงจุดหมายปลายทางว่าธรรมชาติสร้างมนุษย์ขึ้นมาเพื่ออะไร จะมองเห็นว่าไอ้การที่ได้มาเวียนว่ายเป็นมนุษย์นี้ มันก็ไม่น่าสนุกอะไร แต่ว่ามันก็ได้เกิดมาแล้ว เดี๋ยวนี้เราก็ได้เกิดมาแล้ว ทั้งที่แท้จริงเราก็ไม่ได้มีเจตนาที่จะเกิด แต่เราก็ได้เกิดมาแล้วจากบิดามารดา เกิดมาแล้วจะฆ่าตัวตายมันก็ไม่มีประโยชน์อะไร เกิดมาแล้วก็ต้องยอมรับสภาพที่ว่ามันจะต้องทำอย่างไร จะให้การที่ได้เกิดมานี้กลายเป็นสิ่งที่มีประโยชน์ ในชั้นต้นนี้ก็เกิดขึ้นมาเพื่อศึกษา ให้รู้ว่าเกิดมาทำไม นั้นแล้วก็ประพฤติปฏิบัติในสิ่งที่ควรจะได้นั่นแหละคือการปฏิบัติหน้าที่ขอให้ยึดหลักที่ว่า มีหน้าที่สำหรับชีวิต มีหน้าที่ที่จะช่วยตัวเองให้รอดพ้นจากปัญหาทั้งปวง ชีวิตมีแล้วจะเวณคืนใครก็ไม่ได้ จะฆ่าตัวเองตายก็ไม่มีประโยชน์อะไร เหลืออยู่ว่าจะใช้มันให้เป็นสิ่งที่มีประโยชน์นั่นแหละ เพียงแต่มีประโยชน์ มีประโยชน์จนกว่าจะสิ้นสุดแห่งประโยชน์คือไม่ต้องการประโยชน์ ถ้ายังต้องการประโยชน์อยู่ยังไม่จบ นี่พูดให้ฟังกันอย่างนี้ว่า ถ้าเรายังต้องการประโยชน์อยู่ชีวิตนั้นยังไม่จบ ถ้ามันถึงจุดสูงสุดของสิ่งที่เรียกว่า ชีวิตแล้วมันไม่ต้องการประโยชน์อะไร มันเป็นความเป็นอยู่ด้วยความว่าง พระอรหันต์ทั้งหลายรวมทั้งพระพุทธเจ้าด้วย ท่านบอกว่าอยู่ด้วยบุญตาวิหาร บางคนจะคิดพระอรหันต์หรือพระพุทธเจ้าอยู่ด้วยพรหมวิหารมันยังต่ำไป อยู่อย่างมีตัวตน คิดนึกถึงผู้อื่น เมตตากรุณายังต่ำไป ผู้อยู่ด้วยความว่างไม่มีตัวตนได้ จิตเห็นความว่างจากตัวตนไม่มีอะไรที่เป็นตัวตนมันก็ไม่มีความทุกข์อย่างนั้นเรื่อยไป พอมีเวลาก็สอนผู้อื่นให้รู้จักเรื่องนี้บ้าง และจะได้มีผู้บรรลุธรรมะสูงสุดด้วยกันจนกว่าว่าสังขารร่างกายนี้มันถึงที่สุดของมัน มันจะต้องแตกดับ สังขารแตกดับจิตก็ดับมันก็หมดก็จบเรื่อง นี่เรื่องมันจบที่นี่ เรื่องของชีวิตมันจบที่นี่ นี่พูดตั้งแต่จุดตั้งต้นจนถึงจุดปลายทางที่สุด เรื่องตอนหลังๆ นี้ก็คงจะเกินไป สำหรับผู้ที่จะอยู่ในโลก แต่ก็ไม่เกินไปสำหรับผู้ที่จะอยู่เหนือโลกหรืออยู่เหนือความทุกข์ทั้งปวง ไอ้ส่วนที่มันเกินก็ถือว่าสำหรับคนอื่นก็แล้วกัน ถ้าตัวเองไม่ชอบก็ถือว่าสำหรับคนอื่นที่เขาจะเอาประโยชน์ได้ในธรรมะมีอย่างนี้ เรียกว่า ธรรมะทั้งหมดๆ ในพระพุทธศาสนามีแต่เพียงว่าเป็นหน้าที่ที่จะต้องประพฤติกระทำตั้งแต่อยู่กันสุขสบายในโลกจนถึงขั้นจิตอยู่เหนือโลกไม่ต้องการอะไรโดยประการทั้งปวง ไม่ต้องการสุข ไม่ต้องการทุกข์ ไม่มีตัวตนที่เป็นผู้อยู่ มีจิตที่ว่างจากตัวตน จิตเป็นของธรรมชาติ มีอยู่ตามธรรมชาติถ้ามีเรื่องตัวตนก็มีเรื่องยุ่งไปตามแบบตัวตน ถ้ามันถึงความไม่มีตัวตนจิตนี้ก็ว่าง แล้วก็ถึงที่สุดเมื่อร่างกายนี้มันแตกดับไป เรื่องจบแล้ว นี่ความหมายอันสูงสุดหรือคุณค่าอันสูงสุดของสิ่งที่เรียกว่า ธรรมะ คือ หน้าที่ หน้าที่ หน้าที่ที่จะต้องประพฤติ ประพฤติ ประพฤติ กระทำ กระทำ กระทำไปอย่างถูกต้องแล้วก็มีวิวัฒนาการในทางจิตจนไปอยู่ในสภาพที่เรียกว่า สูงสุดเหนือโลก ถ้ายังไม่ต้องการก็ไม่เป็นไร ให้รู้ไว้ก็เพื่อว่าจะไม่หลงทาง ถ้ายังไม่ต้องการก็ไม่เป็นไร แต่ถ้ายังอยากจะอยู่ในโลกนี้ก็จงทำหน้าที่ ทำหน้าที่ ทำหน้าที่ตามหน้าที่ของตน นั่นก็เรียกว่าเป็นคนที่มีธรรมะไม่ใช่ว่ามาฟังมาสวดมาเรียนมาท่องมาอะไรแล้วจะมีธรรมะมันเป็นเพียงการเตรียม การเตรียมที่จะมีธรรมะต่อเมื่อปฏิบัติตามหน้าที่อย่างถูกต้องก็มีความเปลี่ยนแปลงในทางจิตใจ ไม่เกิดกิเลสหรือกิเลสเกิดน้อยลงไปจนไม่เกิดกิเลส เป็นผู้ชนะกิเลส เป็นชีวิตชนิดที่กิเลสครอบงำไม่ได้ เป็นชีวิตอิสระสูงสุดเพราะทำหน้าที่ของตนอย่างถูกต้องเรื่องก็จบ การบรรยายนี้ก็สมควรแก่เวลาแล้ว ขอให้ท่านทั้งหลายกำหนดใจความของเรื่องไว้ให้ดีให้แม่นยำว่า ธรรมะคือหน้าที่ หน้าที่คือธรรมะ ปฏิบัติหน้าที่ก็คือปฏิบัติธรรมะ พอจะทำหน้าที่ก็ประนมมือให้แก่หน้าที่ในฐานะที่เป็นธรรมะ จะทำการทำงานอะไรประนมมือรวบรวมจิตใจทำให้ดีที่สุด เมื่อจะลงมือทำงานอะไรจงประนมมือให้แก่หน้าที่ให้แก่ธรรมะด้วยตั้งใจมีสติสัมปชัญญะทำให้ดีที่สุดแล้วก็จะเจริญงอกงามไปตามทางของธรรมะโดยไม่ต้องสงสัย ขอยุติการบรรยายไว้เพียงเท่านี้
http://www.vcharkarn.com/varticle/32693