ความรักผู้อื่น โดย ท่าน พุทธทาส

ความรักผู้อื่น โดย ท่าน พุทธทาส

หน้าที่ 1 – ความรักผู้อื่น
หมายความว่าอาตมาจะต้องพูดว่าท่านทั้งหลายพากันมองข้ามสิ่งที่เรียกว่า ความรักผู้อื่น ระหว่างนี้เราก็พูดกันแต่ว่าความรักผู้อื่น เพราะว่าเป็นหัวใจของศาสนาทุก ๆ ศาสนา จึงอยากจะให้นำเอามาศึกษาพินิจพิจารณาใคร่ครวญโดยละเอียดและบรรยายไว้ในทุกชุดของการบรรยาย การบรรยายชุดนี้คือชุดที่เรียกว่าสิ่งสำคัญที่พากันมองข้าม ก็จะรวมเอาเรื่องความรักผู้อื่นเอาไว้ในชุดนี้ด้วย ขอให้ทำความเข้าใจกันให้ถึงที่สุดเสียสักที เรามองข้ามสิ่งสำคัญกันมาหลายเรื่องแล้ว นับตั้งแต่มองข้ามเรื่องโลกมนุษย์กำลังจะหมดความเป็นโลกมนุษย์ โลกพระศรีอาสน์อยู่แค่ปลายจมูกนี้เราก็มองข้าม การทำภาวนาเป็นสิ่งที่มีคุณค่าสูงสุด เราก็มองข้าม ชีวิตพื้นฐานคือจิตประภัสสรคือไม่มีความทุกข์เลยนี้ก็เรามองข้าม

เราก็ได้พูดสิ่งสำคัญที่ได้พากันมองข้ามมาสี่เรื่องแล้ววันนี้เป็นเรื่องที่ห้าคือ ความรักผู้อื่นขอให้สังเกตดูให้ดีก็จะพบว่าเป็นสิ่งที่เรามองข้ามอย่างยิ่ง การมองข้ามสิ่งที่มีประโยชน์เสียเราก็ไม่ได้รับประโยชน์ เรามองข้ามสิ่งที่สำคัญเราก็จะประสบความสูญเสียอย่างยิ่ง ขอให้สนใจกันดีๆ ความรักผู้อื่นขอให้มองกันในลักษณะอย่างไรบ้างอาตมาก็จะได้ชี้ให้เห็นไปที่ละข้อ ข้อแรกเรามองข้ามว่าความรักผู้อื่นนั่นแหล่ะเป็นความรอดหลุดพ้นหรือสันติสุขของเรา ทั้งของสังคมหรือของบุคคลแต่ละคน ๆ ความรักผู้อื่นนี้คงจะไม่ต้องอธิบายอะไรกันมากหมายความว่ามีเมตตามีกรุณาอย่างที่เราพูดกันอยู่มานานแล้วว่ามีเมตตามีกรุณารักใคร่เอ็นดูเทิดทูลสัตว์ทั้งหลายเหล่าอื่นอยู่เป็นประจำนี้เรียกว่ารักผู้อื่นแต่ไม่ได้หมายถึงผู้อื่นชนิดที่หลอกให้เข้าใจผิด โดยที่จะต้องเป็นผู้อื่นจริง รักลูกรักเมีย รักผัว รักเพื่อน กินเหล้ารักเพื่อนเล่นเพื่อนตามงานอย่างนี้ยังไม่ใช่เรียกว่ารักผู้อื่นย่างนี้มันยังเรียกว่ารักตัวเองที่ออกไปมีอยู่ภายนอก เรียกว่าเป็นส่วนหนึ่งของตัวเอง รักผู้อื่นต้องให้อภัยก่อนคือเป็นผู้อื่นจริงๆ ถ้าเรารักผู้อื่นนี้โลกนี้ทั้งโลกมันก็เป็นโลกเดียวกันสำหรับทุกคนคือเป็นโลกที่มีแต่ความรัก ความเมตตาของคนทุกคน ทำให้เหมือนกับว่าทุกคนมันเป็นคนๆเดียวกัน ทุกศาสนาต้องการจะหลอมคนทุกคนให้เป็นคนๆเดียวกันด้วยคุณธรรมข้อนี้ เพราะถ้ามันมีความรักกันจริง มันก็กลายเป็นคนๆเดียวกันจริง คือมันเบียดเบียนกันไม่ได้ ถ้าเรารักผู้อื่นมันก็ฆ่าเขาๆไม่ได้ ลักขโมยของเขาไม่ได้ ประพฤติผิดในของรักเขาไม่ได้ขโมยของเขาไม่ได้ โกหกเขาไม่ได้ จะหาความสนุกสนานของเมากระทบกระทั่งผู้อื่นโดยเจตนาอย่างนี้ก็ทำไม่ได้ เมื่อรักผู้อื่นแล้วก็ไม่เอาเปรียบใครไม่ทำให้ใครลำบาก ยุ่งยากแม้แต่นิดเดียว คำกล่าวในพระคัมภีร์มีว่ามองดูกันด้วยสายตาแห่งความรัก ทุกคนเข้ากันได้สนิทเหมือนกับน้ำและน้ำนมเข้ากันได้สนิททั้งนั้น ถ้าไม่รักผู้อื่นแล้วมันเข้ากันไม่ได้ น้ำกับน้ำมันนี่มันเข้ากันไม่ได้ เมื่อรักผู้อื่นแล้วมันก็ไม่มีการเบียดเบียนสังคมก็เป็นสุขไปหมดเหมือนกับว่ามีแต่คนๆเดียวเท่านั้น บุคคลแต่ละคนๆก็ได้รับประโยชน์สูงสุดเพราะว่าไอ้ความรักผู้อื่นนี้มันทำลายความเห็นแก่ตัว ศัตรูของมนุษย์นี้ไม่มีอะไรจะร้ายไปกว่าความเห็นแก่ตัว ความเบียดเบียนทุกรูปแบบ ความกระทบกระทั่ง กระทั่งความขัดแย้งในทุกรูปแบบมันมาจากความเห็นแก่ตัวทั้งนั้น นี่เราประสงค์อย่างยิ่งที่จะทำลายความเห็นแก่ตัว แต่ว่าความเห็นแก่ตัวนี่มันเหนียวแน่นยากที่จะทำลายได้ จะต้องมีอะไรที่มันพอๆกัน จะต้องมีฤทธิ์พอๆกันจึงจะทำลายมันได้ ทั้งความรักผู้อื่นนั่นแหล่ะที่จะทำลายความเห็นแก่ตัวได้ เหมือนพระกับมารที่มันเป็นข้าศึกกันอยู่ในตัว ความเห็นแก่ตัวเป็นฝ่ายกิเลส ความรักผู้อื่นเป็นฝ่ายปัญญา ความจริงมันมีอยู่อย่างที่ว่านี้ คือความรักผู้อื่นมันเป็นทางรอดสุขสบายของมนุษย์ แล้วเราก็มองข้ามไปเสีย ไม่เห็นว่าเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุดสำหรับมนุษย์เราก็ไม่ค่อยเอาใจใส่กัน ไม่ค่อยพูดจากันถึงเรื่องความรักผู้อื่น ไม่อบรมลูกหลานให้สนใจในการที่มีความรักผู้อื่น นี่เราจึงติดคุกอันเหนียวแน่นของความเห็นแก่ตัวอยู่ตลอดเวลา ถูกทนทรมานอยู่ในคุกตารางของความเห็นแก่ตัวอยู่ตลอดเวลา เราก็ยังมองข้ามอยู่นั่นเอง ตรวนที่พันขาอยู่นั้นเราก็มองไม่เห็น คือที่แขวนคออยู่เราก็มองไม่เห็น อะไรๆเราก็มองไม่เห็น ไม่เห็นคุกตารางกักขังจิตวิญญาณของเราอยู่ มันไม่เห็นทางออกคือความรักผู้อื่น ดังนั้นอาตมาจึงพูดว่าความรักผู้อื่นนั้นเป็นสิ่งที่เรามองข้ามในลักษณะอย่างนี้ คือว่ามันเป็นของประเสริฐเป็นหนทางหลุดรอดของเราเราก็มองข้ามเสีย นี้ข้อที่สองเรามองข้ามกันถึงกับทำให้เราโง่ เรามองข้ามมากจนถึงกับทำให้เราโง่ เราอยากจะให้ผู้อื่นรักเราแต่เราก็ไม่รักใครนี้มันโง่เท่าไร เราอยากให้ทุกคนรักเราแต่เราก็ไม่รักใคร ไม่รักผู้อื่น มันมองข้ามอยู่ถึงสองชั้น คือไม่รู้ว่าสิ่งนี้เป็นประโยชน์ ไม่รู้ว่าไอ้ความรักผู้อื่นนี้มันเป็นประโยชน์ ที่นี้มันมองข้ามไอ้ข้อที่ว่าเราก็อยากให้ทุกคนรักเราแต่เราก็ไม่รักใคร นี่ก็เป็นเรื่องที่โง่เขลาหรือมองข้าม ถ้าเราจะให้ทุกคนรักเรา เราก็ต้องรักผู้อื่น นี้มันมีความจริงอยู่ที่นี่ด้วยเดี๋ยวนี้เราได้มองข้ามไปเสียว่าตัวเราทำผิดตัวเราโง่เขลา

หน้าที่ 2 – ลัทธิคอมมิวนิสต์
ตัวเราฝันเพ้อไปที่จะได้รับความรักจากผู้อื่นแล้วเราก็ไม่รักผู้อื่นไม่รักใคร เราเคยชินกับที่ไม่ได้รักใครไม่ได้ทำอะไรให้แก่ใคร จนเห็นว่าเป็นของธรรมดา เราเห็นว่าเฉยได้ไม่รักใครเป็นของธรรมดา ไม่เห็นเป็นของเสียหายนี้เรียกว่ามองข้ามกันด้วยเหมือนกัน ข้อที่สามต่อไปอีกที่เรามองข้าม ว่าสิ่งเลวร้ายทั้งหลายในโลกนี้มันเกิดมาจากการที่ไม่มีความรักผู้อื่น ลองพิจารณาดูทุกอย่างว่าวิกฤตการณ์ใดบ้าง เช่นว่าโลกนี้มีสงครามระหว่างสองฝ่าย ทุกๆคนก็รู้กันอยู่แล้ว เรียกว่าฝ่ายคอมมิวนิสต์กับประชาธิปไตยมันเกิดขึ้นในโลกได้อย่างไร ก็มันมีจุดอยู่ที่ความไม่รู้จักรักผู้อื่น ถ้าถือธรรมมะถือศาสนากันอยู่เป็นปกติ คือรักผู้อื่นแล้วเหตุการณ์อันร้ายกาจอย่างนี้มันเกิดขึ้นไม่ได้ เราจะมองฝ่ายคอมมิวนิสต์ก่อนถ้ามองให้ดีเราจะพบว่าในโลกนี้มันมีอยู่ยุคหนึ่งสมัยหนึ่ง ณ ที่แห่งหนึ่งซึ่งคนไม่รักกันเลย ระบุเอาที่เกิดของคอมมิวนิสต์เกิดที่ไหนเมื่อไหร่

ที่นั่นยุคนั่นไม่มีคนรักใครจึงเกิดคนเอาเปรียบแต่กันและกันทีนี้ฝ่ายหนึ่งมันมีคนมีปัญญากล้าแข็งมีความสามารถมากมันเอาเปรียบได้เรื่อย ฝ่ายหนึ่งมันสู้ไม่ได้เพราะมันอ่อนแอมันโง่เขลามันก็พ่ายแพ้มันก็เกิดเป็นฝ่ายมั่งมีเกินประมาณกับฝ่ายที่ยากจนเกินประมาณ ถึงกระนั้นฝ่ายที่มั่งมีเกินประมาณมันก็ยังเอาเปรียบเรื่อยๆจนฝ่ายยากจนมันทนไม่ได้มันจึงรวมหัวกันต่อต้านและเรียกว่าลัทธิคอมมิวนิสต์หรือลัทธิสังคมนิยมหรือลัทธิอะไรก็สุดแท้มันมีความหมายก็ตรงที่ว่าฝ่ายที่ยากจนมันลุกขึ้นต่อต้านด้วยความอาฆาตโกรธแค้นไม่มีวันสิ้นสุด หาวิธีต่างๆทางสติปัญญาทางวัตถุเพื่อล้างผลาญกัน สรุปความว่าลัทธิคอมมิวนิสต์เพื่อทำลายนายทุนนั้นมันเกิดขึ้นมาในโลกได้ก็เพราะว่าตรงนั้น เวลานั้นมันขาดความรักผู้อื่น ถ้าความรักผู้อื่นนั้นมันมีอยู่ทั่วไปมันเกิดไม่ได้ มันก็ไม่มีช่องโหว่ที่จะเกิดขึ้นมาได้ ที่นี้เมื่อเกิดขึ้นมาแล้วมันก็ไม่ต่อต้านหรือไม่แก้ไขกันด้วยความรักผู้อื่น มันเอาความอาฆาตมาตร้ายมาเป็นเครื่องแก้ไขมันก็ยิ่งลุกลามใหญ่ ฝ่ายนายทุนก็อยากจะทำลายฝ่ายนู่น ฝ่ายนู่นก็อยากจะทำลายนายทุน ไม่มีความรักซึ่งกันและกัน ถ้าความรักเกิดขึ้น คนทั้งสองพวกนี้เกิดรักกันขึ้นเสียมันก็หมดปัญหาลักทธิคอมมิวนิสต์มันก็เสื่อสลายไปเป็นอากาศธาตุไม่เหลืออยู่เพราะว่าคนรักกันคนมั่งมีรักคนจนคนจนรักคนมั่งมีมันก็หมดปัญหาไป คนมั่งมีจะคิดว่าถ้าไม่มีคนจนเราก็ไม่มีแรงงานใช้ เราก็อยู่ไม่ได้ คนจนก็จะคิดว่าถ้าไม่มีนายทุนเราก็ไม่มีงานทำ เราก็อยู่ไม่ได้ ดังนั้นมันควรจะรักกัน พอมีความรักกันปัญหามันก็หมดไป เราควรจะมองเห็นว่าวิกฤตการณ์อันใหญ่หลวงทั่วโลกคือการทำลายล้างกันระหว่างสองลัทธินี้ มันมีมูลมาจากความไม่รักผู้อื่น เมื่อมาถึงขั้นนี้แล้วไม่มีอะไรที่จะแก้ไขได้นอกจากความรักผู้อื่น ถ้าสร้างความรักผู้อื่นขึ้นมาสำเร็จในโลกนี้ คอมมิวนิสต์ก็หมดไปในพริบตาเดียว เรียกว่าความรักผู้อื่นเป็นยาพิษสำหรับทำลายล้างคอมมิวนิสต์ให้หมดไป การรักผู้อื่นเป็นหัวใจของศาสนา รักผู้อื่นนี้เป็นหัวใจของทุกๆศาสนา นี้คอมมิวนิสต์เขาว่าศาสนาเป็นยาเสพติดทำให้คนโง่เขลางมงาย ที่เราบอกว่าศาสนาเป็นยาพิษสำหรับกำจัดคอมมิวนิสต์นั่นเอง อันไหนมันจริงกว่าก็ลองคิดดู ศาสนาเป็นยาเสพติดนั้นมันพูดพาโล เอาศาสนาไม่จริง ศาสนาเปลี่ยนแปลง ศาสนาเก๊ๆ ศาสนาบิดผันแล้ว ไม่ใช่ศาสนาแท้จริงที่มันจะเป็นยาเสพติดไปเอาลัทธิศาสนาที่กำลังวิปริตไม่มีความเป็นศาสนาเหลืออยู่แล้ว มีแต่ความโง่งมงาย ก็จริงแหละถ้าอย่างนั้นศาสนาก็เป็นยาเสพติด แต่ถ้าเอาศาสนาแท้จริงกันเข้ามาแล้ว หากศาสนาคือยาพิษที่จะกำจัดคอมมิวนิสต์ให้สิ้นซาก คือความรักผู้อื่นเกิดขึ้นแล้ว คอมมิวนิสต์ไม่มีเนื้อที่จะอาศัยอยู่ในโลกนี้ เราไม่มองดูกันในข้อนี้ ว่าวิกฤตการณ์สิ่งเลวร้ายทั้งหลายเกิดมาจากมูลเหตุคือความไม่รักผู้อื่น ในวงแคบ ๆ ประชาธิปไตยกับโลกเสรี โลกเสรีกับคอมมิวนิสต์นี้ก็เหมือนกันอีกมันรักกันไม่ได้ต่อสู้กันไปไม่มีที่สิ้นสุด มาอยู่ในประเทศเล็ก ๆ เพียงประเทศเดียวมันก็สร้างความทุกข์ยากลำบากโกลาหลวุ่นวายให้ประเทศนั้นไม่รู้จักหมดสิ้นจนกระทั่งว่าในรัฐสภาของประเทศประเทศหนึ่งมันก็มีบางพวกเป็นประชาธิปไตยบางพวกเป็นคอมมิวนิสต์แต่แล้วทั้งสองฝ่ายไม่มีความรักผู้อื่น ประชาธิปไตยที่มีอยู่ทุกวันนี้มันก็ไม่รักผู้อื่นคอมมิวนิสต์มันก็ไม่รักผู้อื่น

หน้าที่ 3 – ศีลธรรม
ผู้ไม่รักผู้อื่นทั้งสองคนมาเจอพบกันมันก็ต้องประหัตประหารกันมันก็ไม่ดี ในรัฐสภาที่ว่าจะเป็นเครื่องนำชี้การปกครองบ้านเมืองนี้มันไม่มีความรักผู้อื่น ในรัฐสภามีแต่การแบ่งพรรคแบ่งพวกมุ่งมาดอาฆาตสุดเหวี่ยงที่จะทำลายพรรคตรงกันข้ามให้หมดไปแล้วตัวจะขึ้นครองเมือง อย่างนี้แล้วความรักผู้อื่นจะมีในรัฐสภาได้อย่างไร ไปดูรัฐสภาไหนในโลกนี้มันก็มีแต่อย่างนี้ ดังนั้นประเทศนั้น ๆ จึงไม่มีสันติสุขไม่มีสันติภาพเพราะมันมีแต่มูลเหตุแห่งวิกฤตการณ์คือ ความไม่รักผู้อื่น ความมุ่งมาดอาฆาตต่อผู้อื่นนั้นเอง นี้ภายในหมู่บ้านในเมืองหมู่บ้านแคบ ๆ เข้ามา หมู่บ้านไหนไม่มีความรักผู้อื่นแล้ว มันก็มีแต่ศัตรูซึ่งกันและกัน งั้นทำให้นอนตาไม่คอยจะหลับ เดี๋ยวนี้ในเมืองที่ว่าเจริญเมืองหลวงมันก็ยิ่งเต็มไปด้วยอาชญากรรมคือผู้ไม่รักผู้อื่น แค่สิ่งเลวร้ายเล็ก ๆ น้อย ๆ นี้มันก็เป็นอาชญากรรม มันก็มาจากความไม่รักผู้อื่น

อาตมาอ่านหนังสือพิมพ์พบเหตุกระทั่งปัญหาแม่ค้าหาบบนทางเท้าตำรวจต้องไล่จับเทศบาลต้องมีภาระมากขึ้นมันไม่ควรจะมีมันก็มีขึ้นมา เพราะความไม่รักผู้อื่น ว่างของให้เกะกะให้ผู้อื่นลำบากก็ทำได้นี้เป็นเรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ แท้ ๆ มันก็มีมูลมาจากการไม่รักผู้อื่น ถ้าความรักผู้อื่นเข้ามาสิ่งเหล่านี้ก็หมดไป นี้เรามองข้ามเรื่องความรักผู้อื่นและความไม่รักผู้อื่น เรามองข้ามว่าในความรักผู้อื่นนี้มันเป็นสิ่งที่แก้ไขวิกฤตการณ์ทั้งปวงได้แล้วก็ไม่เคยนึกจะใช้แก้ไข เราจะไปเอาเรื่องเศรษฐกิจเรื่องการเมืองเรื่องกฎหมายเรื่องการค้าขายการอะไรต่าง ๆ มาแก้ไขมันไม่รู้จักสิ้นสุดสักที มันมีแต่ความไม่ยอม ความไม่รักผู้อื่นมันก็ไม่ยอม ถ้ามีศีลธรรมทำให้คนรักซึ่งกันและกันสิ่งเหล่านี้ก็หายไปเอง จะพูดถึงเรื่องศีลธรรมมันก็ต้องเป็นศีลธรรมที่มีรากฐานอยู่ที่ความรักผู้อื่น อย่างที่ได้พูดแล้วว่าการรักผู้อื่นคือความไม่เห็นแก่ตัว ความไม่เห็นแก่ตัวก็คือความรักผู้อื่น แล้วศีลธรรมทั้งหมดสรุปว่าลงไปได้ว่ามันมีรากฐานอยู่ที่สิ่ง ๆ เดียวก็คือความรักผู้อื่น ศีลธรรมเกิดขึ้นในโลกเนื่องมาจากความเบียดเบียนซึ่งกันและกันเพราะไม่รักผู้อื่น เพราะรักผู้อื่นความเบียดเบียนก็ไม่มี ศีลธรรมในรูปแบบต่างดังๆกันนั้นมันไปสรุปรวมอยู่ที่ความรักผู้อื่น เรามีศีลธรรมตรงกันหมดทุกศาสนาคือความรักผู้อื่น เราก็มองข้ามเสียไม่เอามาใช้ให้เป็นประโยชน์ไม่เอามากระทำให้เข้มข้นสำหรับจะแก้ไขปัญหาของสังคมนี้ ข้อที่สี่ก็อยากจะพูดว่าเรามองข้ามว่าไอ้ความรักผู้อื่นมันกำจัดกิเลสทุกรูปแบบ คือความรักผู้อื่นจะกำจัดความโลภ กำจัดความโกรธ กำจัดความหลง กำจัดความริษยา กำจัดความหวาดระแวงไม่สร้างศัตรู ดูเหมือนกับอยู่ในกำแพงแก้วที่มองในฝ่ายดี ถ้าเรารักผู้อื่นเราไม่รู้จะโลภได้อย่างไร เพราะความโลภจะต้องพาดพิงไปถึงผลประโยชน์ของผู้อื่นเสมอ คือไปเอาส่วนเกินของใครมาก็แล้วล้วนแต่เป็นความโลภ จะโลภโดยไม่มีใครเสียประโยชน์นี้มันไม่มีทางที่จะเป็นไปได้ เพราะคำว่าโลภนี้มันอยากได้เกินด้วยอวิชชาด้วยความโง่นั้นก็เกิน ๆ ไปจนเข้าไปในขอบเขตของผู้อื่น งั้นเราเห็นแต่ตัวไม่รักผู้อื่นรักแต่ตัวมันก็โลภ ถ้ารักผู้อื่นมันก็โลภไม่ลง ที่นี้ไอ้ความโกรธหรือโทสะนั้น ถ้ามันรักผู้อื่นแล้วจะไปโกรธได้อย่างไง ถ้ารักผู้อื่นอยู่มันก็โกรธไม่ได้หรือถ้าเราไม่โลภมันก็ไม่รู้สึกผิดหวังแล้วมันก็ไม่โกรธเหมือนกัน ถ้าโลภไม่ได้แล้วมันก็โกรธไม่ได้นี้ ข้อนี้ให้ช่วยกันระวังกันให้ดี ๆ ไอ้ความโลภมันก็เนื่องมาถึงความโกรธ เมื่อไม่ๆได้อย่างที่มันโลภมันก็โกรธ เมื่อมันไม่โกรธก็คือมันไม่ได้โลภคือมันไม่ได้ยากไม่ได้อยากอะไรแล้วก็ไม่เป็นเหตุที่ได้อย่างที่มันอยาก งั้นเมื่อไม่โลภมันก็โกรธไม่ได้แล้วเมื่อมีความถูกต้องอย่างนี้มันก็เรียกว่าไม่เป็นความหลง นั้นความรักผู้อื่นจึงกำจัดความหลงอยู่โดยอัตโนมัติ คือมันมีความถูกต้องพอมันมีความถูกต้องก็ไม่เรียกว่าความหลง รักผู้อื่นไม่เห็นแก่ตัวนั้นเป็นความรู้ความเข้าใจที่ถูกต้องจึงไม่หลง ถ้ารักผู้อื่นแล้วมันริษยาไม่ได้ ริษยาคือสิ่งทำให้วินาถเป็นความขัดแย้งอย่างยิ่ง พอริษยาแล้วก็มีแต่มุ่งร้ายต่อความขัดแย้ง แล้วมันก็เหมือนกับเอาไฟเผาซึ่งกันและกัน งั้นเราก็รักผู้อื่นให้เหมือนกับน้ำดับไฟคือความริษยาหรือความขัดแย้งทีนี้เมื่อรักผู้อื่นแล้วมันจะไม่ระแวงภัย

หน้าที่ 4 – คุกตาราง
คนที่รักผู้อื่นโดยแท้จริงจะไม่รู้สึกหวาดหวั่นระแวงภัยไม่มีความสะดุ้ง บางคนอาจจะไม่เชื่อว่าภัยมันมาอยู่เสมอตลอดเวลาเราไม่อาจจะหยุดคิดนึกเรื่องนี้ได้ แต่ทางธรรมมะเค้าสอนให้ฝากไว้ด้วยความเมตตากรุณาด้วยความรักผู้อื่นให้จิตมันหยุดระแวงภัยของมันเอง ก็สบายไม่สะดุ้ง ความรักผู้อื่นนี้มันไม่ก่อศัตรูศัตรูก็หาทำลายยาก ไม่ก่อศัตรูก็อยู่อย่างไม่มีศัตรู เมื่อความรักผู้อื่นนี้เป็นเหมือนกับว่ากำแพงแก้วอย่างดีเลิศมาคุ้มครองป้องกันผู้คนนั้นอยู่ อานิสงค์ของเมตตาเป็นอย่างนี้ เขาเรียกว่าเป็นกำแพงแก้วคุ้มครองสัตว์ มองกลับอีกทีหนึ่งความรักผู้อื่นได้นี้คือหลุดจากคุกหลุดจากตารางแห่งความเห็นแก่ตัว ความเห็นแก่ตัวทำให้โลภ โกรธหลง ความอิจฉาริษยา ให้ระแวงภัยให้อะไรต่างๆนานา พอรักผู้อื่นก็หลุดออกมาได้จากคุกตารางนั้น

คุกตารางคือความเห็นแก่ตัว เราก็มองข้ามไปเสียว่าความเห็นแก่ตัวนี้ไม่ได้เป็นคุกเป็นตารางอะไร อันที่จริงความเห็นแก่ตัวนี้แหล่ะคือคุกตารางที่ผูกล่ามเราไว้ให้จมอยู่ในกองทุกข์ออกไปไม่ได้ คุกแห่งความเห็นแก่ตัว หุ้มห่อกักขังเราอยู่ เราก็มองข้ามไปเสีย นี้เราจะมองเห็นความรักผู้อื่นคือการออกมาได้จากคุกแห่งความเห็นแก่ตัวนี้คือสิ่งที่เรามองข้าม ความรักผู้อื่นนั้นเป็นอย่างไร ทีนี้จะพูดซ้ำที่พูดมาแล้วว่าความรักผู้อื่นคือศาสนาแห่งพระศรีอารยะเมตรัย ที่อยู่แค่ปลายจมูก เรามองข้ามว่าศาสนาพระศรีอารยะเมตรัยอยู่แค่ปลายจมูก ข้อนี้พูดกันอย่างละเอียดแล้วในการบรรยายครั้งที่สองแห่งภาคนี้ ในนี้ก็เอามาพูดกันอีกทีหนึ่งในฐานะเป็นสิ่งที่เราไม่มองหรือมองข้ามไป พอรักผู้อื่นเมื่อไรศาสนาพระศรีอาสน์ก็มีมาเมื่อนั้นไม่ต้องอธิบายเพราะอธิบายแล้ว ก็มาย้ำอีกทีว่ามันมองข้ามจนไม่ได้รับประโยชน์จากสิ่งที่ควรจะได้รับมันก็อยู่แค่ปลายจมูกนี่เอง พูดอย่างภาษาธรรมดาๆให้มันง่ายให้มันต่ำที่สุดก็ว่า ถ้าว่าเรารักผู้อื่นกันแล้วในโลกนี้ไม่ต้องมีกฎหมายไม่ต้องมีศาลไม่ต้องมีเรือนจำอย่างนี้เป็นต้น กฎหมายก็ดีศาลก็ดีเรือนจำก็ดีน่าทุเรศเวทนามีขึ้นมาจนยุ่งยากลำบากเพราะเหตุอันเดียวคือคนมันไม่รักกันมันไม่รักผู้อื่น มันจึงทำให้เกิดเป็นเรื่องเป็นราวที่เราเรียกกันว่าคดีขึ้นมา ก็ต้องมีกฎหมายมีศาลมีผู้พิพากษามีเรือนจำมีเจ้าหน้าที่อะไรยุ่งไปหมดพอมีความรักผู้อื่นแล้วสิ่งเหล่านี้ก็ไม่ต้องมี จะมีไปทำไมในเมื่อมันไม่มีคดี นี่เรียกว่าชั้นต่ำสุดภาษาง่ายๆธรรมดา ว่าให้มองเห็นว่าจะไม่ต้องมีกฎหมายมีศาลมีเรือนจำไม่มีอะไรหลายๆอย่างที่ว่าคล้ายกันนั้นถ้าว่าคนเรามันรักผู้อื่นนี้เป็นเรื่องสังคมทั้งนั้น เรียกว่าเป็นปัญหาทางสังคมทั้งนั้น หรือประโยชน์ก็ได้ประโยชน์แก่สังคมทีนี้เรามาพูดกันถึงปัญหาหรือประโยชน์ส่วนบุคคลกันบ้าง คืออยากจะพูดขึ้นว่าไอ้ความรักผู้อื่นนั้นมันเป็นศีลเป็นสมาธิ เป็นปัญญาเป็นมรรคผลนิพพานอยู่ในตัวมันเองและอัตโนมัติด้วยเมื่อเรารักผู้อื่นเราก็ต้องสำรวมระวัง มันก็เป็นศีลเต็มที่ ทีนี้เมื่อตั้งจิตรักผู้อื่นมันก็เป็นสมาธิเต็มที่ มีสมาธิที่เขาเรียกว่าเมตา ภาวนาหรืออัปนัญยา ภาวนาเป็นสมาธิเต็มที่มีความรักผู้อื่นเป็นอารมณ์ เจริญสมาธิ เมตาสมาธิเจโต เมตตาอัปนัญยาสมาธิมีหลายๆชื่อแล้วแต่ความเข้มข้นมากน้อยเท่าไร เมื่อความรักผู้อื่นปักดิ่งลงไปในจิตก็เป็นสมาธิด้วยความรักผู้อื่นเป็นปัญญาที่อยู่ในตัว เพราะมันเป็นความถูกต้องของความรู้สึกคิดนึกของสัจจะธรรมเป็นผลเลิศที่ได้ค้นคว้ามาได้จึงจัดเป็นปัญญาแล้วมันก็เป็นปัญญาอย่างที่ตัดกิเลสได้อย่างที่ว่ามากล่าว ไปดูให้ดีไอ้ความรักผู้อื่นนั้นมันมีปัญญาแฝงอยู่ในนั้นอย่างอัตโนมัติ ทีนี้เมื่อมีความรักผู้อื่นแล้วมันก็ทำลายความเห็นแก่ตัวความเห็นแก่ตัวนั้นถูกทำลายนั้นแหล่ะคือมรรค ความเป็นแก่ตัวหมดไปนั่นแหละคือผล ถ้าเมื่อใดความเห็นแก่ตัวหมดแล้วโดยสิ้นเชิงมันก็เป็นนิพพาน ไม่มีความร้อนแห่งกิเลสนั้นแหล่ะความทุกข์ใด ๆ โดยส่วนบุคคลล้วน ๆ เรากล่าวได้ว่าความรักผู้อื่นเป็นศีล สมาธิ ปัญญา มรรคผล นิพพาน นี้เราก็มองข้าม มองข้าม เดี๋ยวนี้กับมาบอกให้มองถ้ามองแล้วไม่เห็นด้วยก็สุดแท้จะด่าอาตมาก็ได้ พูดไม่จริงหรือพูดเอาเองได้เมื่อกันแหละ แต่ยังยืนยังอยู่เรื่อยไปว่าไอ้ความรักผู้อื่นเป็นศีล สมาธิ ปัญญา มรรคผล นิพพาน อยู่ในตัวมันเองโดยอัตโนมัติ ขอให้หยิบกันมามองให้ดี ๆ กัน อย่าได้มองข้าม เอาหละพูดถึงไอ้การมองข้ามความรักผู้อื่นมามากพอแล้ว ก็จะพูดกันถึงเรื่องที่มันเนื่องกันอยู่คือปัญหาที่ว่าทำอย่างไรจึงจะมีความรักผู้อื่นก็บอกแล้วว่ามันยากแสนยากแต่ความที่จะไปรักผู้อื่นนี้มันยากแสนยาก เพราว่าตั้งแต่เกิดมาตั้งแต่อ้อนแต่ออก มันอบรมไว้แต่ความรักตัวกูอย่างเดียว เพราะเห็นแต่แก่ตัวอย่างเดียวหนาแน่นอัดไว้ ๆ ๆ เกิดมาจนบัดนี้ความรักผู้อื่นมันไม่มีช่องไม่มีโอกาส เพราะมันอัดแน่นอยู่ในความรักตัวกู นี้ทำอย่างไรถึงจะมีความรักผู้อื่นเล่า มันก็ต้องเป็นเรื่องของการอบรมเท่านั้นแหละ

หน้าที่ 5 – คนเห็นแก่ตัว
จึงขอให้ทุกคนมองเห็นชัดเจนจนรู้สึกว่าการอบรมตนให้รักผู้อื่นนี้เป็นธรรมมะ ที่เป็นหน้าที่ของคนทุกคนจะต้องปฏิบัติ โดยนึกถึงไอ้ธรรมมะสี่ความหมายอยู่เสมอ ธรรมมะคือตัวธรรมชาติธรรมมะคือตัวกฎของธรรมชาติ ธรรมมะคือหน้าที่ตามกฎของธรรมชาติ ธรรมมะคือฝนอันเกิดมาจากการปฏิบัติหน้าที่ นี้ธรรมชาติมันมีอยู่ในลักษณะที่ว่ามีกฎตายตัวว่าถ้าเรารักเราข้างเดียวก็ต้องได้เห็นแก่ตัวแล้วก็เบียดเบียนกันต่างคนต่างเห็นแก่ตัวแล้วก็จะเบียดเบียนกัน ถ้าเรารักผู้อื่นเราก็ไม่ต้องเบียดเบียนกันนี้เป็นกฎของธรรมชาติ แล้วเราก็มีหน้าที่ปฏิบัติตามกฎของธรรมชาติคือพยายามเพาะปลูกความรักผู้อื่นหรืออบรมความรักผู้อื่น นั้นขอให้นึกถึงวิธีการที่จะอบรมให้เกิดความรักผู้อื่น ใครมีปัญญาอย่างไรทำให้เกิดได้อย่างไรได้ทั้งนั้นแหละยอมรับว่าได้ทั้งนั้นแหละ ขอแต่ความรักผู้อื่นมันเกิดขึ้นมาเถอะ ใช้ได้ทั้งนั้นจะเป็นวิธีในศาสนานอกศาสนาอะไรก็สุดแท้

แต่ถ้าทำให้รักผู้อื่นได้ใช้ได้ทั้งนั้นแล้วก็เป็นเรื่องที่ต้องอบรมในศาสนาทั้งหลายก็กล่าวไว้ ในฐานะที่เป็นเรื่องที่ต้องอบรมต้องเพาะปลูกเพราะว่ามันฝืนความรู้สึกของคนธรรมดาสามัญ ที่อบรมมาแต่ความเห็นแก่ตัวทั้งนั้น งั้นเราก็จะตั้งวิธีกันใหม่ที่จะแก้ไขความเห็นแก่ตัวรักแต่ตัวเองไม่รักผู้อื่น การอบรมให้รักผู้อื่นนี้เราจะแยกเป็นสองขั้นตอน คือสำหรับลูกเด็ก ๆ เด็กทารก เด็ก ๆ นี้ตอนหนึ่ง แล้วก็สำหรับผู้ใหญ่ทั่ว ๆ นี้ก็ตอนหนึ่ง ในตอนที่ยังเป็นเด็กทารกอยู่นี่แหละสำคัญมาก เพราะว่าเขายังไม่ยึดถืออะไรไว้เป็นหลัก ถ้าเราให้ยึดถืออะไรไว้เป็นหลักมันก็เป็นไปได้ง่าย เขาก็จึงมีระเบียบวิธีอบรมลูกเด็ก ๆ ให้รักผู้อื่น เช่นว่าให้เด็กที่พอจะรู้ความรู้สึกคิดนึกความได้ให้เขารู้สึกเชื่อยึดถือว่ามีสิ่งสูงสุดคือพระเจ้าสร้างเรามาแล้วเราต้องรักพระเจ้าผู้สร้างเรามา เพราะว่าพระเจ้ารักเราจึงสร้างเรามา นี้พระเจ้าต้องการให้เรารักผู้อื่น งั้นถ้าเราจะรักพระเจ้าเราต้องรักผู้อื่นตามที่พระเจ้าต้องการ ดังนั้นเราต้องรักผู้อื่นเหมือนที่พระเจ้ารักเรา ถ้าเด็ก ๆ เขามีหลักอย่างนี้มันก็เป็นบุญเป็นกุศลเป็นประโยชน์เป็นอานิจสงฆ์อย่างยิ่ง ที่เด็ก ๆ เขาจะรักผู้อื่นได้โดยไม่ยาก เดี๋ยวนี้เราไม่ได้อบรมกันอย่างนี้ แต่กับอบรมกันไปในทางตรงกันข้ามให้เด็ก ๆ รักแต่ตัวเองเห็นแก่ตัวเอง โดยเด็กไม่ได้เจตนาพ่อแม่ก็ไม่ได้เจตนาทำไปในลักษณะที่เด็ก ๆ ได้รักแต่ตัวเองเห็นแต่แก่ตัวเองไม่รักผู้อื่น เพราะว่าพ่อแม่เหล่านั้นไม่เป็นสัมมาทิฐิเพียงพอ ไม่มีธรรมมะไม่มีศาสนาที่เพียงพอจึงไม่ได้สนใจที่จะอบรมนิสัยให้ลูกเด็ก ๆ รักผู้อื่น อย่างนี้ก็ปล่อยไปตามเรื่องที่เป็นมากเกินไปก็สอนให้เป็นแก่ตัวหาประโยชน์ให้หากำไรให้หาไอ้ส่วนได้มากเข้าไว้ โดยไม่ต้องคำนึงว่าผู้อื่นจะเป็นอย่างไร งั้นในโลกนี้ของเราจึงมีแต่คนเห็นแก่ตัว ปัญหามันเกิดขึ้นเรื่องอบรมเด็ก ๆ นี้สำคัญมาก ถ้าเรารักเด็ก ๆ ที่เป็นลูกเป็นหลานของเราจริง ๆ เราจงให้สิ่งนี้เป็นมรดกแก่เขาเถิดคือให้ธรรมมะที่เป็นมรดกแก่เขาเถิด นั้นแหละจะได้ชื่อว่าให้สิ่งประเสริฐที่สุดแก่เขา เมื่อมีประโยชน์แก่เขาอย่างยิ่งจะเป็นสวัสดิ์มงคล เป็นอานิจสงฆ์อันประเสริฐแก่เขา เด็กๆ จะมีนิสัยที่มีประโยชน์เช่นกลัวบาปรักแต่จะทำดีกล้าในบุญในกุศล จะกลัวบาปไปตลอดชีวิต บิดามารดาสร้างนิสัยให้แก่เด็ก โดยไม่รู้สึกตัวเราก็ไม่สนใจมองข้ามอีกเช่นกัน ถ้าบิดมารดาสร้างนิสัยให้กลัวบาปให้รักบุญสร้างบุญจะเป็นอย่างนั้น ทีนี้บิดามารดาไปสร้างนิสัยอะไรก็ไม่รู้ให้เด็ก ๆ กลัวจิ้งจก ตุ๊กแก กิ้งกือ ไส้เดือนอย่างนี้ มันก็กลัวจิ้งจก ตุ๊กแก ไส้เดือนมาจนโต ยังละไม่หมดเพราะมันฝังลงไปในนิสัยส่วนลึก ให้กล้าหาญในสิ่งที่ควรกล้ามันก็ไม่มี อย่าทำเล่นกะว่าการสร้างนิสัยกันมาตั้งแต่เด็ก ๆ นั้นมันมีความสำคัญมาก ทำไมทำท่าทางให้กลัวจิ้งจก ตุ๊กแก เป็นเด็กกลัวเป็นนิสัยได้ ทำไมไม่แสดงกิริยาท่าทางให้เขากลัวกิเลส กลัวความชั่ว กลัวความทุกข์ กลัวความเห็นแก่ตัว ถ้าเราสร้างนิสัยให้เด็ก ๆ กลัวกิเลสได้มันก็หมดปัญหาแล้ว นี้มันสำคัญอยู่มากในการอบรมลูกเด็ก ๆ ให้มีความรู้ความเข้าใจนิสัยอันถูกต้องขอให้สนใจ เรื่องความรักผู้อื่นนี้ก็เหมือนกันถ้าสำหรับลูกเด็กแล้วก็อบรมในฐานะให้เป็นจุดตั้งต้นแห่งนิสัยสันดานไปทีเดียวและจะเอาผู้อื่นเพียงแค่บิดามารดาให้นมกินนี้ไปก่อนก็ได้แต่แล้วก็ขยายไปๆเป็นผู้อื่นจริงๆให้เด็กรักเพื่อนเกิดแก่เจ็บตายทั้งหลายทั้งสิ้นกันจริงๆ ก็จะเป็นพลเมืองโลกเป็นพลโลกหรือเป็นคนในโลกที่เหมาะสมที่จะอยู่ในโลกกันอย่างผาสุก คราวนี้เรื่องเด็กทารกก็จะมีอย่างนี้แหล่ะว่าอบรมด้วยความฉลาดของผู้เป็นบิดามารดาให้เด็กรักผู้อื่นแล้วเด็กก็จะปลอดภัยจะมีกำแพงแก้วคุ้มครองเด็กนั่นไม่ให้พบพานจากความทุกข์ความร้อนแล้วก็ยังเป็นอุปนิสัยจากปัจจัยแห่งมรรคผลนิพพานคือการทำลายความเห็นแก่ตัวจนกว่าจะถึงที่สุด ทีนี้ก็มาถึงขั้นตอนที่สองคือผู้ใหญ่แล้วเป็นผู้ใหญ่ด้วยกันแล้วจะอบรมกันอย่างไรที่จะให้มีความรักผู้อื่นจะพูดพร้ำกันอย่างที่เขามีขนบธรรมเนียมให้พูดพร้ำทุกเช้าว่าสัตว์ทั้งหลายเกิดแก่เจ็บตายด้วยกันทั้งหมดทั้งปวงทั้งสิ้น

หน้าที่ 6 – สัตว์ทั้งหลายเป็นเพื่อนทุกข์เกิดแก่เจ็บตายร่วมกัน
อาตมาขอร้องให้ท่านทั้งหลายทุกคนที่เป็นผู้ใหญ่แล้วจงนึกถึงประโยคคำสอนนี้อยู่ทุกวันวันละสองครั้งทั้งเช้าทั้งเย็นว่าสัตว์ทั้งหลายเป็นเพื่อนทุกข์เกิดแก่เจ็บตายร่วมกัน เนี่ยแม้ที่เป็นศัตรู ศัตรูคู่อาฆาตที่เราเกลียดเราโกรธเหลือประมาณนั้นอย่าไปมองแต่ในแง่ที่เราจะเกลียดเหลือประมาณ แต่ให้มองในแง่ที่ว่าแม้ศัตรูคนนี้มันก็เป็นมนุษย์มันก็มีกิเลสและมันก็มีความทุกข์เหมือนกับเรา เราก็มีความทุกข์เพราะกิเลสเพราะเกิดแก่เจ็บตาย ศัตรูของเรานั้นมันก็มีกิเลสมีความทุกข์เพราะกิเลสและความเกิดแก่เจ็บตาย ศัตรูนั้นมันก็มีเพื่อนเกิดแก่เจ็บตายเพื่อนทุกข์กันเหมือนกัน เราก็จะไม่ได้เกลียดศัตรูเราก็จะรักศัตรูได้เราจะแก้ไขความเป็นศัตรูให้หมดไปได้ งั้นอย่างดูถูกคำสอนที่สอนให้รักศัตรูเพราะว่าศัตรูก็เป็นของไม่เที่ยงเปลี่ยนแปลงได้ เราทำให้เข้าเปลี่ยนจากความเป็นศัตรูมาเป็นมิตรก็ได้ ถ้าเราเก่งพอเราต้องมีความรู้เก่งพอ มีธรรมมะ มีความพยายาม ความอดกลั้นอดทนพอ เราก็เปลี่ยนศัตรูให้เป็นมิตรได้ ด้วยความพยายามทำความรักผู้อื่นเพราะว่าเป็นเพื่อนทุกข์เกิดแก่เจ็บตายด้วยกันทั้งหมดทั้งสิ้น เนี่ยอบรมผู้ใหญ่ด้วยกันอบรมตัวเองให้รู้สึกว่าเรามีความทุกข์ร่วมกัน เหมือนเราตกทุกข์ได้ยากข้าวยากหมากแพงมีโรคระบาดร้ายกาจอะไรเข้ามาพร้อม ๆ กันเนี่ยเวลานั้นจะเป็นเวลาที่เกิดความรักผู้อื่นได้โดยง่าย ตามธรรมดาอย่างนี้ก็จะถือตัวใครตัวมัน

แต่พอความตายมาผูกเข้าซึ่งหน้าพร้อม ๆ กันมันก็จะพอรักผู้อื่นได้ งั้นเวลาที่มีความทุกข์เป็นเวลาทีจะพอรักผู้อื่นได้ ถ้ารามองไปในแง่ที่มันเป็นทุกข์ด้วยกัน ความทุกข์ครอบงำเราเต็มที่ความเจ็บความไข้อะไรต่าง ๆ จิตใจมันจะลดลงมา มี่ส่วนที่จะรักผู้อื่นได้ ถ้ามันสบายมีความสุขสนุกสนานรื่นเริงหลงระเริงนี้มันยากที่จะรักผู้อื่นได้ยากที่จะเกิดความรู้สึกรักผู้อื่น มีความทุกข์ร่วมกันจะเกิดทำให้มีความรักผู้อื่น ตามที่บรรพบุรุษอาจารย์เราได้ให้บทเรียนไว้ดีแล้วว่าสัตว์ทั้งหลายเป็นเพื่อนทุกข์เกิดแก่เจ็บตายด้วยกันทั้งหมดทั้งสิ้น ให้มองดุเหมือนว่ากำลังจะตกทะเลจะจมน้ำตายอยู่ด้วยกันทั้งหมดทั้งสิ้น แล้วมันก็จะเกิดความรักผู้อื่น เอาที่นี้แบบฝึกอีกอย่างหนึ่งเราจะมาท้าทายแข่งขันกันในเรื่องความไม่เห็นแก่ตัว ความเห็นแก่ตัวนี้มันถูกแช่ชักหักกระดูกว่าเป็นของเลวกันมานานแล้วทั่วโลกแล้ว ใคร ๆ ก็เกลียดน้ำหน้าไอ้คนที่เห็นแก่ตัวการเห็นแก่ตัวเป็นเสนียดจันไรในโลกอยากให้หมดไป เราจะพยายามละมันจะทำลายมันเราต้องการจะทำบทเรียนแบบฝึกหัดเพื่อจะทำลายความเห็นแก่ตัว ถ้าต้องการบทเรียนหรือแบบฝึกหัดจริง ๆ มนุษย์ไม่มีบทอื่นมันแต่ว่ารักผู้อื่น มาทำบทเรียนว่ารักผู้อื่นแล้วก็จะเกิดผลคือความไม่เห็นแก่ตัว หมายความว่าเราเกลียดความเห็นแก่ตัวอย่างยิ่งเราอยากจะทำอะไรที่กำจัดความเห็นแก่ตัวเป็นบทเรียน เราก็ต้องฝึกฝนอยู่ทุกวันทุกเดือนทุกปีคือรักผู้อื่น นึกถึงเพื่อนทุกข์เกิดแก่เจ็บตายกันไว้เป็นเบื้องหน้า และนึกถึงว่าความเห็นแก่ตัวนี้มันเป็นอวิชชาเป็นความโง่เขลาเป็นทำให้ตนทนทุกข์ทรมานอย่างไม่รู้สึกตัวตลอดมาชั่วกัลปสานก็ได้ เอาต่อไปอีกก็ว่าในพระพุทธศาสนานี้ก็มีการเจริญเมตตาภาวนา ก็นึกถึงข้อนี้ข้อที่สัตว์ทั้งหลายเป็นทุกข์เราต้องการจะช่วยเขาแล้วเอามาทำเป็นอารมณ์ของสมาธิกำหนดอยู่ในจิตใจ อย่านี้เรียกว่าเจริญเมตตาภาวนามันก็ทำให้ไม่มีขอบเขตคือทำให้ทั่วสากลจักรวาลจะเป็นเมตตาอัปมันยาภาวนา ทำที่จิตที่แรงที่สุดจิตที่รุนแรงที่สุดก็จะเป็นเจโตสมาธิ เป็นอัปมันยาภาวนามีเมตตาถึงขนาดเป็นเจโตสมาธิ ไม่เท่าไรก็จะเกิดการเปลี่ยนแปลงขึ้นในจิตในสันดาน ความเห็นแก่ตัวค่อยละไปละไปจะน้อยลงน้อยลงไอ้ความรักผู้อื่นเมตตาแท้จริงก็เกิดขึ้นนาเกิดขึ้นมา นี้ก่อนหน้านี้ก่อนหน้าพระพุทธเจ้าเขารู้จักทำอย่างนี้กันเป็นส่วนใหญ่ยังไม่รู้จักทำให้หมดตัวตน แต่ก็ทำเป็นอย่างมากในเรื่องเมตตาเจโตสมาธิเป็นฤๅษีชีไพรอยู่โดยมาก ตายแล้วไปพรมโลก ตายแล้วไปพรมโลกเจริญเมตตาภาวนากว้างขว้างเป็นอัปมันยาแล้วก็รุนแรงถึงขนาดเรียกว่าเจโตสมาธิ ไม่เท่าไรก็เกิดนิสัยรักผู้อื่นเปลี่ยนไปได้จากความเห็นแก่ตัว บทเรียนสุดท้ายก็อยากจะพูดถึงอุดมคติของพระโพธิสัตว์ พระโพธิสัตว์แปลว่าสัตว์ที่กำลังปลูกหว่านโพธิ์ เหมือนชาวไรชาวนาเขาปลูกหว่านพืชพันธุ์จะเอาผล พระโพธิสัตว์ก็กำลังปลูกเพาะหว่านพืชแห่งโพธิ์ โพธิ์คือปัญญาสูงสุด พระโพธิสัตว์ก็เขาเพาะปลูกหว่านพืชแห่งโพธิ์อยู่สูงสุด พระโพธิ์สัตว์จะเพาะพืชแห่งโพธิ์ เหมือกับว่ากับเมตตาเป็นพืช เอาเมตตาเป็นพืช เอาเมตตาเป็นแผ่นดิน เอาเมตตาเป็นน้ำรด เอาเมตตาเป็นการพรวนดินเป็นอะไรทุกข์อย่างนะ อุดมคติของพระโพธิสัตว์แรงกล้าถึงขนาดที่เรียกว่าตัวเองจะต้องเสียชีวิตก็ได้ขอแต่ให้ผู้อื่นปลอดภัย ให้ผู้อื่นพ้นภัยปลอดภัยแม้นตัวเองจะต้องเสียชีวิตก็ยอม อย่างพระเยซูนี้เข้าก็อธิบายแบบเดียวกันยอมเสียชีวิตเพื่อให้สัตว์ให้คนในโลกหายโง่ให้รู้จักพระเจ้าให้ได้รับประโยชน์จากการมีพระเจ้าคนมันโง่มันไม่ยอมมีพระเจ้า ต้องมาต่อสู้พูดจาฝ่าอันตรายคัดค้านคำสอนที่มีอยู่ก่อนให้มารับคำสอนที่ถูกต้อง ถึงจะรู้อยู่ว่าเขาจะฆ่าเราให้ตายก็ยังยอมท่านก็ยอมตายเพื่อให้คนหายโง่ เรียกว่าผู้ไถ่ถอนสัตว์ให้พ้นจากความโง่

หน้าที่ 7 – เมตตา
แต่ในที่สุดมันมารวมอยู่ที่คำว่าเมตตา ถ้าไม่มีเมตตาก็ไม่ทนเป็นโพธิสัตว์อยู่ได้มันไม่ก่อตัวเป็นโพธิสัตว์ขึ้นมาได้แล้วมันไม่พ้นเป็นโพธิสัตว์อยู่ได้ ถ้าไม่ประกอบไปด้วยเมตตาเอาเมตตาเป็นเบื้องหน้าก็จะเรียกว่าโพธิสัตว์ แต่ว่าไม่ใช่ว่าโพธิสัตว์จะมีแต่เมตตาอย่างเดียว ธรรมมะอื่น ๆ ที่จำเป็นจะต้องมีก็มีงั้นจึงมีบารมีอื่น ๆ มีทาน มีศีล มีเมฆธรรมะ มีปัญญา มีสัจจะ มีขันติ มีอธิฐานะ มีเมตตา มีอุเบกขา มีมากมายหลายอย่างนะ ก็มักจะนับเป็นสิบอย่าง แต่อาตมาว่าสี่อย่างก็พอ สุทธิ ปัญญาเมตตา ขันติ เหมือนที่เราจารึกไว้ที่รูปอบิโรเตศวร สุทธิมีความบริสุทธิ์สะอาดซื่อตรง ปัญญามีความรู้ที่เป็นพืชแห่งโพธิ์ก็เพาะปลูกให้เป็นปัญญาขึ้นมา แล้วเมตตาคือความรักผู้อื่นทำให้โพธิ์สัตว์ยอมเสียชีวิตให้แก่ผู้อื่น แล้วก็รากท้ายด้วยขันติเพราะว่ามันต้องทำระยะยาวมันต้องทำระยะยาวมันไม่สำเร็จ นั้นมันต้องมีขันติคือความอดกลั้นอดทนแม้แต่จะลำบากเท่าไรก็ทนได้ ไม่ต้องรอคอยนานเท่าไรก็ทนได้ งั้นจึงครบบริบูรณ์สำหรับทำความเป็นโพธิสัตว์มีเมตตาเป็นเบื้องหน้านอกนั้นก็เป็นเรื่องประกอบ งั้นพระโพธิสัตว์จึงสมบรูณ์ด้วยความรักผู้อื่น นี่บทฝึกสำหรับความรักผู้อื่นมันมีอยู่อย่างนี้

ไอ้เรื่องยากนี้ต้องยอมรับว่ามันยากมันยากจริง ๆ แหละ เหมือนพระเยซูพูดว่าให้จูงคนเป็นแก่ตัวมาหาพระเจ้า มันก็เหมือนจูงอูฐรอดรูเข็มหมายถึงคนร่ำรวยหลงใหลเห็นแก่ตัว เราจะจูงเขามาหาพระเจ้ามันก็เหมือนจูงอูฐรอดรูเข็มมันยากขนาดนั้น หรืออาตมาชอบเปรียบอย่างวันก่อนว่าจะบังคับเสือให้กินหญ้ามันยากจะบังคับเสือให้กินหญ้าหรือจะบังคับนกที่กินปลาให้กินกล้วยมันทำไม่ได้ใครไม่เชื่อก็ไปลองดู เสือกินหญ้าให้นกกินปลากินกล้วยนะมันยอมตาย มันยอมตายยอมไม่กินและมันยอมตายนี้มันยาก อย่างนี้ถ้าเราจะกำจัดกิเลสกำจัดความเป็นแก่ตัวให้มารักผู้อื่นนี้มันพอ ๆ กันกับความยาก แต่ก็ไม่ต้องท้อถอยเพราะว่าสิ่งที่มีประโยชน์สูงสุดมันก็ต้องยากลำบากเป็นธรรมดา เหมือนจะเป็นพระพุทธเจ้าสักทีก็บำเพ็ญบารมีแสนหลายแสนกัลป์ล้วนแล้วแต่ความยาก แต่ด้วยเหตุที่ความรักผู้อื่นมันช่วยโลกได้เหมือนที่ได้พูดมาแล้ว จะแก้ปัญหาทุกสิ่งทุกอย่างทุกประการในโลกได้โดยเฉพาะปัญหาเฉพาะหน้าปัจจุบันนี้ ถ้าความรักผู้อื่นเกิดขึ้นคอมมิวนิสต์ก็ตายหมดอย่างนี้เป็นตน ถ้าเราสามารถทำให้มีความรักผู้อื่นได้ธรรมมะก็มีขึ้นมา ลัทธิที่มูลมาจากความไม่รักกันหรือกำลังต่อสู้อยู่ด้วยความไม่รักกันมันก็ตายหมด เป็นอันว่าขอให้มองเห็นว่าไอ้สิ่งที่เรากำลังมองข้ามกันอยู่อย่างโง่เขลาที่สุดนั้นขออย่างให้มองข้ามกันอีกเลย แล้วสิ่งนั้นก็มีความรักผู้อื่นรวมอยู่ด้วยสิ่งหนึ่งขอให้สนใจให้ความรักผู้อื่นกลับมา แล้วในโลกนี้ก็ไม่มีความเดือดร้อนเป็นทุกข์อะไร จะมีศีลบริบูรณ์ มีความเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่บริบูรณ์ ไม่มีใครฆ่ากัน ไม่มีใครขโมยกัน ไม่มีล่วงละเมิดของรักกัน ไม่มีใครโกหกกัน ไม่มีใครทำให้ผู้อื่นลำบาก โดยไม่เจตนาและคนก็จะช่วยเหลือกันระมัดระวังเต็มที่ไม่ให้ผู้อื่นเดือดร้อนลำคราญ ความรักผู้อื่นเป็นหัวใจของพระพุทธศาสนาทุก ๆ ศาสนา ศาสนาจึงไม่ใช่ยาเสพติดศาสนาจึงเป็นยาพิษสำหรับจะทำลายคอมมิวนิสต์ให้หมดไป เอาล่ะพอกันที่สำหรับเรื่องความรักผู้อื่นซึ่งเราเคยมองข้ามกันมาเสียนั้น ต่อไปนี้จะไม่มองข้ามกันอีกแล้วจะทำให้เป็นเครื่องคุ้มครองโลกทั้งโลก จนโลกนี้หมดปัญหาทางอื่นไม่มีที่จะช่วยให้โลกมีสันติภาพ นอกจากธรรมมะที่เป็นหัวใจของทุก ๆ ศาสนาคือการรักผู้อื่น เดี๋ยวนี้การเศรษฐกิจล้มเหลว การเมืองสกปรกต่างรบราฆ่าฟันกันเต็มไปในโลก ก็เพราะว่าไม่มีใครรักผู้อื่น อาตมาเป็นว่าการบรรยายนี้สมควรแก่เวลาแล้วขอยุติการบรรยายไว้แล้วแต่เพียงเท่านี้เป็นโอกาสให้พระคุณเจ้าทั้งหลายสวดบทพระธรรมเป็นคณะสาธยาย แสดงธรรมมะสำหรับเป็นเครื่องมือเป็นกำลังแก่การประพฤติธรรมเพื่อความรักผู้อื่นสืบต่อไป

http://www.vcharkarn.com/varticle/32467

. . . . . . .