วิเวกเป็นสิ่งที่ควรรู้จักและควรมี โดย พุทธทาสภิกขุ

วิเวกเป็นสิ่งที่ควรรู้จักและควรมี โดย พุทธทาสภิกขุ

หน้าที่ 1 – วิเวกเป็นสิ่งที่ควรรู้จัก
วันนี้จะพูดในหัวข้อว่า วิเวกเป็นสิ่งที่ควรรู้จัก และควรมี คำว่า วิเวกนี้ ดูจะเป็นที่รังเกียจของคนทั่วไป บางคนคิดว่าเป็นคำครึคระ สำหรับพวกอยู่ป่า ฤๅษี ชีไพร ถ้าเคยเข้าใจอย่างนั้น ให้มาศึกษาใหม่ จะมีประโยชน์อย่างมาก มันมีความรับซ่อนอยู่ แล้วคนก็ไม่รู้จัก ไม่ต้องการ ให้เข้าใจคำว่า วิเวก เป็นตัวหนังสือก่อน ภาษาบาลี วิเวก แปลว่า เดี่ยว ไม่มีอะไรรบกวน แต่ภาษาไทยมีแต่จะเปลี่ยนความหมาย เป็นวิเวกวังเวง เป็นไม่ต้องการ ไม่น่าจะพอใจ คนธรรมดาก็ไม่ชอบวิเวก เพราะเขาไม่อยากอยู่คนเดียว อย่างน้อยก็มีเด็กๆ เพื่อน คนหลายๆคน อบอุ่น นั่นไม่เป็นไร แต่ความหมายวิเวก มันลึกกว่านั้นมาก มันจำเป็นต้องมีด้วยซ้ำไป ถ้าไม่มีเสียบ้าง มันอาจจะตาย ก็ลองคิดดูว่า เดี่ยว และไม่มีอะไรมารบกวน มันจะสบายไหม วิเวกแบ่งเป็น สามชนิด หนึ่งคือทางกาย คือ กายที่ไม่มีอะไรมารบกวน สองคือทางจิต จิตที่ไม่มีอะไรมารบกวน และสาม อุปธิวิเวก คือไม่มีอะไร มายึดมั่น ถือมั่น หอบหรือถือหนักอะไรเอาไว้ บางทีเปลี่ยนความคิดมาสนใจ พอใจ เรื่องวิเวกบ้างก็ได้ วิเวกทางกาย คือ กายที่ไม่มีใครมารบกวน แต่ในความจริง มันอยากมีอะไรมารบกวน มายุ่งด้วย จะยิ่งดี แต่ก็มีบางเวลาที่ไม่อยากให้มีใครมายุ่ง อยากมีอิสระ อยู่คนเดียว ไม่มีวัตถุ
ไม่มีบุคคลมารบกวน สงบสงัด แต่ไปเข้าใจว่า สงัดคือน่าเบื่อ เป็นอย่างนั้นอีก เคยนึกชอบไหม เคยบ้างไหม บางเวลาอยากอยู่เดี่ยว บ้างไหม ทีนี้ที่สองคือ จิตวิเวก คือวิเวกทางจิต จิตที่ไม่มีอะไรมารบกวน คงจะสังเกตเห็นได้ว่า สิ่งที่รบกวนจิต มันมีมากมาย จิตมันคิดนึกปรุงแต่ง ยกตัวอย่างจำนวนหนึ่ง เป็นเครื่องสังเกต ศึกษา ทดสอบ ก็ได้ เช่น ถ้าความรักมารบกวน มันก็นอนไม่หลับ ไฟมันลนหัวใจเสมอ หรือความโกรธ เป็นไฟชนิดหนึ่ง ทุกคนโกรธมาแล้วทั้งนั้น บางคนไม่อยากโกรธ มันก็โกรธ มันอดไม่ได้ ความเกลียด เกลียดใครไว้ เกลียดภาพอะไรไว้ สิ่งเหล่านั้นมารบกวน ความกลัว ก็กลัวต่างนาๆ กลัวคน กลัวตาย กลัวจะสูญเสียสิ่งที่ไม่อยากให้สูญเสีย มีร้อยแปดอย่าง ความตื่นเต้น มันได้ยิน ได้เห็นอะไร มันก็ตื่นเต้น มันถึงกับนอนไม่หลับได้เหมือนกัน ความวิตกกังวลถึงเรื่องที่มีอยู่ในอดีต มันฝังแน่น ไม่ลือ ในอนาคต คิดถึงเรื่องที่จะเป็นไปได้ ความอาลัยอาวรณ์ คงจะรู้จักกันดี ความอิจฉาริษยา อันนี้หนักสุด ใครมีคนนั้นบาปหนา หาความสงบสุขยาก ความหวง หรือที่เข้มข้น คือความหึง มันรบกวนอย่างยิ่ง ความยกตนข่มท่าน เหล่านี้รู้จักกันดี ความระแวง กลัวทุกคนไม่ชอบเรา กลั่นแกล้งเรา มันก็นึกอยู่คนเดียว โดยที่ฝ่ายนู้นเขาไม่รู้เรื่องก็มี คลุ้มคลั่งอยู่คนเดียว มันรบกวนจิต แล้วจะเป็นวิเวกได้อย่างไร มันจะสงบ เย็น มีเสรีภาพได้อย่างไร

อันที่สาม อุปธิวิเวก แปลว่าสิ่งที่ยึดถือเอาไว้ แต่เป็นเรื่องทางจิตใจ หอบหิ้วเอาไว้ กอดรัดเอาไว้ เทิดทูลเอาไว้ เป็นเรื่องวัตถุ สังขาร ร่างกาย กามารมณ์ ตัวกู ตัวกู ร้ายกาจที่สุด คนโง่ชอบนักหนา บรมโง่ อย่างนี้เรียกว่า ไม่วิเวก คิดดู ถ้าถือก้อนหินเอาไว้ จิตมันจะสบายได้อย่างไร ที่จัดไว้อันหลังสุด เพราะมันร้ายกาจกว่า สองอันแรก รบกวนทางกายไม่เท่าไร รบกวนทางจิตก็ไม่เท่าไร แต่อุปธิวิเวกรบกวนตลอดเวลา ทุกวินาที เป็นสิ่งที่มีอยู่จริง แต่ก็ไม่ค่อยรู้กันมากนัก ไม่ปรารถนาที่จะวิเวก วิเวกมันในหน้าที่มันเกี่ยวข้องกับคนทั่วไปธรรมดาสามัญ วิเวกเมื่อใด มันก็เป็นสุขภาพทางจิตใจเมื่อนั้น ไม่มีอะไรมารบกวนกาย สุขภาพกายก็ดี ไม่มีอะไรมารบกวนจิต สุขภาพจิตก็ดี พระอรหันต์ไม่มีสิ่งรบกวน ที่เรียกว่า วิเวก อาจจะมีของไปรบกวน คนไปรบกวน สัตว์ไปรบกวน แต่ก็เหมือนไม่รบกวน ทางจิตก็ไม่มีนิวรณ์ไปรบกวน ทางอุปธิ ก็ปล่อยวางหมดแล้ว พระอรหันต์ ท่านก็มีวิเวก ครบสมบูรณ์ นี่ก็เป็นเครื่องเปรียบเทียบ สำหรับให้เรารู้จักพระอรหันต์โดยถูกต้อง และเราก็ไม่ต้องอวดดีว่าจะเป็นพระอรหันต์กันเดี๋ยวนี้ ฉะนั้นควรเอาอย่างท่าน เพื่อสุขภาพอนามัย ที่จริงมันก็มีอยู่ตามสมควร แต่คนโง่มันมองไม่เห็น ถ้าไม่มีวิเวกเลย มันตายไปนานแล้ว มันเป็นบ้า เวลาที่ไม่มีอะไรรบกวนมันพอมี แม้แต่คนกิเลสหนา มันยังพอมี ไม่ใช่มีกิเลสทุกลมหายใจเข้าออก แม้นาทีเดียวก็ถือว่ามี แต่คนมันไม่สังเกตเห็น มันไม่สนใจ มันไปหาสิ่งมารบกวนอีก หาสิ่งที่มาช่วยประโลมใจ ไม่ให้ว่าง เครื่องประโลมใจ ถ้ามันไปในทางที่ดี ก็ดีอยู่ แต่ถ้าไปในทางที่ไม่ดี ก็วินาศ มีธรรมะเป็นเครื่องประโลมใจ มันก็ดี มีกามารมณ์เครื่องประโลมใจ มันก็วินาศ มนุษย์ทั่วไปมันก็เครื่องประโลมใจ จึงเป็นปัจจัยที่จะดำรงชีวิตอยู่ด้วยเหมือนกัน จริงในบาลีมีแค่สี่ คือ อาหาร เครื่องนุ่งห่ม ยารักษาโรค ที่อยู่อาศัย มันเป็นทางกาย แต่ทางฝ่ายจิตมันมีปัจจัย คือเครื่องประโลมใจ ถ้าไม่มีมันจะกระวนกระวายใจ มันไม่ปกติ ก็พูดให้คิด ให้นึก สวดมนต์ก็ได้ เรียนธรรมะก็ได้ มาประโลมใจ ธรรมะไม่เป็นอันตราย ให้เห็นภาพเหล่านั้น แล้วถูกต้อง พอใจ เป็นสุขภาพทางจิต ทางวิญญาณ เลยขอเรียกว่าเป็นปัจจัยที่ห้า ให้สบายใจ มีกำลังใจ รู้จักใช้ธรรมะเป็นเครื่องประโลมใจ ถ้าใช้กิเลสเป็นเครื่องประโลมใจ มันเขลา มันโง่ มันเป็นการทำลายวิเวก โดยเฉพาะอย่างยิ่ง อุปธิวิเวก หรือแม้แต่จิตวิเวก พวกที่ชอบกินเหล้า มันก็เกลียดวิเวก กินเหล้าไปกระตุ้นให้ฟุ้งซ่าน มันก็เลิกไม่ได้ ไม่ยอมเลิก หรือสูบบุหรี่ คนสูบมันก็สบายใจ ให้สิ่งเสพติดมาประโลมใจ ละก็ไม่ได้ มันไม่ต้องการวิเวก ของเสพติดอื่นก็เหมือนกัน น้ำชา กาแฟ เราควรหาอิสรภาพ เสรีภาพ ไม่เป็นทาสต่อสิ่งใด นั่นแหละดี มีสิ่งใดเป็นนาย เหนืออยู่ มันก็ไม่วิเวก มันเป็นสิ่งที่ควรสร้าง แต่เขาไม่ยอมเข้าใจ ไม่ยอมทำความรู้สึก แม้ช่วงเวลาที่ว่างจากกิเลสมันก็มีบ้าง แต่มันไม่ยอมรับรสว่า มันประเสริฐอย่างไร

เราสังเกตดูดีๆว่า เมื่อใดที่เรารู้สึกสบายใจที่สุด เวลานั้นจะไม่มีอะไรรบกวนทางกาย จิต และอุปธิ แต่มันก็ผ่านไปโดยไม่มีใครรู้จัก แต่ก็พยายามไปหาโอกาสที่ไม่มีอะไรมารบกวน ไปชายทะเลบ้าง ไปภูเขาบ้าง แต่มันก็แค่ผิวๆ มันยังมีอุปธิ คือตัวกู ลากตัวกูไปเที่ยวทะเล ตัวกูมันไปด้วยเสมอ ไม่ว่าจะไปที่ไหน แต่ก็รู้สึกอยู่บ้าง ไปริมทะเล มันโล่งอกโล่งใจ ว่างบ้าง มีวิเวกบ้าง แต่ไม่รู้จัก ไม่สร้างมันให้มีตลอดเวลา ฉะนั้นมันเกี่ยวกับความพยายามที่จะสร้างขึ้นมา ที่นี้มาพูดเรื่องธรรมะปฏิบัติที่จะให้บรรลุมรรคผลนิพพาน เรื่องนิพพานมันคือเรื่องว่าง สงบ วิเวก ศีลก็ทำให้วิเวก ปราศจากสิ่งรบกวนตามระดับของศีล สมาธิก็วิเวกตามระดับของสมาธิ มันจะพอมีตัวอย่างเล็กๆของวิเวกเข้ามา ถ้าเราพอใจที่จะมีมากขึ้นไปอีก พอใจ นั่นคือ ฉันทะ แล้วก็มี วิริยะ จิตตะ วิมังสา ตามหลักของอิทธิบาท ตามหลักศาสนาก็เป็นแบบนี้ แต่ไปเรียกว่า วิมุติบ้าง วิสุทธ์บ้าง แต่ก็มีความหมายคล้ายกัน ไม่มีอะไรมารบกวน ว่างจากกิเลส ว่างจากความทุกข์ ถ้ามองเห็นความว่างจะเข้าใจ ไม่ว่างมันบริสุทธิ์ไม่ได้ พระพุทธเจ้าบริสุทธิ์จากเครื่องเศร้าหมองทั้งปวง ทีนี้การบวชเข้ามา เป็นโอกาสอันดีที่จะศึกษาเรื่องเหล่านี้ เมื่ออยู่ที่บ้าน นั้นยากที่ศึกษา ไม่มีโอกาส มีเวลาเล่นหัวคลุกคลีกันอยู่มาก เอาเวลาไปนั่งวิเวกบ้าง อย่าชอบหัวเราะ ชอบคลุกคลี ที่เป็นข้าศึกต่อวิเวก แต่เอาเถอะ มันยากที่จะไม่หัวเราะเลย แต่ให้ระมัดระวังให้ควบคุม อย่าทำลายความสงบ สงัด ของจิตใจ วิเวกของผู้ สันโดษ ถ้าได้ฟังธรรมะของพระอริยะเจ้า มีความเห็นธรรมะนั้น จึงเกิดความวิเวก แล้วเป็นสุข คำๆนี้ตอนสมัยที่อาตมาบวช เค้าเรียกว่า บอกวัตร คือบอกทุกวัน บอกต่อท้ายทำวัตรเช้า และเย็น

หน้าที่ 2 – ทำจิตให้วิเวกจากสิ่งรบกวน
ขอให้เข้าใจในแง่สุขภาพทางจิตด้วย เพราะเดี๋ยวนี้เป็นโรคประสาทมากขึ้น เป็นบ้ามากขึ้น ฆ่าตัวตาย เพราะไม่รู้จักอิสระ เสรีภาพ จากสิ่งเหล่านี้ ดังนั้นตั้งใจ อธิษฐานใจในการมีวิเวกเพิ่มขึ้น หาโอกาสชิมรสวิเวกบ้าง พอนั่งสมาธิพอสมควร มันจะมีวิเวก ให้หาโอกาสชิม แล้วมันจะพอใจ เป็นการเปิดหนทางไปวิเวก คือ นิพพาน วิเวก เป็นคำไวพจน์ คือชื่อแทนของนิพพานที่วิเวกจากอุปธิ เมื่อวิเวกทางอุปธิ ย่อมวิเวกทางกาย และจิต เป็นธรรมดา แต่ทีเขาพูดไว้ตั้งแต่ต้นเป็นสามเรื่องมานี้คือ กายวิเวก จิตวิเวก อุปธิวิเวก เขาไว้พูดกับคนโง่ อาตมาชอบพูดตรงๆอย่างนี้ ใครจะโกรธก็ตามใจ จะพูดแต่อุปธิวิเวก มันจะฟังถูกเฉพาะผู้มีปัญญา ที่จะเป็นพระอรหันต์เท่านั้น เพราะว่าถ้าอุปธิวิเวกได้อย่างเดียว ทั้งสองอย่างนั้นได้หมด ใครจะมารบกวนอย่างไร ก็ไม่รู้ไม่ชี้ เพราะมันไม่มีตัวกู ไม่มีการยึดมั่น ตัวกูของกู จิตมันไม่ยึดถืออย่างนั้น ความรัก ความโกรธ ความหลง อาลัยอาวรณ์ ไม่มารบกวนได้ จะให้ใครมาด่า มาตบหน้า มันก็วิเวกอยู่อย่างนั้นแหละ มันไม่มีตัวกูที่จะออกมารับการด่า การตบหน้านั้น มันสามารถปฏิบัติได้สูงสุด ที่เรียกว่า ขันติ หรือ ลืม คือไม่นึกถึงตัวกู ไม่ให้ตัวกูเกิด ลืมตัว แต่ลืมตัวอย่างนี้มีประโยชน์ ไม่ยินดียินร้าย ไม่รับโกรธ เกลียด กลัว ไม่บวกไม่ลบ ไม่ใช่ลืมตัวให้เกิดกิเลส

อย่างบางคนว่า นั่งมาในรถไฟ ทำสมาธิไม่ได้ อาตมาว่าไม่จริง ถ้ามารถลืมตัวได้ มันก็ทำได้ ไมรู้ ไม่ชี้ ไม่ฟัง ไม่ได้ยิน ทั้งๆที่มีเสียงกึกก้อง เสียงล้อรถบดราง รู้แต่เรื่องลมหายใจเข้าออก มันก็ทำสมาธิได้ มันจึงมีวิเวกได้ถ้าต้องการ เมื่อไม่ไปใส่ใจ ไม่รับเป็นอารมณ์ เดี๋ยวนี้มันรับเป็นอารมณ์ ไม่มีใครด่า ก็คิดว่าเขาด่า เขาคิดร้าย อย่างนี้จะวิเวกได้อย่างไร จงพยายามที่ปลดเปลื้องมาจากตัวกูของกู ใครจะทำอะไรก็ไม่รู้ไม่ชี้บ้าง ถ้าแผ่เมตตาให้ไปเสีย มันก็จะไม่ระแวง มันจะว่างมากขึ้น ฉะนั้นให้รู้ว่า แผ่เมตตา กรุณา มุทีตา อุเบกขา มันดี เป็นสุข ตื่นก็เป็นสุข นอนก็เป็นสุข มันก็เหมือนวิเวกชนิดหนึ่ง พอคุณแผ่เมตตา มันก็ว่างจากศัตรู แม้มันจะมีคนคิดอยู่ก็ช่างหัวมัน ขอใช้คำหยาบคายหน่อยว่า ช่างหัวแม่มัน ฉันมีความรักเพื่อนเกิด แก่ เจ็บ ตาย ไม่ต้องขุ่นมัว ทั้งหมดนี้เป็นเรื่องที่สัตบุรุษชอบกัน แต่คนสมัยนี้หาว่า ครึคระ บ้าบอ คนที่ว่าอย่างนี้ไม่นานก็ประสาท บ้า ตาย เพราะไม่รู้จักทำจิตให้วิเวกจากสิ่งรบกวน คุณจะคิดไหมว่า พูดอย่างนี้จะเป็นไดโนเสาร์เต่าล้านปี ซึ่งคนโบราณเขาชอบ ที่จะวิเวก ขอร้องว่าคิดให้ถูกต้อง มันเป็นเรื่องที่จะอยู่สดใส สมัยนี้โลกมันเจริญไปหมด วัตถุก็เจริญ โลกมันยุ่งไปหมด วุ่นวายไปหมด วิทยาศาสตร์เจริญขึ้น นักวิทยาศาสตร์ไม่ค้นคว้าหาทางเรื่องวิเวกบ้างเลย มีแต่ปรุงของใหม่ ทำของใหม่ วิเวกเป็นเครื่องป้องกัน เหมือนกับวัคซีนป้องกันทางจิตใจ ทางวิญาณ อยากจะบอกว่า ถ้าคุณได้ความรู้เหล่านี้มาบ้างการบวชของคุณ สองสามเดือน ก็จะมีอานิสงค์มหาศาล ถึงไม่สึก ก็จะมีวัตถุมารบกวน ฉะนั้น ทั้งคนลาและไม่ลาสิกขา ให้หาเครื่องป้องกันอันตราย ที่จะมากับความเจริญทางวัตถุของโลกยุคนี้ เกิดวัตถุที่มีรสอร่อยยิ่งๆขึ้นไป เพลิดเพลิน ชักจิต ในด้านกามารมณ์ทั้งนั้น ไม่ได้เป็นสิ่งประโลมใจในด้านธรรมะเลย อาตมากล้าท้าเลยว่า ถ้าควบคุมความเจริญเหล่านี้ไว้ไม่ได้ ก็คือความวินาศของโลก วินาศยิ่งกว่าระเบิดปรมาณูเสียอีก มันทำลายหมด ทั้งทางวัตถุ และทางจิตใจ แต่อันนี้มันจะช่วยได้ ในการรู้ของจิต ควบคุมจิตไว้ไม่ยินดียินร้าย ไม่บวกไม่ลบ แม้ว่าตายลงก็ไม่เป็นทุกข์ และก็ไม่เป็นทุกข์ล่วงหน้า เหมือนที่เขาเป็นๆกันอยู่ ดูให้ดีว่าอะไรมันน่ากลัวที่สุด เดี๋ยวนี้เขากลัวโรคเอดส์ มันเป็นแค่เด็กอมมือ น่ากลัวกว่านั้นก็ไม่สนใจ

ถ้าสิ้นราคะก็วิเวกจากราคะ ถ้าสิ้นโทสะก็วิเวกจากโทสะ ถ้าสิ้นโมหะก็วิเวกจากโมหะ มันไม่อะไรอีกแล้ว มันสูงสุดเท่านั้น คนดีเลิศที่เกิดมา ไม่มีอะไรดีไปกว่านั้น หมดจากราคะ โทสะ โมหะ ไม่มีอะไรมารบกวน มันก็วิเวกหมดเลย ได้รับผลสูงสุดที่ไม่มีอะไรยิ่งกว่า คือนิพพาน ให้รู้ว่าวิเวก ไม่มีอะไรมารบกวน ชั่ว หรือดีก็ไม่รบกวน เดี๋ยวนี้บูชาเนื้อหนังกันอยู่ ดีที่ได้ กามารมณ์ที่ได้ มันน่าสงสารเด็กๆ วัยรุ่น หนุ่มสาว ที่ไม่รู้จะบูชาอะไร นอกจากเรื่องกามารมณ์ มันก็จะได้รับบทเรียนที่แสบเผ็ด เมื่อรู้แล้วก็ไม่รู้ว่าจะรู้ทันไหม เลิกทันไหม ถ้าจะสอนกันเนิ่นๆก็จะเป็นการดี ไม่เจ็บปวดมากนัก ดังนั้นเรื่องวิเวกของคนแก่ ก็ยังมีประโยชน์ ไม่ใช่แค่เรียนปริญญายาวเป็นหาง ถ้าไม่มีวิเวกบ้าง มันก็เป็นบ้าโดยไม่ต้องสงสัย ขอให้รู้ว่าเรื่องสูงสุดของพระพุทธศาสนามันอยู่ตรงนี้ ไม่ใช่เรื่องบ้าบออะไร เป็นเรื่องที่จะเอาชนะทุกสิ่งทุกอย่างในโลกได้ เป็นความลับอันสุดซึ้ง ของธรรมชาติ ถ้ามันไม่วิเวกคืออิสระจากสิ่งเหล่านี้มันคือทุกข์ พระพุทธเจ้าเป็นผู้ค้นพบอันนี้ กฎอันนี้ ท่านไม่ได้ตั้งขึ้นมา เป็นของธรรมชาติ ขอให้รู้ว่าพระพุทธศาสนาของเราเป็นอย่างนี้ ศาสนาอื่นเขาว่า พระเจ้าเป็นผู้บัญญัติ ตามใจเขา แต่พุทธเรา พระพุทธเจ้าไม่ได้บัญญัติ มันเป็นความจริง มีอยู่ในธรรมชาติ ทรงค้นพบ แล้วนำมาเปิดเผยให้สัตว์โลกรู้และดับทุกข์ได้ เป็นธรรมธาตุ คือ แม้ตถาคตจะเกิด หรือไม่เกิด มันเป็นธรรมชาติที่มีอยู่ เป็นกฎอิคะปัจญตา คือธรรมชาติที่มีอยู่ ถ้าไม่มีอะไรปรุงแต่งก็จะไม่เกิดอะไรขึ้นมา ถ้ามีการปรุงแต่ง มันเกิดอวิชชา หรือความโง่ขึ้นมา มันเกิดทุกข์ ขอให้รู้ ที่กลุ้มหัวใจอยู่ทั้งวันนั่น เป็นการปรุงแต่งของอวิชชา ความโง่ของตัวเอง อย่าไปโทษผีสาง เทวดา ที่ไหนเลย อวิชชา พวก ความรักโกรธ เกลียด พอมันรู้เท่าทัน ระงับได้ มันก็วิเวก คือไม่มีอะไรมารบกวน สงบ เยือกเย็น เป็นอย่างยิ่ง หรือที่เรียกว่า นิพพาน คือสิ่งเดียวกัน แม้จะเรียกกันคนละชื่อ วันนี้ขอโอกาสพูดเรื่องวิเวก ความสงัดจากสิ่งรบกวน วิเวกสูงสุด คือ จากความโง่ว่าตัวกูของกู แม้เป็นฆราวาส ก็ควรจะสนใจอย่างนี้ บรรพชิตก็ควรจะสนใจ มิฉะนั้นก็จะไม่ก้าวหน้าไปในทางแห่งพุทธศาสนา ออกไปเป็นฆราวาสอีก ก็จะไปเจอปัญหาเดิม จึงข้อร้อง อ้อนวอน วิงวอน ให้ทุกคนรู้จัก สนใจ และขอร้องอีกครั้งว่า จงพยายามมีกันเสียบ้าง จะมีกันเท่าไร โอกาสใดก็มีกันบ้าง เป็นวัคซีนกันโรคประสาท โรคบ้า ไม่ใช่เรื่องไดโนเสาร์ แต่จะนำไปใช้ในยุคปรมาณู ยุคอวกาศ จึงขอยุติการบรรยายไว้เพียงเท่านี้ ด้วยความสมควรแก่เวลาไว้เท่านี้

http://www.vcharkarn.com/varticle/17836

. . . . . . .