กุฏิพระอาจารย์ฝัน อาจาโร

กุฏิพระอาจารย์ฝัน อาจาโร

กุฏีที่พักของพระอาจารย์ฝั้น ซึ่งอยู่ใกล้ ๆ กับโบสถ์น้ำ ลักษณะกุฎีสร้างเป็นอาคารสมัยใหม่ ๒ ชั้น ชั้นล่างเปิดโล่ง เมื่อสมัยพระอาจารย์ฝั้นมีชีวิต กุฎีหลังนี้ไม่เคยว่างเว้นผู้คนที่อยากจะเห็นและกราบไหว้ท่าน เพราะท่านเป็นพระใจดีต้อนรับผู้คนอย่างไม่รู้เหน็ดเหนื่อย จนถึงวาระสุดท้าย กุฏีหลังนี้จึงเป็นอนุสรณ์เตือนให้ระลึกถึงพระผู้ใจดี มีเมตตากับชาวบ้าน เด็ก ผู้ใหญ่ ข้าราชการ ไม่แบ่งว่าใครสำคัญ ไม่สำคัญ ต้อนรับเสมอเหมือนเท่าเทียมกันทุกคน

ศาลา

ศาลาที่ตั้งอยู่อย่างโดดเด่น ในวัดป่าอุดมสมพรหลังนี้มีความสำคัญ เมื่อวันที่ ๔ มกราคม พ.ศ. ๒๕๒๐ พระอาจารย์ฝั้นได้มรณภาพ ทำให้วงการสงฆ์ต้องสูญเสียพระผู้ปฏิบัติดี ปฏิบัติชอบ เป็นที่รู้จักของชาวบ้านและลูกศิษย์ทั้งฝ่ายบรรพชิตและฆราวาส เป็นการสูญเสียครั้งยิ่งใหญ่อีกครั้ง ศาลาหลังนี้เป็นที่ตั้งศพของพระอาจารย์ฝั้น

โรงฉันน้ำปานะ

เป็นสถานที่ฉันน้ำของพระภิกษุ เป็นสถานที่อีกแห่งหนึ่งที่มีลักษณะพิเศษของพระป่าที่อยู่วัดป่าจะมีโรงฉันน้ำปานะ เป็นส่วนรวมของพระภิกษุสงฆ์เวลาราว ๆ ๑๔.๐๐ น. ท่านจะมารวมกันฉันน้ำปานะ เป็นสถานที่ ๆ ควรจะดูแลอย่าให้รูปแบบนี้สูญหายไปในอนาคต น่าเสียดาย

http://www.pongrang.com/web/data/a4/04/revival.snru.ac.th/temple/22.htm

พิพิธภัณฑ์พระอาจารย์ฝั้น อาจาโร

พิพิธภัณฑ์พระอาจารย์ฝั้น อาจาโร

ความเป็นมาเจดีย์พิพิธภัณฑ์พระอาจารย์ฝั้น อาจาโร

ในคืนวันที่ ๔ มกราคม พ.ศ. ๒๕๒๐ พระอาจารย์ฝั้น ได้มรณภาพที่วัดป่าอุดมสมพร รวมอายุได้ ๗๘ ปี และหลังจากพระราชทานเพลิงศพท่านเมื่อวันที่ ๒๑ มกราคม พ.ศ. ๒๕๒๑ ที่วัดป่าอุดมสมพร ตำบลพรรณา อำเภอพรรณานิคม จังหวัดสกลนคร เป็นที่เรียบร้อยแล้วคณะศิษย์ทั้งฝ่ายบรรพชิตและฆราวาสได้มีการประชุมปรึกษาจะสร้างสิ่งก่อสร้างเป็นเครื่องระลึกถึงพระอาจารย์ฝั้น ผู้เป็นพระปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ โดยสร้างเจดีย์พิพิธภัณฑ์ตรงบริเวณที่พระราชทานเพลิงศพของท่าน

ความเป็นมาในการสร้างเจดีย์พิพิธภัณฑ์พระอาจารย์ฝั้น อาจาโรได้มีพระราชกระแสรับสั่งของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ฯ ภายหลังจากการสรงน้ำศพพระอาจารย์ฝั้น อาจาโรว่าในฐานะที่เราเป็นลูกศิษย์ของพระอาจารย์ ขอให้ทุกคนได้สามัคคีกัน อย่าให้เกิดความแตกแยกและขอให้ยึดมั่นในคำสอนของท่านไว้ให้มั่นคง ขอให้เก็บอัฐิของท่านพระอาจารย์ไว้แห่งเดียวกัน เครื่องอัฐบริขารของท่านอาจารย์ ถ้าสามารถเก็บรวมรักษาไว้เป็นที่เดียวกันก็จะดี

หลักการสร้างเจดีย์พิพิธภัณฑ์พระอาจารย์ฝั้น อาจาโร

หลักการสร้างเจดีย์พิพิธภัณฑ์มี ๔ ประการ

๑. ให้พยายามใช้วัสดุที่ประหยัด แต่ต้องมีความทนทาน และต้องการดูแลบำรุงรักษาให้น้อยที่สุด เพื่อมิให้เป็นภาระแก่วัด

๒. ลักษณะและรูปแบบควรเน้นหลักในทางที่ให้เกิดความรู้สึกในความเป็นกรรมฐาน และเสริมสร้างศรัทธาปสาทะแก่ผู้ได้พบเห็นมากกว่าความงดงามในแง่ศิลปกรรม

๓. ให้มีการแสดงประวัติของพระอาจารย์ฝั้น รวมถึงพิพิธภัณฑ์แสดงอัฐิธาตุ และบริขารของท่านด้วย

๔. ให้มีอาณาบริเวณโดยรอบพอสมควร ที่จะได้สิ่งแวดล้อมและต้นไม้ตามนิสัยและปฏิปทาของท่านพระอาจารย์ฝั้น อาจาโร และให้จุดศูนย์กลางของเจดีย์พิพิธภัณฑ์อยู่ตรงจุดที่ได้มีการพระราชทานเพลิงศพของท่านพระอาจารย์

ที่มารูปแบบเจดีย์พิพิธภัณฑ์พระอาจารย์ฝั้น อาจาโร

ที่มาของรูปแบบเจดีย์พิพิธภัณฑ์ ต่อมาได้มีการประชุมของบรรดาศิษยานุศิษย์ ทั้งฝ่ายสงฆ์และฆราวาสเพื่อดำเนินการก่อสร้างในลักษณะเจดีย์พิพิธภัณฑ์และได้เห็นสมควรนิมนต์ พระอาจารย์มหาบัว ญาณสัมปันโน วัดป่าบ้านตาด จังหวัดอุดรธานี มาเป็นองค์ประธานในการดำเนินงานเรื่องนี้ทั้งหมด พระอาจารย์มหาบัวได้กำหนดองค์ประกอบของคณะดำเนินงานขึ้น โดยมีพระอาจารย์แปลง สุนทโร เจ้าอาวาสวัดป่าอุดมสมพรและผู้ว่าราชการจังหวัดสกลนคร มาร่วมคณะดำเนินงานและคณะดำเนินงานนี้ได้จัดตั้งคณะทำงานขึ้นอีกชุดหนึ่ง ซึ่งประกอบไปด้วยผู้ซึ่งมีจิตศรัทธาต่อพระอาจารย์ฝั้น ซึ่งประกอบด้วยคณะทำงานก่อสร้างพิพิธภัณฑ์บริขารพระอาจารย์มั่น ภูริทัตตเถระ เป็นผู้ออกแบบเจดีย์พิพิธภัณฑ์พระอาจารย์ฝั้น อาจาโร

http://www.pongrang.com/web/data/a4/04/revival.snru.ac.th/temple/24.htm

หลวงปู่ฝั้น อาจาโร

หลวงปู่ฝั้น อาจาโร

ชาติกำเนิดและชีวิตปฐมวัย พระอาจารย์ฝั้น อาจาโร ถือกำเนิดในสกุล วรรณวงศ์ เมื่อวันอาทิตย์ขึ้น 15 ค่ำ เดือน 9 ปีกุน ตรงกับวันที่ 20 สิงหาคม พ.ศ.2442ที่บ้านม่วงไข่ ตำบลพรรณา อำเภอพรรณานิคม จังหวัดสกลนคร บิดาของท่านคือ เจ้าไชยกุมาร (เม้า) ซึ่งเป็นหลานของพระเสนาณรงค์ เจ้าเมืองพรรณานิคมมารดาชื่อ นุ้ย เป็นบุตรีของหลวงประชานุรักษ์จะเห็นได้ว่าเชื้อสายของท่านเป็นขุนนางทั้งฝ่ายบิดาและมารดา เป็นเชื้อสายขุนนางเก่าแก่ของหมู่ชน ที่เรียกว่า ผู้ไทยซึ่งอพยพมาจากประเทศลาว ในสมัยราชการที่สาม แห่งกรุงรัตนโกสินทร์
พระอาจารย์ฝั้นเคยเล่าว่า บรรพบุรุษของท่าน ได้ข้ามมาแต่ฝั่งซ้ายของแม่น้ำโขง เป็นครอบครัวใหญ่ เรียกว่า ไทยวัง หรือ ไทยเมืองวัง (ซึ่งเป็นเมืองหนึ่ง อยู่ในเขตมหาชัย ของ ประเทศลาว)บิดาของท่านพระอาจารย์ เป็นคนที่มีความเมตตาอารีใจคอกว้างขวาง เยือกเย็นเป็นที่นับหน้าถือตา จึงได้รับเลือกเป็นผู้ใหญ่บ้านม่วงไข่ต่อมาบิดาของท่านได้อพยพพร้อมกับครอบครัวอื่นๆ อีกหลายครอบครัวไปตั้งหมู่บ้านใหม่ ในที่อุดมสมบูรณ์กว่าเดิม เพราะเป็นพื้นที่ ที่มีลำห้วยอูน ผ่านทางทิศใต้และลำห้วยปลาหาง อยู่ทางทิศเหนือ เหมาะแก่การทำนา ทำสวน เลี้ยงสัตว์ และ เลี้ยงไหมตั้งชื่อว่า บ้านบะทอง โดยบิดาของท่านเป็นผู้ใหญ่บ้านต่อไป
เมื่อครั้งยังอยู่ในวัยเยาว์ พระอาจารย์มีความประพฤติเรียบร้อยนิสัยใจคอเยือกเย็น อ่อนโยน โอบอ้อมอารี กว้างขวาง เช่นเดียวกับบิดาของท่าน ทั้งยังมีความขยันหมั่นเพียร อดทนต่ออุปสรรค หนักเอาเบาสู้ ช่วยเหลือกิจการงานของบิดาและญาติพี่น้อง โดยไม่เห็นแก่ความลำบากยากเย็นใดๆ ทั้งสิ้น
ด้านการศึกษา พระอาจารย์ฝั้น ได้เริ่มเรียนหนังสือที่วัดบ้านม่วงไข่ (วัดโพธิ์ชัย)สอนโดย ครูหุน ทองคำ และครูตัน วุฒิสาร ตามลำดับพระอาจารย์ เมื่อครั้งนั้น เป็นผู้มีความขยันหมั่นเพียรในการศึกษาเป็นอันมากสามารถเขียนอ่านได้รวดเร็วกว่าเด็กอื่นๆ ถึงขนาดได้รับความไว้วางใจจากครู ให้สอนเด็กอื่นๆแทน ในขณะที่ครูมีกิจจำเป็น พระอาจารย์ฝั้น เคยคิดจะเข้ารับราชการ จึงได้ตามไปอยู่กับ นายเขียน อุปพงศ์ ผู้เป็นพี่เขย ซึ่งเป็นปลัดเมื่องฝ่ายขวา ที่จังหวัดขอนแก่น เพื่อศึกษาเล่าเรียนต่อไปในชั้นสูงในช่วงนี้ ท่านได้พิจารณาเห็นความยุ่งเหยิง ไม่แน่นอนของชีวิตคฤหัสถ์ ได้เห็นการปราบปรามผู้ร้าย มีการฆ่าฟันกัน มีการประหารชีวิตครั้งนั้น พี่เขยได้ใช้ให้เอาปิ่นโตไปส่งนักโทษอยู่เสมอ ท่านได้เห็นนักโทษหลายคน แม้เคยเป็นใหญ่เป็นโต เช่น พระยาณรงค์ฯ เจ้าเมืองขอนแก่น ต้องโทษฐานฆ่าคน นายวีระพงศ์ ปลัดซ้าย ก็ถูกจำคุก แม้แต่นายเขียน พี่เขยของท่านเมื่อย้ายไปเป็นปลัดขวา อำเภอกุดป่อง จังหวัดเลย ก็ต้องโทษฆ่าคนตายเช่นกัน
สภาพของนักโทษ ที่ท่านประสบมา มีทั้งหนักและโทษเบานับได้ว่าเป็นสาเหตุที่ทำให้ท่านรู้จักปลง และประจักษ์ถึงความไม่แน่นอนของชีวิตท่านได้สติ บังเกิดความเบื่อหน่ายในทางโลก จึงเลิกคิดที่จะรับราชการ และตัดสินใจบวชเพื่อสร้างสมบุญบารมีทางพระพุทธศาสนาต่อไป ชีวิตสมณะ การแสวงหาธรรม และปฏิปทา ชีวิตสมณะของพระอาจารย์ฝั้น อาจาโร เริ่มต้นเมื่อปี พ.ศ. 2461 เมื่อท่านอายุได้ 19 ปี ได้บรรพชาเป็นสามเณร ที่วัดโพธิ์ทอง บ้านบะทอง อำเภอพรรณานิคมและในปี พ.ศ. 2462 อ่านเพิ่มเติม

จิตตภาวนา พุทโธ หลวงปู่ฝั้น อาจาโร

จิตตภาวนา พุทโธ
หลวงปู่ฝั้น อาจาโร
แสดง ณ วัดบวรนิเวศวิหาร กรุงเทพฯ
วันที่ ๗ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๑๘

เราทุกคนมาชุมนุมกันที่นี้ ประชุมทั้งในทั้งนอก เมื่อเข้ามาถึงวัดแล้วให้พากันวัดดูจิตใจของเราว่ามันอยู่นอกวัดหรือในวัด วัดดูเพื่อเหตุใด

นี่แหละเราอาศัยพระพุทธศาสนา ศาสนาเป็นเครื่องแก้ทุกข์ และเป็นเครื่องดับทุกข์
พระพุทธเจ้าท่านบัญญัติศาสนาในพุทธบริษัททั้งสี่นี่แหละ ท่านไม่ได้บัญญัติที่อื่น บริษัททั้งสี่คืออะไร ภิกษุ ภิกษุณี แต่เวลานี้ภิกษุณีไม่มี มีแต่ภิกษุ สามเณร อุบาสก อุบาสิกา
ในสี่เหล่านี้แหละ (ที่พระพุทธเจ้าทรงบัญญัติ) พระพุทธศาสนา (คือเป็นศาสนทายาท) ศาสนาจะเจริญได้ก็อาศัยสี่เหล่านี้ ศาสนาจะเสื่อมก็อาศัยสี่เหล่านี้เหมือนกัน

ศาสนาจะเสื่อมเพราะเหตุใด
เพราะเราไม่ประพฤติเราไม่ปฏิบัติ เรื่องเป็นอย่างนี้ ในคุณพระพุทธเจ้าเราก็ไม่มีความเคารพในคุณพระธรรมก็ไม่มีความเคารพ ในคุณพระอริยสงฆ์เราก็ไม่มีความเคารพ นานก็ไม่มีความเคารพ ในศีลก็ไม่มีความเคารพ ในภาวนาก็ไม่มีความเคารพ ในปฏิสันถารการต้อนรับซึ่งกันและกันก็ไม่มีความเคารพ เมื่อเราไม่เคารพใน ๗ สถานนี้แหละ เป็นเหตุให้ศาสนาเสื่อม ถ้าพวกเรายังมีความเคารพอยู่ในสิ่ง ๗ สถานนี้แล้ว ศาสนาก็จะเจริญรุ่งเรืองขึ้นไป

ท่านบัญญัติศาสนา ในพระไตรปิฎกท่านบอกว่า ในพระอภิธรรมท่านไม่ได้บัญญัติอย่างอื่นเราทั้งหลายบ้างก็ว่าบางคนไม่ได้เรียนบัญญัติ เอ้อ ให้รู้จักบัญญัติ ท่านบัญญัติธรรมวินัย ท่านบอกว่า ฉปญฺญตฺติโย ขนฺธปญฺญตฺติ อายตนปญฺญตฺติ ธาตุปญฺญตฺติ อินฺทฺริยปญฺญตฺติ ปุคฺคลปญฺญตฺติ นี่ ท่านบัญญัติศาสนาไว้ตรงนี้ อันนี้ท่านวางไว้ นี่บัญญัติศาสนา ให้พากันพึงรู้พึงเข้าใจนะ

ขนฺธปญฺญตฺติ คือท่านบัญญัติในเบญจขันธ์ เมื่อวานก็ได้อธิบายไปแล้ว คือบัญญัติในรูปบัญญัติในเวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ นี่ เราก็น้อมดูซี รูปอยู่ที่ไหนเล่า คือนั่งอยู่นี่แหละ เรียกว่ารูปขันธ์ขันธปัญญัตติ นี่ บัญญัติตรงนี้ เพื่อเหตุใด เพื่อให้รู้จักสิ่งเหล่านี้ว่า มันเป็นอยู่อย่างไร มันเป็นสุขหรือเป็นทุกข์ มันดีหรือมันชั่ว มันเกิดขึ้นมาจากนี้ เอ้อ เรียกว่า รูปขันธ์ เวทนาขันธ์ล่ะ ความสุขทุกข์ ทุกขา เวทนา สุขา เวทนา อุเบกขา เวทนา เราก็ต้องดูเอาซี ตรงนั้นท่านบัญญัติไว้ สัญญาขันธ์ ความสำคัญมั่นหมาย ความจำโน่นจำนี่ นี่ – ท่านบัญญัติไว้ตรงนี้ สังขารขันธ์ ความปรุงความแต่ง ดูซี เวลาเราปรุงเป็นกุศลหรืออกุศล ให้พึงรู้พึงเห็น ไม่ใช่ฟ้าอากาศปรุงเป็นกุศลอกุศล กุศลเราจะรู้ได้อย่างไรเล่า รวมมาสั้นๆแล้ว คือใจเราดี มีความสุขความสบาย เย็นอกเย็นใจ นี้เรียกว่ากุศลธรรม นำความสุข ความให้ในปัจจุบันและเบื้องหน้าอกุศลธรรม จิตไม่ดีทุกข์ยากวุ่นวายเดือดร้อน ธรรมนี้นำสัตว์ทั้งหลายให้ตกทุกข์ได้ยาก ให้ฉิบหายในปัจจุบันและเบื้องหน้า เป็นอย่างนี้ วิญญาณขันธ์ล่ะ วิญญาณนี้เป็นผู้รู้และจะไปปฏิสนธิในสิ่งที่เราปรุงแต่งไว้ กรรมเหล่านี้แหละนำไปตบแต่ง ไม่มีใครตบแต่งให้เรา ธรรมนำมาเอง นี่ เรื่องมันเป็นอย่างนี้ ธรรมมันอยู่ตรงนี้ จะเรียนธรรมจะรู้ธรรม ให้มาดูตรงนี้ มาดูรูป ดูเวทนา ดูสัญญา ดูสังขาร ดูวิญญาณ นี้ ให้พิจารณารูปนี้แหละเพ่งเพื่อเหตุใด ท่านยังว่ามันหลงรูป หลงรูป รูปอันนี้มันมีอะไรจึงพากันไปหลงอยู่นักหนา พระพุทธเจ้าจึงได้วางไว้ให้พิจารณารูป อ่านเพิ่มเติม

หลวงปู่ฝั้น อาจาโร

หลวงปู่ฝั้น อาจาโร
วัดป่าอุดมสมพร ตำบลพรรณา อำเภอพรรณนานิคม จังหวัดสกลนคร

นามเดิม ฝั้น สุวรรณรงค์

เกิด วันอาทิตย์ที่ ๒๐ สิงหาคม พ.ศ. ๒๔๔๒ ตรงกับวันขึ้น ๑๔ ค่ำ เดือน ๙ ปีกุน ณ บ้านม่วงไข่ ตำบลพรรณา อำเภอพรรณนานิคม จังหวัดสกลนคร มีพี่น้องร่วมบิดามารดาทั้งหมด ๘ คน ถึงแก่กรรมแต่ยังเล็ก ๒ คน
โยมบิดา เจ้าไชยกุมาร (เม้า)
โยมมารดา นุ้ย (เป็นบุตรีของหลวงประชานุรักษ์)

บรรพชา ประมาณ พ.ศ. ๒๔๖๑ (อายุ ๑๙ ปี) ตรงกับปีมะเมีย ที่วัดโพนทอง บ้านบะทอง อุปนิสัยก่อนบรรพชา มีความประพฤติเรียบร้อย อ่อนโยน นิสัยสุขุมเยือกเย็นและกว้างขวางเช่นเดียวกับบิดา ทั้งยังมีความขยันหมั่นเพียร อดทนต่ออุปสรรค หนักเอาเบาสู้ ส่วนในด้านการศึกษานั้น หลวงปู่ฟั่นได้เริ่มเรียนหนังสือมาตั้งแต่ครั้งยังอยู่ที่บ้านม่วงไข่ โดยเข้าศึกษาที่วัดโพธิ์ชัย แบบเรียนที่เขียนอ่านได้แก่มูลบทบรรพกิจเล่ม ๑-๒ ซึ่งเป็นแบบเรียนที่ดีที่สุดในสมัยนั้น ผู้ได้เรียนจบจะแตกฉานในด้านการอ่านเขียนไปทุกคน มีอาจารย์สอนหนังสือ คือ พระอาจารย์ต้น กับ นายหุ่น ขณะเป็นสามเณรท่านเอาใจใส่ศึกษาพระธรรมวินัย

อุปสมบท เมื่ออายุ ๒๐ ปี ณ วัดสิทธิบังคม (บ้านไฮ่) ตำบลไร่ อำเภอพรรณนานิคม จังหวัดสกลนคร โดยมีพระครูป้อง (ป้อง นนตะเสน) เป็นพระอุปัชฌาย์ พระอาจารย์สัง กับ พระอาจารย์นวล เป็นพระกรรมวาจาจารย์ ระหว่างจำพรรษาที่วัดสิทธิบังคม ท่านได้ท่องบ่นเจ็ดตำนาน สิบสองตำนาน จบบริบูรณ์ ขณะเดียวกันพระอุปัชฌาย์ก็ได้สอนวิธีเจริญกัมมัฏฐานตลอดพรรษา พ.ศ. ๒๔๖๓ เดือน ๓ ข้างขึ้น เป็นระยะเวลาที่หลวงปู่ฝั้นได้พบกับหลวงปู่มั่น ภูริทัตโต ที่วัดป่าภูไทสามัคคี บ้านม่วงไข่ ตำบลพรรณา และได้ปวารณาตนเป็นศิษย์ท่าน รับเอาข้อวัตรปฏิบัติถือธุดงควัตรโดยเคร่งครัด
อ่านเพิ่มเติม

พระอาจารย์ฝั้น อาจาโร วัดป่าอุดมสมพร จ.สกลนคร

พระอาจารย์ฝั้น อาจาโร วัดป่าอุดมสมพร จ.สกลนคร

พระอาจารย์ฝั้น อาจาโร
วัดป่าอุดมสมพร จ.สกลนคร

พระอาจารย์ฝั้น อาจาโร เกิดเมื่อวันอาทิตย์ ขึ้น ๑๔ ค่ำ เดือน ๙ ปีกุน ตรงกับวันที่ ๒๐ สิงหาคม ๒๔๔๒ ที่บ้านม่วงไข่ ตำบลพรรณา อำเภอพรรณานิคม จังหวัดสกลนคร ในตระกูล “สุวรรณรงค์” เจ้าเมืองพรรณานิคม

บิดาของท่านคือ เจ้าไชยกุมมาร (เม้า) ผู้เป็นหลานปู่ของ พระเสนาณรงค์ (นวล) และหลานอาของ พระเสนาณรงค์ (สุวรรณ์) เจ้าเมืองพรรณานิคมคนที่ ๒ และที่ ๔ ตามลำดับ

มารดาของท่านชื่อ นุ้ย เป็นบุตรีของหลวงประชานุรักษ์

พี่น้องร่วมบิดามารดา มีอยู่ทั้งหมด ๘ คน ถึงแก่กรรมแต่ยังเล็ก ๒ คน ส่วนอีก ๖ คน ได้แก่
๑. นางกองแก้ว อุปพงศ์
๒. ท้าวกุล
๓. นางเฟื้อง
๔. พระอาจารย์ฝั้น
๕. ท้าวคำพัน
๖. นางคำผัน

อย่างไรก็ตาม ขณะนี้ทุกคนสู่สุคติภพไปสิ้นแล้ว ยังเหลือแต่ลูกหลานที่สืบสกุลอยู่ทุกวันนี้เท่านั้น

บ้านบะทอง อ.พรรณานิคม
เมื่อ บุตรทุกคนเจริญวัยเป็นท้าวเป็นนางแล้ว เจ้าไชยกุมาร (เม้า) ผู้บิดา ได้อพยพพร้อมกับครอบครัวอื่น ๆ อีกหลายครอบครัว ออกจากบ้านม่วงไข่ ไปตั้งบ้านใหม่ขึ้นอีกหมู่หนึ่ง ให้ชื่อว่า บ้านบะทอง เพราะที่นั่นมีต้นทองหลางใหญ่อยู่ต้นหนึ่ง แต่ปัจจุบันต้นทองหลางใหญ่ดังกล่าวได้ตายและผุพังไปสิ้นแล้ว สาเหตุที่อพยพออกจากบ้านม่วงไข่ก็เพราะเห็นว่า สถานที่ใหม่อุดมสมบูรณ์กว่า เหมาะแก่การทำนา ทำสวน เลี้ยงสัตว์ เช่นวัว ควาย และเหมาะอย่างยิ่งสำหรับการเลี้ยงไหม เพราะเป็นพื้นที่ซึ่งมีลำห้วยขนาบอยู่ถึงสองด้าน ด้านหนึ่งคือ ลำห้วยอูนอยู่ทางทิศใต้ ส่วนอีกด้านหนึ่ง คือลำห้วยปลา อยู่ทางทิศเหนือ

ก่อนอพยพจากบ้านม่วงไข่ เจ้าไชยกุมาร (เม้า) บิดาของพระอาจารย์ฝั้น ได้เป็นผู้ใหญ่บ้านปกครองลูกบ้านให้อยู่เย็นเป็นสุขมาก่อนแล้ว ครั้นมาตั้งบ้านเรือนกันใหม่ที่บ้านบะทอง ท่านก็ได้รับความไว้วางใจให้เป็นผู้ใหญ่บ้านต่อไปอีก เพราะลูกบ้านต่างให้ความเคารพนับถือในฐานะที่ท่านเป็นคนที่มีความเมตตาอารี ใจคอกว้างขวางและเยือกเย็นเป็นทีประจักษ์มาช้านาน
อ่านเพิ่มเติม

เหรียญอาจารย์ฝั้น อาจาโร รุ่นแรก ปี2507

เหรียญอาจารย์ฝั้น อาจาโร รุ่นแรก ปี2507

เหรียญอาจารย์ฝั้น อาจาโร รุ่นแรก ปี2507

เหรียญอาจารย์ฝั้น อาจาโร เป็นเหรียญรุ่นแรก ของ พระอาจารย์ฝั้น อาจาโร วัดป่าอุดมสมพร จ.สกลนคร พระเกจิอาจารย์ทางสายวิปัสสนากรรมฐาน หรือเรียกกันว่า “พระสายวัดป่า” รูปหนึ่งแห่งภาคอีสานผู้มีชื่อเสียงโด่งดัง มีลูกศิษย์ลูกหามากมาย เป็นเหรียญคณาจารย์ที่ได้รับความนิยมและแสวงหาอย่างสูงในแวดวงนักนิยมสะสมพระเครื่องและเหรียญคณาจารย์ และหายากยิ่งในปัจจุบันครับผม

ประวัติพระอาจารย์ฝั้น อาจาโร เกิดที่บ้านม่วงไข่ ต.พรรณา อ.พรรณานิคม จ.สกลนคร เมื่อปี พ.ศ.2442 ในตระกูลของเจ้าเมืองพรรณานิคม เมื่ออายุครบ 20 ปี อุปสมบทเป็นพระภิกษุที่วัดสิทธิบังคม บ้านไฮ่ ต.ไร่ อ.พรรณานิคม ศึกษาร่ำเรียนพระปริยัติธรรมและวิปัสสนากรรมฐานกับท่านอาญาครูธรรม เจ้าอาวาสวัดโพนทอง และติดตามพระอาจารย์ออกธุดงค์ไปตามสถานที่ต่างๆ ด้วยความที่มีจิตมุ่งมั่นในการบำเพ็ญวิปัสสนากรรมฐานและธุดงควัตรอย่าง แรงกล้า
ในปี พ.ศ.2463 อาจารย์ฝั้นท่านได้พบพระอาจารย์มั่น ภูริทัตโต สุดยอดแห่งพระอริยสงฆ์ และขอปวารณาตนเป็นศิษย์เพื่อศึกษาวิชาความรู้และหลักธรรมต่างๆ โดยเฉพาะด้านวิปัสสนากรรมฐาน ปี พ.ศ.2468 จึงขอญัตติแปรจากมหานิกายเป็นธรรมยุติกนิกาย ที่พระอุโบสถวัดโพธิสมภรณ์ จ.อุดรธานี หลังจากนั้นก็ร่วมออกธุดงค์กับพระอาจารย์มั่นไปตามสถานที่ต่างๆ
อ่านเพิ่มเติม

ประวัติปฏิปทาหลวงปู่ฝั้น อาจาโร

ประวัติปฏิปทาหลวงปู่ฝั้น อาจาโร

ประวัติปฏิปทาหลวงปู่ฝั้น อาจาโร

หลวงปู่ฝั้น อาจาโร นามเดิมของท่านชื่อ ฝั้น สุวรรณรงค์ ท่านเกิดเมื่อวันที่ ๒๐ สิงหาคม พ.ศ. ๒๔๔๒ ตรงกับวันอาทิตย์ ขึ้น ๑๔ ค่ำ เดือน ๙ ปีกุน ที่บ้านม่วงไข่ อ.พรรณานิคม จ.สกลนคร โยมบิดาของท่านชื่อ เจ้าไชยกุมาร (เม้า) มารดาของท่านชื่อนางนุ้ย หลวงปู่เป็นบุตรคนที่ ๕ ในจำนวนพี่น้องทั้งหมด ๘ คน

อุปสมบท

ปี พ.ศ. ๒๔๖๒ ท่านได้เข้าอุปสมบทที่วัดสิทธิบังคม อ.พรรณานิคม จ.สกลนคร โดยมีพระครูป้องเป็นพระอุปัชฌาย์ สังกัดอยู่ในคณะมหานิกาย หลังอุปสมบทแล้ว พระภิกษุฝั้น อาจาโร ได้พักจำพรรษาอยู่กับพระอุปัชฌาย์ ที่วัดสิทธิบังคม พอออกพรรษาท่านได้ไปฝึกอบรมกรรมฐานกับท่านพระครูสกลสมณกิจ เจ้าอาวาสวัดโพนทอง ซึ่งพระครูสกลสมณกิจจะพาพระลูกวัดออกธุดงค์ไปตามสถานที่ต่างๆ หลายๆตำบลในถิ่นนั้น

หลวงปู่มั่น ภูริทัตโต

ครั้นถึงเดือน ๓ ข้างขึ้น ปี พ.ศ. ๒๔๖๓ หลวงปู่มั่น ภูริทัตโต พร้อมด้วยภิกษุสามเณรหลายรูป ออกเที่ยววิเวกเดินธุดงค์รุกขมูลผ่านมาถึงบ้านม่วงไข่ อ.พรรณานิคม จ.สกลนคร ได้เข้าไปพักปักกลดในป่า อันเป็นบริเวณป่าช้าข้างบ้านม่วงไข่ ฝ่ายญาติโยมทางบ้านม่วงไข่ เมื่อทราบข่าวว่ามีพระธุดงค์มาพักปักกลดก็พากันดีใจ จึงได้กระจายข่าวให้รู้ถึงกันอย่างรวดเร็ว แล้วพากันออกไปต้อนรับจัดหาน้ำดื่มน้ำใช้ถวาย และคอยรับฟังธรรมะจากท่านพระอาจารย์มั่น ภูริทัตตเถระ ต่อไป ในคราวนั้น ได้มีพระภิกษุไปร่วมฟังธรรมจากท่านพระอาจารย์มั่นด้วย คือ พระอาญาครูดี , พระภิกษุฝั้น อาจาโร , พระภิกษุกู่ ธัมมทินโน ท่านพระอาจารย์มั่นได้แสดงพระธรรมเทศนา เริ่มตั้งแต่การให้ทาน การรักษาศีล และการเจริญภาวนา เมื่อแสดงจบลง พระอาญาครูดี , พระอาจารย์กู่ และ พระอาจารย์ฝั้น ต่างมีความเลื่อมใสศรัทธาเป็นอย่างยิ่ง ได้พากันปวารณาตัวขอเป็นศิษย์หลวงปู่มั่น รับเอาข้อวัตรปฏิบัติ ถือธุดงควัตรโดยเคร่งครัด และได้ขอติดสอยห้อยตามพระอาจารย์มั่นไปด้วย แต่พระอาจารย์มั่นได้ออกธุดงค์ล่วงหน้าไปก่อน ทำให้ท่านทั้งสามพลาดโอกาสในการออกเที่ยวธุดงค์และศึกษาธรรมกับหลวงปู่มั่น
อ่านเพิ่มเติม

ผจญภัยกับหลวงปู่ฝั้น

ผจญภัยกับหลวงปู่ฝั้น

นอกจากนั้นท่านก็ได้ออกบำเพ็ญกรรมฐานตามป่าเพื่อแสวงหาความสงบวิเวกเป็นบางครั้ง บางโอกาส แต่โดยส่วนมากท่านชอบไปบำเพ็ญที่ภูวัวเพราะสถานที่แห่งนี้มีความเหมาะสมแก่ การเจริญสมณธรรมมาก จึงเป็นที่สนใจของนักปฏิบัติทั้งหลาย ผู้แสวงหาความพ้นทุกข์ สำหรับหลวงปู่สมชาย ฐิตวิริโย ก็เป็นอีกผู้หนึ่งที่ใคร่ต่อการหลุดพ้น จึงได้บุกป่าฝ่าดง เผชิญกับสัตว์ร้ายนานาชนิด

เพื่อบำเพ็ญสมณธรรม เพราะในอดีตเมืองไทย เต็มไปด้วยสิงห์สาราสัตว์ การออกธุดงค์กรรมฐานในยุคนั้น จึงหนีไม่พ้นกับการผจญภัยกับสัตว์ร้ายต่างๆ บางครั้งท่านก็ได้ออกบำเพ็ญกรรมฐานองค์เดียว บางครั้งท่านก็ได้ไปกับหลวงปู่ฝั้น อาจาโร ในฐานะเป็นครูบาอาจารย์ที่ท่านให้ความเคารพนับ ถือมากองค์หนึ่ง และเป็นพระกรรมวาจาจารย์ของท่านอีกด้วย

หลวงปู่ฝั้น กับหลวงปู่สมชาย ฐิตวิริโย ก็ได้เคยเผชิญ กับอันตรายร่วมกันมาหลายครั้งในการออกบำเพ็ญกรรมฐาน โดยเฉพาะที่ภูวัว ได้เคยมีเหตุการณ์บางอย่างที่น่าสนใจ โดยส่วนมากรู้สึกว่าจะนำมาเล่ากันผิดๆ พลาดๆ ไม่ค่อยตรงกับความเป็นจริง ไหนๆ จะเล่าเรื่องจริง จึงตัดสินใจเอามาเขียนให้ ท่านผู้อ่านได้ทราบความจริงและพิจารณา อ่านเพิ่มเติม

ประวัติและปฏิปทา หลวงปู่ฝั้น อาจาโร

ประวัติและปฏิปทา
หลวงปู่ฝั้น อาจาโร

วัดป่าอุดมสมพร
ต.พรรณา อ.พรรณานิคม จ.สกลนคร

๏ ชาติกำเนิดและชีวิตปฐมวัย

พระอาจารย์ฝั้น อาจาโร ถือกำเนิดในสกุล วรรณวงศ์ เมื่อวันอาทิตย์ขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๙ ปีกุน ตรงกับวันที่ ๒๐ สิงหาคม พ.ศ.๒๔๔๒ ที่บ้านม่วงไข่ ตำบลพรรณา อำเภอพรรณานิคม จังหวัดสกลนคร บิดาของท่านคือ เจ้าไชยกุมาร (เม้า) ซึ่งเป็นหลานของพระเสนาณรงค์ เจ้าเมืองพรรณานิคมมารดาชื่อ นุ้ย เป็นบุตรีของหลวงประชานุรักษ์ จะเห็นได้ว่าเชื้อสายของท่านเป็นขุนนางทั้งฝ่ายบิดาและมารดา เป็นเชื้อสายขุนนางเก่าแก่ของหมู่ชน ที่เรียกว่า ผู้ไทยซึ่งอพยพมาจากประเทศลาว

ในสมัยราชการที่สาม แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ พระอาจารย์ฝั้นเคยเล่าว่า บรรพบุรุษของท่าน ได้ข้ามมาแต่ฝั่งซ้ายของแม่น้ำโขง เป็นครอบครัวใหญ่ เรียกว่า ไทยวัง หรือ ไทยเมืองวัง (ซึ่งเป็นเมืองหนึ่ง อยู่ในเขตมหาชัย ของ ประเทศลาว) บิดาของท่านพระอาจารย์ เป็นคนที่มีความเมตตาอารีใจคอกว้างขวาง เยือกเย็นเป็นที่นับหน้าถือตา จึงได้รับเลือกเป็นผู้ใหญ่บ้านม่วงไข่ต่อมาบิดาของท่านได้อพยพพร้อมกับครอบครัวอื่นๆ อีกหลายครอบครัวไปตั้งหมู่บ้านใหม่ ในที่อุดมสมบูรณ์กว่าเดิม เพราะเป็นพื้นที่ ที่มีลำห้วยอูน ผ่านทางทิศใต้และลำห้วยปลาหาง อยู่ทางทิศเหนือ เหมาะแก่การทำนา ทำสวน เลี้ยงสัตว์ และ เลี้ยงไหมตั้งชื่อว่า บ้านบะทอง โดยบิดาของท่านเป็นผู้ใหญ่บ้านต่อไป

เมื่อครั้งยังอยู่ในวัยเยาว์ พระอาจารย์มีความประพฤติเรียบร้อยนิสัยใจคอเยือกเย็น อ่อนโยน โอบอ้อมอารี กว้างขวาง เช่นเดียวกับบิดาของท่าน ทั้งยังมีความขยันหมั่นเพียร อดทนต่ออุปสรรค หนักเอาเบาสู้ ช่วยเหลือกิจการงานของบิดาและญาติพี่น้อง โดยไม่เห็นแก่ความลำบากยากเย็นใดๆ ทั้งสิ้น

ด้านการศึกษา พระอาจารย์ฝั้น ได้เริ่มเรียนหนังสือที่วัดบ้านม่วงไข่ (วัดโพธิ์ชัย) สอนโดย ครูหุน ทองคำ และครูตัน วุฒิสาร ตามลำดับพระอาจารย์ เมื่อครั้งนั้น เป็นผู้มีความขยันหมั่นเพียรในการศึกษาเป็นอันมากสามารถเขียนอ่านได้รวดเร็วกว่าเด็กอื่นๆ ถึงขนาดได้รับความไว้วางใจจากครู ให้สอนเด็กอื่นๆ แทน ในขณะที่ครูมีกิจจำเป็น

พระอาจารย์ฝั้น เคยคิดจะเข้ารับราชการ จึงได้ตามไปอยู่กับ นายเขียน อุปพงศ์ ผู้เป็นพี่เขย ซึ่งเป็นปลัดเมื่องฝ่ายขวา ที่จังหวัดขอนแก่น เพื่อศึกษาเล่าเรียนต่อไปในชั้นสูงในช่วงนี้ ท่านได้พิจารณาเห็นความยุ่งเหยิง ไม่แน่นอนของชีวิตคฤหัสถ์ ได้เห็นการปราบปรามผู้ร้าย มีการฆ่าฟันกัน มีการประหารชีวิตครั้งนั้น พี่เขยได้ใช้ให้เอาปิ่นโตไปส่งนักโทษอยู่เสมอ ท่านได้เห็นนักโทษหลายคน แม้เคยเป็นใหญ่เป็นโต เช่น พระยาณรงค์ฯ เจ้าเมืองขอนแก่น ต้องโทษฐานฆ่าคน นายวีระพงศ์ ปลัดซ้าย ก็ถูกจำคุก แม้แต่นายเขียน พี่เขยของท่านเมื่อย้ายไปเป็นปลัดขวา อำเภอกุดป่อง จังหวัดเลย ก็ต้องโทษฆ่าคนตายเช่นกัน สภาพของนักโทษ ที่ท่านประสบมา มีทั้งหนักและโทษเบานับได้ว่าเป็นสาเหตุที่ทำให้ท่านรู้จักปลง และประจักษ์ถึงความไม่แน่นอนของชีวิตท่านได้สติ บังเกิดความเบื่อหน่ายในทางโลก จึงเลิกคิดที่จะรับราชการ และตัดสินใจบวชเพื่อสร้างสมบุญบารมีทางพระพุทธศาสนาต่อไป อ่านเพิ่มเติม

วั ด อ ยู่ ใ จ : พระอาจารย์ฝั้น อาจาโร

วั ด อ ยู่ ใ จ : พระอาจารย์ฝั้น อาจาโร

วั ด อ ยู่ ใ จ
พระอาจารย์ฝั้น อาจาโร
วัดป่าอุดมสมพร จ.สกลนคร

เราเกิดมาพบพระพุทธศาสนาแล้ว
ได้พบหนทางที่ประเสริฐที่สุดสำหรับชีวิตของเราแล้ว

ถ้าเราไม่เดินไปตามทางนั้น
เราจะไม่เสียดายหรือ

เมื่อชาตินี้ไม่ปฏิบัติแล้ว
อีกกี่ชาติจึงจะได้พบหนทางเช่นนี้อีก

วัดอยู่ที่ใจ….ทุกคนต้องเข้าวัดทุกวัน

(ที่มา : พระธุตังคเจดีย์แห่งพระอรหันต์ วัดอโศการาม ;
ทิพยมนต์ เกร็ดธรรมคำสอน ๒๘ พระอรหันต์
กรุงรัตนโกสินทร์, หน้า ๖๑)

http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=7&t=31175

ทางพ้นทุกข์ (หลวงปู่ฝั้น อาจาโร)

ทางพ้นทุกข์ (หลวงปู่ฝั้น อาจาโร)

การสำเร็จมรรคสำเร็จผล ไม่ได้สำเร็จที่อื่นที่ไกล
สำเร็จที่ดวงใจของเรา

ธรรมะ คำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าท่านวางไว้ถึงแปดหมื่นสี่พันพระธรรมขันธ์
ท่านก็ไม่ได้วางไว้ที่อื่น วางที่กาย ที่ใจของเรานี้เอง
นี่เรียกว่า เป็นที่ตั้งแห่งธรรมวินัย

ความที่พ้นทุกข์ ก็จะพ้นจากที่ไหนเล่า คือ ใจเราไม่ทุกข์ แปลว่า พ้นทุกข์
เพราะฉะนั้น ได้ยินแล้วให้พากันน้อมเข้าภายใน

ธรรมะคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า รวมไว้ในจิตดวงเดียว
เอ กํ จิตฺตํ ให้จิตเป็นของเดิม จิตฺตํ ความเป็นอยู่
ถ้าเราน้อมเข้าถึงจิตแล้ว ความสำเร็จอยู่ที่นั่น
ถ้าเราไม่รวมแล้ว มันก็ไม่สำเร็จ
ทำการทำงานทุกสิ่งทุกอย่างก็ต้องรวมถึงจะสร็จ
ถ้าไม่รวมเมื่อไรก็ ไม่สำเร็จ
อ่านเพิ่มเติม

ของมันเห็นๆ กันอยู่ : หลวงปู่ฝั้น อาจาโร

ของมันเห็นๆ กันอยู่ : หลวงปู่ฝั้น อาจาโร

ข อ ง มั น เ ห็ น ๆ กั น อ ยู่
หลวงปู่ฝั้น อาจาโร
วัดป่าอุดมสมพร อ.พรรณานิคม จ.สกลนคร

“ความเกิด แก่ เจ็บ ตาย เป็นทุกข์”

ผู้ที่เห็นทุกข์เหล่านั้นจึงขวนขวายหาหนทางพ้นทุกข์
เมื่อเห็นทุกข์แล้ว จงเร่งความเพียรภาวนาเรื่อยไป
เพื่อให้รู้แจ้งเห็นจริงด้วยตนเอง

ให้เชื่อเรื่องบุญ เรื่องบาป ว่าเป็นของมีจริง
โดยมากคนมักไม่เชื่อ

ศาสนา ศาสนาก็คือคำสอน
สอนให้คนละชั่ว ทำความดี เพื่อขจัดทุกข์ให้
ประสบความสุข…

ถ้าผลบุญผลบาปไม่มีจริงแล้ว
จะมีคนร่ำรวย มียศถาบรรดาศักดิ์
และมีคนทุกข์ยากกระจอกงอกง่อย ขี้ทูดกุดถังได้อย่างไร…

ของมันเห็นๆกันอยู่…
แต่ไม่รู้จักพิจารณาก็ย่อมไม่เข้าใจ

ให้เข้าใจว่าที่มีศาสนา ที่มีผู้สอนให้
ก็เพื่อประโยชน์ของผู้ศรัทธา..
ปฏิบัติตาม จะได้พ้นทุกข์พ้นยาก

แต่ถ้าไม่เชื่อก็แล้วแต่…

ให้รู้จักภาวนา พุทโธ ทำดวงจิตให้ผ่องใส
จะได้เป็นที่พึ่งของเราได้แน่นอน

ให้ทราบว่าในโลกนี้ไม่มีแก่นสารอันใด
เกิดมาแล้วก็ต้องตาย เอาอะไรไปไม่ได้สักอย่าง
ที่จะเอาได้ก็เป็นเรื่องของดวงจิตเท่านั้น…

ฉะนั้น…จึงให้รู้จักทำจิตคลายจากความชั่ว
ความเศร้าหมอง ทำจิตใจ
ให้เป็นบุญเป็นกุศล เป็นจิตที่สงบผ่องใส เป็นสมาธิ

ให้รู้จักใช้ปัญญา พิจารณารูปนาม
ให้เห็นตามความเป็นจริงของสังขาร
จนสามารถละวางตัณหาอุปทานทั้งหลายได้…

(ที่มา : อภิมหามงคลธรรม คำสอนโดยย่อองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
รวม ๗๕ โอวาทพระสุปฏิปันโนแห่งแผ่นดินสยาม, หน้า ๑๓๗)

http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=7&t=20144

บาตรของหลวงปู่ฝั้น อาจาโร

• บาตรของหลวงปู่ฝั้น อาจาโร •

ถ้าหากสังเกตจากภาพข้างต้น
หรือหากได้เยี่่ยมชมเจดีย์พิพิธภัณฑ์พระอาจารย์ฝั้น อาจาโร
ณ วัดป่าอุดมสมพร ต.พรรณา อ.พรรณานิคม จ.สกลนคร
เราจะเห็นบาตรเหล็กใบจริงของหลวงปู่ฝั้น อาจาโร
ซึ่งมีขนาดที่ใหญ่ยิ่งกว่าบาตรพระทั่วๆ ไปที่พบเห็นกันในปัจจุบัน
บาตรเหล็กของหลวงปู่ฝั้นดังกล่าว
ถือเป็นตัวอย่างที่เห็นได้ชัดเจนถึงบาตรของพระธุดงคกรรมฐาน

ดังที่หลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน ได้อรรถาธิบายไว้
เมื่อวันที่ ๙ เมษายน ปีพุทธศักราช ๒๕๒๒ ดังนี้

“พระกรรมฐานไปไหน จึงไม่มีห่วงหน้าห่วงหลัง มีแต่บริขาร ๘ เท่านั้น
สิ่งที่เลยบริขาร ๘ ไปก็คือกาน้ำ พวกมุ้ง พวกกลด
ขนาดนั้นก็เอาไปได้สบายๆ ไม่เห็นมีอะไร ไปอยู่ที่ไหนก็สบาย
ถ้าว่าจะไปก็จับของเหล่านั้นมาใส่บาตร บรรจุในบาตรปั๊บเต็มบาตร
พอดีสะพายบาตร เพราะฉะนั้นพระกรรมฐานจึงมีบาตรใหญ่กว่าปกติอยู่บ้าง

บางคนเขาไม่เข้าใจว่า เอ๊ะ พระกรรมฐานนี่ว่าเป็นผู้มักน้อยสันโดษ
ทำไมจึงต้องมีบาตรใหญ่นักหนา เขาไม่เข้าใจความหมายของพระกรรมฐาน
ว่าทำบาตรใหญ่เพื่อที่จะได้อาหารมากๆ มาฉัน
ความจริงบาตรใหญ่นั้นใช้แทนกระเป๋าเดินทาง
ถ้าบาตรลูกเล็กๆ ใส่สังฆาฏิตัวเดียวมันก็หมดแล้ว
ทีนี้ของนั้นจะเอาใส่ที่ไหน ไม่มีที่ใส่ เมื่อบาตรใหญ่มุ้งก็ลงที่นั่น
สังฆาฏิก็ลงที่นั่น แน่ะ โคมไฟก็เอาลงที่นั่นพอดี
เทียนไข ไม้ขีดไฟที่มีติดตัวไปบ้างก็เอาลงที่นั่น สะพายพอดีเลย
หนักก็พอดี ไม่หนักมาก กลดก็แบกเสีย บาตรก็สะพายเสีย
ย่ามเล็กใส่ทางบ่าข้างหนึ่งแล้วไปธุดงคกรรมฐานได้อย่างคล่องตัว”

และที่สำคัญเวลาออกธุดงคกรรมฐาน แล้วเกิดฝนตก
ของที่เก็บรักษาไว้ในบาตรใบใหญ่ก็จะไม่เปียกด้วย

————————————–
http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=7&t=20144

อาจาโรวาท หลวงปู่ฝั้น อาจาโร วัดป่าอุดมสมพร จ.สกลนคร

อาจาโรวาท
หลวงปู่ฝั้น อาจาโร วัดป่าอุดมสมพร จ.สกลนคร

1. บุญและบาปสิ่งใดๆ ใจถึงก่อนใจเป็นรากฐาน
ใจเป็นประธาน มันสำเร็จที่ใจ

2. ตัวบุญคือใจสบาย เย็นอกเย็นใจ ตัวบาปคือใจไม่สบาย ใจเดือดใจร้อน

3. เราไม่อยากเป็นกรรมเป็นเวร เราต้องตัด ตัดอารมณ์น่ะหละ
ให้อยู่ในที่รู้ อยู่ตรงไหน แล้วเราก็เพ่งอยู่ตรงนั้น

4. ปัญญาคือ ความรอบรู้ในกองทุกข์สังขาร

5. ถ้าคนเราไม่ได้ทำ ไม่ได้หัดไม่ได้ขัด ไม่ได้เกลา
ที่ไหนเล่า จะมีพระอรหันต์ในโลก

6. ให้สติกำหนดที่ผู้รู้ อย่าส่งไปข้างหน้า ข้างหลัง ข้างซ้าย ข้างขวา
ข้างบน ข้างล่าง อดีต อนาคต กำหนดอยู่ที่ผู้รู้แห่งเดียวเท่านั้นแหละ

7. พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ อยู่ที่ใจ ในใจ
อ่านเพิ่มเติม

ประวัติ พระอาจารย์ฝั้น อาจาโร

ประวัติ พระอาจารย์ฝั้น อาจาโร
พระอาจารย์ฝั้น อาจาโร

วัดป่าอุดมสมพร อ. พรรณานิคม จ. สกลนคร

พระอาจารย์ฝั้น อาจาโร เกิดเมื่อวันอาทิตย์ที่ 20 สิงหาคม พ.ศ. 2442 ขึ้น 14 ค่ำ เดือน 9 ปีกุน ที่บ้านม่วงไข่ ต.พรรณนา อ.พรรณานิคม จ.สกลนคร เป็นบุตรของ เจ้าไชยกุมมาร (เม้า) ในตระกูล “สุวรรณรงค์” ซึ่งเป็นตระกูลเจ้าเมืองพรรณานิคมมาก่อน
มารดาของพระอาจารย์ฝั้นชื่อ “นุ้ย” บุตรของ “หลวงประชานุรักษ์” มีพี่น้องทั้งหมด 8 คน พระอาจารย์ฝั้นเป็นบุตรคนที่ 4 สมัยเป็นเด็กท่านเป็นคนอ่อนโยน เรียบร้อยนิสัยใจคอเยือกเย็น มีความขยันหมั่นเพียร และสู้งานทุกอย่าง ช่วยเหลือบิดามารดาเป็นอย่างดี

การศึกษาขั้นต้น ท่านได้เรียนหนังสือที่วัดโพธิชัย ในบ้านม่วงไข่นั่นเอง ท่านเรียนหนังสือเก่งและแตกฉานมาก ต่อมาได้ไปอยู่กับนายเขียน อุปพงศ์ ผู้เป็นพี่เขย ซึ่งเป็นปลัดเมืองอยู่ที่ขอนแก่นได้เรียนหนังสือต่อจนจบการศึกษา มีความคิดว่าจะเข้ารับราชการ แต่ได้เปลี่ยนใจเสียก่อนเพราะในระหว่างที่อยู่กับพี่เขยนั้น พี่เขยได้เคยใช้ให้เอาปิ่นโตไปส่งให้นักโทษคนหนึ่งคือพระยาณรงค์ ซึ่งเป็นถึงเจ้าเมืองขอนแก่น ต้องโทษฐานฆ่าคนตาย นอกจากนี้ก็มีข้าราชการใหญ่อีกหลายคนที่ต้องติดคุกอยู่ด้วย ต่อมาเมื่อพี่เขยถูกย้ายไปจังหวัดเลย ท่านก็ไปเยี่ยม ก็ไปพบว่าพี่เขยของท่านซึ่งเป็นถึงปลัดก็เกิดไปติดคุกอยู่ที่จังหวัดเลย ในข้อหาฆ่าคนตายเหมือนกัน ท่านได้ประสบเหตุการณ์อย่างนี้เข้าก็สลดหดหู่ใจไม่ได้ คนใหญ่คนโตยังต้องติดคุกเช่นนี้จึงหมดอาลัยที่จะเข้ารับราชการตามความคิดฝันมาก่อน จากนั้นท่านก็เดินทางกลับมาพรรณานิคมแล้ว บรรพชาเป็นสามเณรที่วัดโพนทอง บ้านบะทอง ในระหว่างเป็นสามเณรท่านได้เอาใจใส่ศึกษาพระธรรม และเคร่งครัดในพระธรรมวินัยเป็นอย่างยิ่ง พออายุครบ 20 ปี ก็ได้อุปสมบทที่วัดสิทธิบังคม บ้านไร่ อ.พรรณานิคม โดยมี พระครูป้อง เป็นพระอุปัชฌาย์ พระอาจารย์สัง กับพระอาจารย์นวล เป็นพระกรรมวาจาจารย์ บวชแล้วได้ศึกษาเล่าเรียนพระธรรมอย่างเอาจริงเอาจัง ขณะเดียวกันพระครูป้องก็ได้สอนกัมมัฎฐานให้ด้วย พอออกพรรษาในปีนั้นท่านได้ออกเดินธุดงค์ติดตาม ท่านพระครูธรรม เจ้าอาวาสวัดโพนทอง เป็นการฝึกหัดกัมมัฏฐานไปด้วย อ่านเพิ่มเติม

หลวงปู่ฝั้น อาจาโร

หลวงปู่ฝั้น อาจาโร

หลวงปู่ฝั้น อาจาโร เกิดเมื่อวันอาทิตย์ ขึ้น 14 ค่ำ เดือน 9 ปีกุน ตรงกับวันที่ 20 สิงหาคม พ.ศ. 2442 ที่บ้านม่วงไข่ ตำบลพรรณา อำเภอพรรณานิคม จังหวัดสกลนคร เป็นบุตรคนที่ 5 ของเจ้าไชยกุมาร (เม้า) ในตระกูล “สุวรรณรงค์” อดีตเจ้าเมือ พรรณานิคม มารดาของท่านชื่อ นางนุ้ย พระอาจารย์ฝั้น ครั้งวัยเยาว์ มีความประพฤติเรียบร้อย นิสัยโอบอ้อมอารี ขยันหมั่นเพียร อดทนต่ออุปสรรค ช่วยเหลือกิจการงานของบิดา มารดา โดยไม่ย่อท้อต่อความยากลำบาก
เนื้อหา [ซ่อน]
1 การศึกษา
2 อุปสมบท
3 มรณภาพ
4 คำสอน
5 อ้างอิง
การศึกษา[แก้]

ท่านเข้าศึกษาชั้นประถมที่โรงเรียนวัดโพธิ์ชัย บ้านม่วงไข่ และเข้าไปศึกษาต่อกับพี่เขยที่เป็นปลัดขวา ที่อำเภอเมือง จังหวัดขอนแก่น ช่วงนั้นทีแรกท่านอยากรับราชการ แต่ต่อมาได้เห็นความเป็นอนิจจังของผู้มียศถาบรรดาศักดิ์ จึงได้เปลี่ยนความตั้งใจ และได้เข้าบรรพชาเป็นสามเณร ที่วัดโพนทอง บ้านบะทอง ซึ่งเป็นวัดมหานิกาย ต่อจากนั้นใน พ.ศ. 2463 จึงได้ถวายตัวเป็นศิษย์ของ พระอาจารย์มั่น ภูริทัตโต และได้ขอญัตติเป็นธรรมยุตินิกาย เมื่อวันที่ 21 พ.ค. 2468 ที่วัดโพธิสมภรณ์ จ.อุดรธานี โดยมีท่านเจ้าคุณพระธรรมเจดีย์ (จูม พันธุโล) เป็นพระอุปัชฌาย์ อ่านเพิ่มเติม

พระอาจารย์ฝั้น อาจาโร

พระอาจารย์ฝั้น อาจาโร

วัดป่าอุดมสมพร อ.พรรณานิคม จ.สกลนคร

จากหนังสือ ภาพ ชีวประวัติและปฏิปทาของ พระอาจารย์ฝั้น อาจาโร

พระอาจารย์ฝั้น อาจาโร เกิดเมื่อวันอาทิตย์ ขึ้น ๑๔ ค่ำ เดือน ๙ ปีกุน ตรงกับวันที่ ๒๐ สิงหาคม ๒๔๔๒ ที่บ้านม่วงไข่ ตำบลพรรณา อำเภอพรรณานิคม จังหวัดสกลนคร ในตระกูล “สุวรรณรงค์” เจ้าเมืองพรรณานิคม

บิดาของท่านคือ เจ้าไชยกุมมาร (เม้า) ผู้เป็นหลานปู่ของ พระเสนาณรงค์ (นวล) และหลานอาของ พระเสนาณรงค์ (สุวรรณ์) เจ้าเมืองพรรณานิคมคนที่ ๒ และที่ ๔ ตามลำดับ

มารดาของท่านชื่อ นุ้ย เป็นบุตรีของหลวงประชานุรักษ์

พี่น้องร่วมบิดามารดา มีอยู่ทั้งหมด ๘ คน ถึงแก่กรรมแต่ยังเล็ก ๒ คน ส่วนอีก ๖ คน ได้แก่

๑. นางกองแก้ว อุปพงศ์

๒. ท้าวกุล

๓. นางเฟื้อง

๔. พระอาจารย์ฝั้น

๕. ท้าวคำพัน

๖. นางคำผัน

อย่างไรก็ตาม ขณะนี้ทุกคนสู่สุคติภพไปสิ้นแล้ว ยังเหลือแต่ลูกหลานที่สืบสกุลอยู่ทุกวันนี้เท่านั้น

เมื่อบุตรทุกคนเจริญวัยเป็นท้าวเป็นนางแล้ว เจ้าไชยกุมาร (เม้า) ผู้บิดา ได้อพยพพร้อมกับครอบครัวอื่น ๆ อีกหลายครอบครัว ออกจากบ้านม่วงไข่ ไปตั้งบ้านใหม่ขึ้นอีกหมู่หนึ่ง ให้ชื่อว่าบ้านบะทอง เพราะที่นั่นมีต้นทองหลางใหญ่อยู่ต้นหนึ่ง แต่ปัจจุบันต้นทองหลางใหญ่ดังกล่าวได้ตายและผุพังไปสิ้นแล้ว สาเหตุที่อพยพออกจากบ้านม่วงไข่ก็เพราะเห็นว่า สถานที่ใหม่อุดมสมบูรณ์กว่า เหมาะแก่การทำนา ทำสวน เลี้ยงสัตว์ เช่นวัว ควาย และเหมาะอย่างยิ่งสำหรับการเลี้ยงไหม เพราะเป็นพื้นที่ซึ่งมีลำห้วยขนาบอยู่ถึงสองด้าน ด้านหนึ่งคือ ลำห้วยอูนอยู่ทางทิศใต้ ส่วนอีกด้านหนึ่ง คือลำห้วยปลา อยู่ทางทิศเหนือ อ่านเพิ่มเติม

หลวงปู่บุดดา ถาวโร อริยสงฆ์ แห่งบางระจัน

หลวงปู่บุดดา ถาวโร อริยสงฆ์ แห่งบางระจัน

“อย่าเห็นว่า ผ้าเหลืองๆ จะเป็นพระทั้งหมด พระอยู่ที่ความบริสุทธิ์”

วาทะข้างต้นคือสิ่งที่ “หลวงปู่บุดดา ถาวโร” แห่งวัดกลางชูศรีเจริญสุข
อำเภอบางระจัน จังหวัดสิงห์บุรี พระกรรมฐานรุ่นอาวุโสแห่งยุคสมัย
ซึ่งมีวัยพัน ๑๐๐ ปี บริบูรณ์ไปเมื่อเดือน มกราคม ๒๕๓๗ และ
เพิ่งละสังขารไปหมาด ๆ มักกล่าวเตือนสติสาธุชนที่เข้านมัสการ
สนธนาธรรมไว้ตอนหนึ่งเสมอ
เป็นที่ทราบกันดีในหมู่พระกรรมฐานและศาสนิกชนนักปฏิบัติ
ทั่วไปว่า สำหรับหลวงปู่นั้น นอกเหนือจากท่านจะเป็นพระที่มี
อาวุโสรูปหนึ่งของประเทศแล้ว ปฏิปทาวัตรปฏิบัติของท่านยังงาม
พร้อมสรรพ โดยเฉพาะการปฏิบัติธรรมนั้นว่าท่านได้บำเพ็ญเพียร
ก้าวล่วงสู่ความเป็น “อริยะ” ได้อย่างเต็มภาคภูมิชนิดญาติโยม
สามารถกราบไหว้ ได้อย่างสนิทมือสนิทใจทีเดียว
ในช่วงระยะที่ผ่านมา สหายทางธรรมรูปสำคัญยิ่งของหลวงปู่บุดดา
ที่ได้รับความเคารพนับถืออย่างกว้างขวางจากมหาชนก็คือ “หลวงปู่สงฆ์ พรหมสโร”
แห่งวัดอาวุธวิกสิตาราม กรุงเทพมหานคร ซึ่งมรณภาพไปก่อนหน้าแล้ว
เมื่อปี ๒๕๑๙ และหลวงปู่สงฆ์รูปนี้นี่เอง ที่เคยกล่ายกย่องหลวงปู่บุดดาไว้เสมอ
ยามมีชีวิตอยู่ว่า “ท่านเป็นพระสุปฏิปันโนที่สูงส่งด้วยธรรมเป็นอย่างยิ่ง”
กล่าวสำหรับหลวงปู่สงฆ์นั้นท่านเป็นชาวศรีษะเกษ เกิดในปี พ.ศ. ๒๔๒๗
ออกบวชที่จังหวัดปราจีน ปี พ.ศ.๒๔๖๔ และก่อนหน้าที่จะไปพำนักอยู่ที่
วัดอาวุธวิกสิตาราม กระทั่งมรณภาพ ท่านได้จาริกแสวงหาโมกขธรรม
ไปตามป่าเขาลำเนาไพร แทบจะทั่วทั้งภาคอิสานและภาคเหนือ
ส่วนหลวงปู่บุดดานั้นท่านเป็นชาวลพบุรี เกิดเมื่อวันเสาร์ที่ ๕ มกราคม พ.ศ.๒๔๓๗
อันตรงกับขึ้น ๑๐ ค่ำ เดือนยี่ ปีมะเมีย ที่บ้านหนองเต่า ตำบลพุคา อำเภอโคกสำโรง
ท่านเป็นบุตรของนายน้อยและนางอึ่ง มงคลทอง ซึ่งประกอบอาชีพทำนา
โดยท่านมีพี่น้องร่วมท้อง ๗ คน แยกเป็นชาย ๔ คน หญิง ๓ คน
มีเรื่องเล่าในวัยเด็ก หลวงปู่บุดดา สามารถระลึกชาติได้ตั้งแต่อายุเพียง ๑๐ ขวบ
ทว่าระยะนั้นหามีใครใส่ใจต่อสิ่งที่หลวงปู่พร่ำพรรณนาให้แม่ฟังไม่
เพราต่างพากันเข้าใจว่าเป็นความซุกซนตามประสาเด็กที่ไม่ได้รับการศึกษา
เนื่องจากสมัยนั้นในบริเวณละแวกบ้านเกิดของท่านยังไม่มีโรงเรียนที่จะให้การศึกษา
อย่างไรก็ตาม ปี พ.ศ.๒๔๕๘ พออาย่ครบ ๒๑ ปี หลวงปู่ได้เข้าเป็นทหารเกณฑ์
ในสังกัดทหารบก ปืน ๓ จังหวัดลพบุรี ของกองทัพบก ซึ่งสมัยนั้นตรงกับรัชสมัย
ของรัชกาลที่ ๖ โดยท่านรับราชการทหารอยู่นาน ๒ ปีเต็ม และระหว่างการเป็นทหารนี่เอง
ท่านได้มีโอกาสฝึกการเรียนเขียนอ่านควบคู่ไปด้วย จนสามารถใช้การได้ดีพอควร
ว่ากันว่าชีวิตในช่วงระยะแห่งการสวมเครื่องแบบ สีขี้ม้านี้ จะเป็นด้วยศักดิ์ศรี
ของความเป็นรั้วของชาติหรือบุคลิกหน้าตาของท่านหรืออย่างไร ไม่ชัดเจน
ปรากฏว่าได้มีสาวๆ ละแวกค่ายทหารไปติดพันท่านอยู่เป็นจำนวนไม่น้อย
แต่สิ่งที่หลวงปู่มักยกขึ้นกล่าว อ้างกับบรรดาสาวละอ่อนเหล่านั้น
จนไม่มีใคร กล้ากระแซะเข้าใกล้อีกก็คือ อ่านเพิ่มเติม

หลวงปู่บุดดา ถาวโร สอนศิษย์

หลวงปู่บุดดา ถาวโร สอนศิษย์

โสดาของทายก
คณะอุบาสกอุบาสิกาและทายกของวัดหนึ่งได้พร้อมใจกันมากราบหลวงปู่ ด้วยความปีติใจที่มาปฏิบัติค้างคืนที่วัด ๑ คืน หลวงปู่ได้เมตตาให้ธรรมะกับคณะทายกนี้ว่า
“มาวัดก็เป็นโสดาเต็มวัด เต็มโบสถ์ เต็มศาสนา พอออกจากวัดก็เป็นบ้านกู ของกูหมด
เออ ! โสดาหายหมด วิ่งมาวัดหมด โสดาเฉพาะมาอยู่วัดคืนเดียว วันเดียว พอกลับไปบ้านเป็นคนหมด”

ระวังจะโดนม้าเตะ
หลวงปู่ท่านเมตตาให้ธรรมะกับชาวบ้านที่ตั้งใจมาขอหวย ชะรอยคนกลุ่มนี้คงจะเป็นนักพนันตัวยง หลวงปู่ได้เทศน์ว่า
“คนดีต้องหนีบ้าซิ !
บ้ากับบ้า ก็ไปต่อยกันซิ
สนามมวยต่อยกัน ไม่รู้จักเจ็บจักตาย
สนามม้าก็เหมือนกัน
สร้างเสร็จหมดเงินตั้งแสนตั้งล้าน
มีทุนเท่าไร ไปทุ่มเทในสนามม้าหมด
เราบอกมันตรง ๆ ไม่เชื่อหรอก
ไปสนามม้าบ่อย ๆ ระวังม้าเตะนะ !
ถุงขาดนะ กระเป๋าขาดนะ เงินหมดเลย เหลือแต่ร่างกาย”

ห่วงและหวง
มีโยมคนหนึ่งมาทำบุญที่วัดกลางชูศรีเจริญสุข แล้วก็ไปกราบหลวงปู่ หลวงปู่ยื่นกระป๋องแป้งให้ แล้วบอกให้โยมคนนั้นให้เอาไปโรยให้หมาขี้เรื้อนในวัดตัวหนึ่ง แล้วท่านก็บอกว่า
“หมาตัวนี้ มันเคยเป็นคนสร้างวัดมาก่อน มันเคยเป็นเจ้าของวัด มันรักวัดมาก ใครมาทำให้วัดสกปรกมันจะเห่า”
ขนาดเป็นหมาก็ยังรักวัดอยู่ ห่วงและหวงวัด หญิงคนนั้นก็เลยคิดว่า หลวงปู่คงให้สติว่า
“เวลาทำบุญ ก็อย่าห่วงบุญของตนเอง”
อ่านเพิ่มเติม

. . . . . . .