ของดีที่หลวงปู่แหวนมอบให้

ของดีที่หลวงปู่แหวนมอบให้

เมื่อมีผู้ของของดีจาก หลวงปู่แหวน ท่านจะถามกลับและให้ธรรมะ เพื่อเป็นข้อคิดเตือนสติ เตือนใจ ดังนี้ :-
” ของดีอะไร อะไรคือของดี ของดีก็มีอยู่ด้วยกันทุกคนแล้ว”
การที่ร่างกายแข็งแรงไม่เจ็บไข้ได้พยาธินั้น ก็มีของดีแล้ว การมีร่างกายแข็งแรง มีอวัยวะ ครบถ้วน ไม่บกพร่องวิกลวิการ อันนี้ก็เป็นของดีแล้ว

ของดีมีอยู่ในตน ไม่รู้จะไปเอาของดีที่ไหนอีก สมบัติของดีจากเจ้าพ่อ เจ้าเแม่ให้มา ก็เป็น ของดีอยู่แล้ว มีอยู่แล้วทุกคน จะไปเอาของดีที่ไหนอีก
ของดีก็ต้องทำให้มันเกิดมันมีขึ้นในจิตใจของตน ความดีอันใด ที่ยังไม่มี ก็ต้องเพียรพยายาม ทำให้เกิดให้มีขึ้นนี่แหละของดี

ของดีอยู่แล้ว ในตัวของเราทุกๆ คน มองให้มันเห็น หาให้มันเห็น ภายในตนของตนนี่แหละ จึงใช้ได้ ถ้าไปมองหาแสวงหาของดี ภายนอกแล้วใช้ไม่ได้
ศีล ธรรม นี่แหละคือของดี

ศีล คือการนำความผิดความชั่วออกจากกาย ออกจาวาจา
ธรรม ก็คือความดีที่ป้องกันไม่ให้ความผิดหวังความชั่วเกิดขึ้นใน กาย วาจา ใจ
ทั้งศีล ทั้งธรรม ก็อันเดียวกันนั่นแหละ แต่เราไปแยกสมมติ เรียกไปต่างหาก
กาย วาจา ใจ ของเรานี้เป็นที่ตั้งของธรรม เป็นที่เกิดของธรรม เป็นที่ดับของธรรม ความดีก็ เกิดจากที่นี่ ความชั่วก็เกิดจากที่นี่ สวรรค์ก็เกิดจากที่นี่ นรกก็เกิดจากที่นี่

เราจะรักษาศีล ภาวนา ให้ทาน ก็ต้องอาศัย กาย วาจา ใจ นี้เป็นเหตุ เราจะทำความผิด ความชั่ว ไปนรกอเวจีก็ต้องอาศัยกาย วาจา ใจ นี้เป็นเหตุ
เราจะรักษาศีล ทำสมาธิ ภาวนา ให้เกิดปัญญา ทำมรรค ผล นิพพาน ให้แจ้ง ให้เกิดขึ้น ก็ต้องอาศัยกาย วาจา ใจ นี้แหละ”
นี่แหละครับของดีที่หลวงปู่แหวน สุจิณฺโณ มอบไว้ให้แก่พวกเรา ได้นำไปพิจารณาไตร่ตรองดู

๑๕๗. เรื่องเครื่องรางของขลัง

เรื่องเครื่องรางของขลัง หรือวัตถุมงคล ที่พวกเราเสาะแสวงหา มาไว้ครอบครองนั้น หลวงปู่แหวน สุจิณฺโณ ท่านให้ความเห็นดังนี้ :-
หลวงปู่พูดอยู่เสมอว่า คนเรานี้แปลก เอาของจริงคือธรรมะให้ไม่ชอบ ไปชอบเอาวัตถุภาย นอกกันเสียหมด ที่พึ่งที่ประเสริฐ คือพระรัตนตรัย นั้นประเสริฐอยู่แล้ว แต่กลับไม่สนใจ พากันไป สนใจแต่วัตถุภายนอก

จึงอาจกล่าวได้ว่า เมื่อคนเราไม่สามารถจะเอาคุณพระรัตนตรัยมาเป็นที่พึ่งของตนได้ เพราะอินทรีย์ยังอ่อนอบรมมา ยังไม่เข้าถึงเหตุผล จะถือเอาวัตถุภายนอก เช่นพระเหรียญ ซึ่งเป็น รูปเหรียญรูปแทนของพระพุทธเจ้า นั้นก็ดีเหมือนกัน ถ้าผู้นั้นรู้ความหมายของวัตถุนั้นๆ
หลวงปู่ท่านให้ข้อคิดในทางธรรมะว่า วัตถุมงคลเหล่านั้นหากจะนำไปป้องกันตัว ถ้ากรรมมา ตัดตอนแล้ว ป้องกันไม่ได้ ไม่ว่าสิ่งไหนจะไปต้านทานอำนาจกรรมนั้นไม่มี

แต่ถ้าผู้นั้นรู้ความหมายในวัตถุนั้นๆ ว่า เขาสร้างขึ้นมาส่วนมาก เขาใช้สัญลักษณ์ของผู้ที่ ทำแต่ความดี
การมีวัตถุมงคลไว้ติดตัว ก็มีไว้เป็นเครื่องเตือนสติปัญญาของตนเองไม่ให้ประมาทในการ กระทำของตน ต้องทำแต่ความดีเสมอ เพราะโลกเขาบูชานับถือแต่คนดี
เรามีของดีอยู่กับตัว ก็ต้องทำแต่ความดีอย่างนี้แล้ว ก็นับว่าผู้นั้นได้ประโยชน์จากวัตถุมงคล นั้นๆ

๑๖๐. ความเห็นเกี่ยวกับพิธีพุทธาภิเษก

เกี่ยวกับการจัดพิธีปลุกเสกพระ ที่เรียกว่า พุทธาภิเษก ที่จัดกันอยู่ทั่วไป ทั้งเป็นการราษฎร์ ทั้งเป็นการหลวงนั้น
หลวงปู่แหวน สุจิณฺโณ ให้ความเห็นในพิธีการนี้ว่า ถ้าเราเข้าใจว่าพิธีพุทธาภิเษก เป็นการ ปลุกเสกวัตถุที่เราสร้างขึ้นให้เป็นเครื่องหมายแทนองค์พระพุทธเจ้านั้น ถือว่าเป็นการเข้าใจที่ไม่ ถูกต้อง ไม่ตรงตามความเป็นจริง

หลวงปู่ให้เหตุผลว่า พระพุทธเจ้าท่านเป็นพระตั้งแต่เรายังไม่เกิดพระองค์เป็นพระพุทธะ มาก่อนเราเป็นพันๆ ปี ถ้าใครไปปลุกเสกวัตถุให้เป็นพระพุทธเจ้าแล้วนับว่าผิด
เราเองเป็นเพียงสาวก จะไปทำวัตถุที่เขาสร้างเป็นสัญลักษณ์แทนองค์พระพุทธเจ้า ให้เป็นพระพุทธเจ้าได้อย่างไร วัตถุที่เขาสร้างขึ้นนั้น สำเร็จเป็นพระแล้วโดยสมบูรณ์ สำเร็จตั้งแต่เขาสร้างแล้ว เพราะเป็นที่รับรู้กันดีแล้วว่า เป็นรูปเปรียบรูปแทนของพระพุทธเจ้า
ดังนั้น วัตถุนั้นๆ จึงเป็นพระโดยสมบูรณ์แล้ว ตั้งแต่เขาสร้างเสร็จ จะไปปลุกเสกให้เป็นพระ อีกไม่ได้

หลวงปู่ ท่านเรียกพระพุทธรูปว่า พระบรมรูป
ท่านกล่าวว่า พระบรมรูปของพระพุทธเจ้านั้น แม้จะทำสำเร็จขึ้นจากวัตถุใดๆ ท่านก็สำเร็จ เป็นพระพุทธะในความหมายแล้วอย่างสมบูรณ์ เพราะวัตถุนั้นเขาสมมุติ เป็นสัญลักษณ์แทนองค์ของพระพุทธเจ้า

แม้จะเป็นเพียงวัตถุ เราก็กราบไหว้บูชา ได้ด้วยความสนิทใจ ไม่มีวิชาคาถาอาคมใดๆ ที่จะมาปลุกเสกพระพุทธเจ้าได้ เพราะวัตถุนั้น สำเร็จเป็นพุทธะตามความหมายที่เราได้สร้างขั้น แล้ว
หลวงปู่ให้ความเห็นว่า ที่เรียกกันว่าพุทธาภิเษกนั้น ควรจะเรียกว่า พิธีสมโภชพระ หรือพิธี นมัสการพระ จึงจะถูกต้อง ตามความเป็นจริง

ขอสรูปเพื่อความเข้าใจอีกทีว่า หลวงปู่แหวนท่านไม่ได้ค้านในพิธีการ แต่ท่านเสนอแนะคำพูดที่เราใช้เรียก เพื่อจะได้ถูกต้อง ตามความเป็นจริงเท่านั้นเอง

……………………………………………..
~ นิพพานัง ปัจจโยโหตุ ~
http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=13&t=24628

. . . . . . .