ประวัติสมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต พฺรหฺมรํสี)

ประวัติสมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต พฺรหฺมรํสี)

สมเด็จพระพุฒาจารย์
(โต พฺรหฺมรํสี)
สมเด็จโต, หลวงปู่โต, สมเด็จวัดระฆั

เกิด 17 เมษายน พ.ศ. 2331
บรรพชา พ.ศ. 2343
อุปสมบท พ.ศ. 2351
มรณภาพ 22 มิถุนายน พ.ศ. 2415
พรรษา 64
อายุ 84
วัด วัดระฆังโฆสิตาราม
จังหวัด ธนบุรี
สังกัด มหานิกาย
ตำแหน่งทางคณะสงฆ์ เจ้าอาวาสวัดระฆังโฆสิตาราม

ประวัติ

สมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต พฺรหฺมรํสี) (นามเดิม: โต) หรือนามที่นิยมเรียก “สมเด็จโต” “หลวงปู่โต” หรือ “สมเด็จวัดระฆัง” เป็นพระสงฆ์มหานิกาย เป็นพระมหาเถระรูปสำคัญที่ได้รับความนิยมนับถืออย่างมากในประเทศไทย ท่านเคยดำรงตำแหน่งเจ้าอาวาสวัดระฆังโฆสิตารามวรมหาวิหารในสมัยรัชกาลที่ 4-5

สมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต พฺรหฺมรํสี) นับเป็นพระเกจิเถราจารย์ผู้มีปฏิปทาจริยาวัตรน่าเลื่อมใส เป็นที่เคารพนับถือทั่วไปมาตั้งแต่ท่านยังมีชีวิตอยู่ ตั้งแต่พระมหากษัตริย์จนถึงสามัญชนและนอกจากจริยาวัตรด้านความสมถะอันโดดเด่นของท่านแล้ว ท่านยังทรงคุณทางด้านวิชชาคาถาอาคม เมตตามหานิยม โดยเฉพาะอย่างยิ่งวัตถุมงคล “พระสมเด็จ” ที่ท่านได้สร้างขึ้นเพื่อเป็นพุทธบูชา ได้ถูกจัดเข้าในพระเครื่องเบญจภาคี หรือสุดยอดของพระเครื่องวัตถุมงคล 1 ใน 5 ของประเทศไทยและมีราคาซื้อขายในปัจจุบันต่อองค์เป็นราคานับล้านบาท ด้วยปฏิปทาจริยาวัตรและคุณวิเศษอัศจรรย์ของท่าน ทำให้พุทธศาสนิกชนชาวไทยเคารพนับถือว่าท่านเป็นอมตะเถราจารย์รูปหนึ่งของเมืองไทย และมีผู้นับถือจำนวนมากในปัจจุบัน

สมเด็จพระพุฒาจารย์ เกิดในสมัยรัชกาลที่ 1 (หลังสร้างกรุงรัตนโกสินทร์ได้แล้ว 7 ปี ณ บ้านไก่จ้น (ท่าหลวง) อำเภอท่าเรือ จังหวัดพระนครศรีอยุธยา เมื่อวันพฤหัสบดี เดือน 5 ขึ้น 12 ค่ำ ปีวอก จุลศักราช 1150 เวลาพระบิณฑบาต (ตรงกับวันที่ 17 เมษายน พ.ศ. 2331) ที่บ้านท่าหลวง อำเภอท่าเรือ จังหวัดพระนครศรีอยุธยา
อ่านเพิ่มเติม

สมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต พฺรหฺมรํสี)

สมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต พฺรหฺมรํสี)

สมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต พฺรหฺมรํสี) (โต) หรือนามที่นิยมเรียก “สมเด็จโต” “หลวงปู่โต” หรือ “สมเด็จวัดระฆัง” เป็นพระสงฆ์มหานิกาย เป็นพระมหาเถระรูปสำคัญที่ได้รับความนิยมนับถืออย่างมากในประเทศไทย ท่านเคยดำรงตำแหน่งเจ้าอาวาสวัดระฆังโฆสิตารามวรมหาวิหารในสมัยรัชกาลที่ 4-5

สมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต พฺรหฺมรํสี) นับเป็นพระเกจิเถราจารย์ผู้มีปฏิปทาจริยาวัตรน่าเลื่อมใส เป็นที่เคารพนับถือทั่วไปมาตั้งแต่ท่านยังมีชีวิตอยู่ ตั้งแต่พระมหากษัตริย์จนถึงสามัญชน และนอกจากจริยาวัตรด้านความสมถะอันโดดเด่นของท่านแล้ว ท่านยังทรงคุณทางด้านวิชชาคาถาอาคม เมตตามหานิยม โดยเฉพาะอย่างยิ่งวัตถุมงคล “พระสมเด็จ” ที่ท่านได้สร้างขึ้นเพื่อเป็นพุทธบูชา ได้ถูกจัดเข้าในพระเครื่องเบญจภาคี หรือสุดยอดของพระเครื่องวัตถุมงคล 1 ใน 5 ของประเทศไทย และมีราคาซื้อขายในปัจจุบันต่อองค์เป็นราคานับล้านบาท ด้วยปฏิปทาจริยาวัตรและคุณวิเศษอัศจรรย์ของท่าน ทำให้พุทธศาสนิกชนชาวไทยเคารพนับถือว่าท่านเป็นอมตะเถราจารย์รูปหนึ่งของเมืองไทย และมีผู้นับถือจำนวนมากในปัจจุบัน
อ่านเพิ่มเติม

สมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต พรหมรังสี)

สมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต พรหมรังสี)

สมเด็จพระพุฒาจารย์
(โต พรหมรังสี)

วัดระฆังโฆสิตารามวรมหาวิหาร

เจ้าประคุณสมเด็จพุฒาจารย์ (โต พรหมรังสี) ถือกำเนิดในรัชสมัยของ พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช (รัชกาลที่ 1) ณ บ้านไก่จ้น อำเภอท่าเรือ จังหวัดพระนครศรีอยุธยา เมื่อวันพฤหัสบดี ขึ้น 12 ค่ำ เดือน 5 ปีวอก ตรงกับวันที่ 17 เมษายน พ.ศ. 2331 บิดาไม่ปรากฏนาม มารดาชื่อ เกตุ ในกาลต่อมา บิดามารดาของท่านได้ย้ายครอบครัวมาอยู่ที่ ตำบล ไชโย จังหวัดอ่างทอง และท่านได้ย้ายครอบครัวอีกครั้งหนึ่ง โดยมาตั้งถิ่นฐานอยู่ที่ บางขุนพรหม จังหวัด พระนครในสมัยนั้น
อ่านเพิ่มเติม

คำทำนาย ชะตาเมืองไทย ของสมเด็จโต”

คำทำนาย ชะตาเมืองไทย ของสมเด็จโต”

จากหนังสือจุลสาร ” 1999 โลกพินาศ 2542 แผนอยู่รอด ”

รวบรวมโดย รองศาสตราจารย์ ดร.พิชัย โตวิวิชญ์

ในหนังสือ “ปัญญาไทย 1″ ที่เขียนบันทึกเกี่ยวกับประวัติ ผลงานอภินิหาร และ เกียรติคุณ ของสมเด็จพระพุฒาจารย์ ( โต ) พรหมรังษี ของ มหาอำมาตย์ ตรีพระยาทิพโกษา ( สอน โลหะนันท์ ) ซึ่งเป็นฉบับที่ ม.ล.พระมหาสว่าง เสนีย์วงศ์ รวบรวมในปี พ.ศ.2493 โดยไม่มีการแก้ไขข้อความเดิม ในหน้า 27 มีการพยากรณ์ ถึงชะตาเมือง ไว้อย่างน่าสนใจดังนี้

หลังจากที่ เจ้าประคุณสมเด็จพระพุฒาจารย์ ( โต ) พรหมรังษี ได้มรณภาพลง เมื่อวันเสาร์แรม 2 ค่ำ เดือน 8 ซึ่งตรงกับ วันที่ 22 มิถุนายน พ.ศ. 2415

ตอนเที่ยงคืน เช้าวันรุ่งขึ้น นายอาญาราช ( อิ่ม ) ศิษย์ก้นกุฏิ ของเจ้าประคุณสมเด็จ เข้าไปเก็บกวาด ในกุฏิของท่าน ขณะทำความสะอาดพื้นกุฏิ นายอาญาราชได้พบ เศษกระดาษชิ้นหนึ่งซุก อยู่ใต้เสื่อเป็นลายมือของเจ้าประคุณสมเด็จ เขียนสั้นๆ โดยสังเขป เป็นคำทำนายชะตาเมือง มีความว่า

“มหากาฬ พาลยักษ์ รักมิตร สินทธรรม จำแขนขาด ราษฎร์จน ชนร้องทุกข์ ยุคทมิฬ ถิ่นกาขาว ชาววิไล”

ห ม า ย เ ห ตุ คำทำนายของสมเด็จข้างต้นนี้หาอ่านได้จากหนังสือ ” NOSTRADAMUS นอสตราดามุส”

คำพยากรณ์ที่ว่าเป็นปริศนา คือ พูดให้คิดกันไปเอง มีด้วยกัน ๑๐ ข้อ ดังนี้ อ่านเพิ่มเติม

พระราชประวัติสมเด็จพระพุฒาจารย์โต พรหมรังสี

พระราชประวัติสมเด็จพระพุฒาจารย์โต พรหมรังสี

สมเด็จพระพุฒาจารย์โต พรหมรังสีท่านเกิดในสมัยรัชกาลที่๑ แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ เมื่อวันขึ้น ๑๒ ค่ำ เดือน ๕ ปีวอก ตรงกับวันพฤหัสบดีที่ ๑๗ เมษายน พ.ศ.๒๓๓๑ เวลา ๑๖.๓๕ นาฬิกา

ท่านเป็นบุตรนอกเศวตรฉัตรในพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย รัชกาลที่๒ แห่งราชวงศ์จักรี กล่าวคือในสมัยรัชกาลที่๑ นั้น ได้เกิดศึกขึ้นทางภาคเหนือของไทย โดยกองทัพเวียงจันทน์จะยกมาตีเมืองโคราช พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว(สมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช รัชกาลที่ ๑ ) จึงทรงมีรับสั่งให้รัชกาลที่๒ ซึ่งขณะนั้นทรงดำรงพระยศเป็นเจ้าฟ้า ไปปราบศึกที่ยกมา รัชกาลที่๒ ซึ่งขณะนั้นเพิ่งมีพระชนมายุได้ ๑๗ พรรษาเท่านั้น ก็ได้ยกทัพไปทางเรือ ครั้นไปถึงจังหวัดกำแพงเพชรก็ได้มีชาวบ้านจัดสินค้าต่างๆมาขายแก่พวกทหารในกองทัพ ในจำนวนแม่ค้าพายเรือมาขายของนั้น ได้มีมารดาของท่านซึ่งเป็นสาวงามชาวกำแพงเพชรด้วยผู้หนึ่ง( ท่านเล่าว่ามารดาของท่านชื่อ แม่งุด ) มารดาของท่านพายเรือขายผลกระท้อนแก่พวกทหาร ด้วยบุพเพสันนิวาส พวกนายทหารเห็นเป็นบุญว่ามารดาของท่านเป็นคนสวยจึงชักพาให้ได้กับเจ้าฟ้าแม่ทัพ และได้อยู่ร่วมกันคืนหนึ่ง ก่อนที่จะจากไปท่านแม่ทัพบิดาของท่านได้ประทานรัดประคดอันหนึ่งแก่มารดาของท่านไว้ เพื่อมอบให้บุตรที่จะเกิดขึ้นต่อไป ทั้งรับสั่งไว้ด้วยว่าถ้ามารดาของท่านคลอดบุตรเป็นชายให้ตั้งชื่อว่า “โต” ถ้าคลอดบุตรเป็นหญิง ให้ตั้งชื่อว่า “เกตุแก้ว”หลังจากนั้นก็เดินทัพต่อไป อ่านเพิ่มเติม

พระราชประวัติสมเด็จพระพุฒาจารย์โต

พระราชประวัติสมเด็จพระพุฒาจารย์โต

พระชนมายุ ๕ พรรษา ทรงบรรพชา เป็นสามเณร

สมเด็จพระพุฒาจารย์ โต พรมรังสี ทรงประสูติเมื่อตอนเช้า เวลา ๐๗.๐๐ น. ตรง ของวันพฤหัสบดี เดือน ๕ ขึ้น ๑๕ ค่ำ ปีวอก ตรงกับวันที่ ๑๗ เมษายน พุทธศักราช ๒๓๓๑ ณ ตำบลไก่จ้น อำเภอท่าเรือ จังหวัดพระนครศรีอยุธยา ต้นแผ่นดินรัตนโกสินทร์ พระองค์ทรงเป็นพระราชโอรสในพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย (รัชกาลที่ ๒) พระราชมารดาทรงพระนามว่า เกสรคำ เมื่อพระชนมายุ ๕ พรรษา ได้ทรงบรรพชาเป็นสามเณร ณ วัดระฆังโฆสิตารามมหาวรวิหาร จังหวัดธนบุรี ทรงประพฤติอยู่ในเพศพรหมจรรย์โดยตลอด จนพระชนมายุครบ ๒๐ พรรษา จึงได้ทรงอุปสมบท ณ วัดระฆังโฆสิตาราม กรุงเทพมหานครนั่นเอง และทรงอยู่ในสมณเพศตลอดจนสิ้นพระชนมายุ ใน เวลาเช้าตรู่ ของวันอาทิตย์ เวลา ๐๖.๐๐ น. ขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๗ ปีมะเมีย ซึ่งตรงกับวันที่ ๑๙ มิถุนายน พุทธศักราช ๒๔๑๕ สิริพระชนมายุนับรวมได้ ๘๔ ปี กับ ๒ เดือนเศษ ทรงเป็นพระสงฆ์ ๕ แผ่นดิน ในยุคต้นแห่งกรุงรัตนโกสินทร์ และได้รับพระราชทานสมณศักดิ์เป็น สมเด็จพระพุฒาจารย์ องค์ที่ ๕ แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ เมื่อวันพฤหัสบดี ขึ้น ๙ ค่ำ เดือน ๑๐ ปีชวด พุทธศักราช ๒๔๐๗
อ่านเพิ่มเติม

สมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต พรหมรังสี)

สมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต พรหมรังสี)

สมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต พรหมรังสี) มีประวัติเป็นที่ประทับใจประชาชนคนไทยอย่างไรเห็นจะไม่ต้องพูดกัน เพราะหลายท่านทราบกันดีอยู่แล้วในกิตติศัพท์อันเลื่องลือของ “สมเด็จโต” โดยที่สมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต พรหมรสี) ได้เคยเป็นเจ้าอาวาสวัดระฆังโฆสิตารามเมื่อ พ.ศ. 2395 และวัดระฆังเป็นวัดที่อยู่ในพื้นที่เขตบางกอกน้อย ชาวบางกอ น้อยจึงถือท่านเป็นเสมือนเพชรประดับในเรือนใจของชาวบางกอกน้อย

วันที่ 15 ตุลาคม 2538 เป็นวันที่เขตบางกอกน้อยมีอายุครบ 80 ปี ผู้เขียนจึงขอเชิญประวัติและอภินิหารของสมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต พรหมรสี) ตามที่ได้มีตำนานเล่าขานกันมา มาเรียบเรียงไว้ในหนังสือ “80 ปี เขตบางกอกน้อย” โดยหวังให้เป็นมูลสำหรับอนุชนรุ่นหลังได้ศึกษาหาความรู้สืบไป

ประวัติสมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต พรหมรังสี)

ชาตะ วันพฤหัสบดีที่ 17 เมษายน พ.ศ. 2331 ตรงกับเดือน 5 ขึ้น 12 ค่ำ ปีวอก จ.ศ. 1150 เวลา พระบิณฑบาต 06.45 น. (ย่ำรุ่ง 9 บาท ) มารดาชื่อ งุด เกศ บิดาไม่ปรากฏแน่ชัด(บางแห่ง อ้างว่าเป็นราชวงศ์จักกรี)

บวชเป็นสามเณร เมื่ออายุได้ 13 ปี ณ วัดใหญ่เมืองพิจิตร ต่อมาย้ายมาศึกษาพระปริยัติธรรม ณ เมือง ชัยนาทพออายุได้ 18 ปี ก็ย้ายมาศึกษากับอาจารย์แก้ว วัดบางลำพู กรุงเทพฯ และยังได้ ศึกษาพระปริยัติธรรมกับเสมียนตราด้วง ขุนพรมเสนา ปลัดเสนา ปลัดกรมนุท เสมียนบุญ และพระกระแสร์ต่อมาได้เข้าเฝ้าสมเด็จพระลูกยาเธอเจ้าฟ้ากรมหลวงอดิศร สุนทร พระ บรมโอรสาธิราชให้ทรงโปรดมาอยู่กับสมเด็จพระสังฆราช วัดมหาธาตุ อ่านเพิ่มเติม

พระคาถาชินบัญชร

พระคาถาชินบัญชร
จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี

บทความนี้ไม่มีการอ้างอิงจากเอกสารอ้างอิงหรือแหล่งข้อมูล โปรดช่วยพัฒนาบทความนี้โดยเพิ่มแหล่งข้อมูลน่าเชื่อถือ เนื้อหาที่ไม่มีการอ้างอิงอาจถูกคัดค้านหรือนำออก

บทความนี้หรือส่วนนี้ของบทความต้องการปรับรูปแบบ ซึ่งอาจหมายถึง ต้องการจัดรูปแบบข้อความ จัดหน้า แบ่งหัวข้อ จัดลิงก์ภายใน และ/หรือการจัดระเบียบอื่น ๆ คุณสามารถช่วยแก้ไขปัญหานี้ได้โดยการกดที่ปุ่ม แก้ไข ด้านบน จากนั้นปรับปรุงหรือจัดรูปแบบอื่น ๆ ในบทความให้เหมาะสม
ส่วนหนึ่งของ

ศาสนาพุทธ

พระคาถาชินบัญชร (วิธีใช้·ข้อมูล) (อ่านว่า ชินะ-) เป็นบทสวดมนต์บทหนึ่งที่พุทธศาสนิกชนชาวไทยนิยมสวดมากที่สุด สันนิษฐานว่าพระเถระชาวล้านนาเป็นผู้แต่งขึ้น และเป็นพระคาถาสำคัญในพิธีกรรมตั้งแต่ครั้งกรุงศรีอยุธยา ดังปรากฏหลักฐานในพระราชพิธีจักรพรรดิราชาธิราช ต่อมาได้ปรับปรุงแก้ไขให้สมบูรณ์ขึ้นโดยสมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต) พรหมรังสี วัดระฆังโฆสิตาราม สมเด็จพระพุฒาจารย์องค์ที่ 5 แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ (สมัยรัชกาลที่ 4) บทสวดชินบัญชรนี้ยังพบในประเทศพม่าและศรีลังกาอีกด้วย
การหัดสวดคาถาชินบัญชรควรจะเริ่มสวดในวันพฤหัสบดีข้างขึ้น (ยิ่งขึ้นมากยิ่งดี) ให้เตรียมดอกไม้ 3 สี หรือดอกบัว 9 ดอก และดอกมะลิร่วง (เด็ดก้านดอก) 1 กำ ธูปหอมอย่างดี 9 ดอก เทียน (เล่มหนัก1บาท ถ้าไม่มีใช้2บาท แต่ควรใช้1บาทเพื่อเป็นสิริมงคล) จำนวน 9 เล่ม จากนั้นให้จุดธูปเทียนบูชาพระรัตนตรัยโดยการตั้งนะโม 3 จบ ต่อด้วยบทพุทธคุณ ธรรมคุณ สังฆคุณ จากนั้นตั้งจิตนึกถึงสมเด็จโต อ่านเพิ่มเติม

พระสมเด็จวัดระฆัง

พระสมเด็จวัดระฆัง
จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี

บทความนี้ไม่มีการอ้างอิงจากเอกสารอ้างอิงหรือแหล่งข้อมูล โปรดช่วยพัฒนาบทความนี้โดยเพิ่มแหล่งข้อมูลน่าเชื่อถือ เนื้อหาที่ไม่มีการอ้างอิงอาจถูกคัดค้านหรือนำออก

พระสมเด็จวัดระฆัง
พระสมเด็จวัดระฆัง คือพระเครื่องรางรูปสมมติพระพุทธเจ้า สร้างโดยสมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต) พรหมรังสี วัดระฆังโฆสิตาราม ลักษณะเป็นรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้า ขนาดกว้างประมาณ 2.5 เซนติเมตร สูงประมาณ 4 เซนติเมตร สีขาว ส่วนประกอบสำคัญในการสร้าง ปูนเปลือกหอย ข้าวก้นบาตร ผงวิเศษ 5 ชนิดและน้ำมันตังอิ๊ว
พุทธลักษณะพิมพ์ทรง[แก้]

พระสมเด็จวัดระฆัง มีหลายพิมพ์ด้วยกัน แต่ที่นิยมได้แก่ พิมพ์พระประธาน พิมพ์เกศบัวตูม พิมพ์เจดีย์ พิมพ์ฐานแซม และพิมพ์ปรกโพธิ์
พระสมเด็จวัดระฆังพิมพ์พระประธาน หรือ พิมพ์ใหญ่เป็นพิมพ์ที่ได้รับความนิยมสูงสุดในบรรดาพิมพ์พระทั้ง 5 แม่พิมพ์ อ่านเพิ่มเติม

สมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต พฺรหฺมรํสี)

สมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต พฺรหฺมรํสี)
จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี
สมเด็จพระพุฒาจารย์
(โต พฺรหฺมรํสี)
สมเด็จโต, หลวงปู่โต, สมเด็จวัดระฆัง

เกิด 17 เมษายน พ.ศ. 2331
มรณภาพ 22 มิถุนายน พ.ศ. 2415
อายุ 84
บรรพชา พ.ศ. 2343
อุปสมบท พ.ศ. 2351
พรรษา 64
วัด วัดระฆังโฆสิตาราม
ท้องที่ ธนบุรี
สังกัด มหานิกาย
ตำแหน่ง
ทางคณะสงฆ์ เจ้าอาวาสวัดระฆังโฆสิตาราม
สมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต พฺรหฺมรํสี) (นามเดิม: โต) หรือนามที่นิยมเรียก “สมเด็จโต” “หลวงปู่โต” หรือ “สมเด็จวัดระฆัง” เป็นพระสงฆ์มหานิกาย เป็นพระมหาเถระรูปสำคัญที่ได้รับความนิยมนับถืออย่างมากในประเทศไทย ท่านเคยดำรงตำแหน่งเจ้าอาวาสวัดระฆังโฆสิตารามวรมหาวิหารในสมัยรัชกาลที่ 4-5
สมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต พฺรหฺมรํสี) นับเป็นพระเกจิเถราจารย์ผู้มีปฏิปทาจริยาวัตรน่าเลื่อมใส เป็นที่เคารพนับถือทั่วไปมาตั้งแต่ท่านยังมีชีวิตอยู่ ตั้งแต่พระมหากษัตริย์จนถึงสามัญชน[1] และนอกจากจริยาวัตรด้านความสมถะอันโดดเด่นของท่านแล้ว ท่านยังทรงคุณทางด้านวิชชาคาถาอาคม เมตตามหานิยม โดยเฉพาะอย่างยิ่งวัตถุมงคล “พระสมเด็จ” ที่ท่านได้สร้างขึ้นเพื่อเป็นพุทธบูชา ได้ถูกจัดเข้าในพระเครื่องเบญจภาคี หรือสุดยอดของพระเครื่องวัตถุมงคล 1 ใน 5 ของประเทศไทย[2] และมีราคาซื้อขายในปัจจุบันต่อองค์เป็นราคานับล้านบาท[3] ด้วยปฏิปทาจริยาวัตรและคุณวิเศษอัศจรรย์ของท่าน ทำให้พุทธศาสนิกชนชาวไทยเคารพนับถือว่าท่านเป็นอมตะเถราจารย์รูปหนึ่งของเมืองไทย และมีผู้นับถือจำนวนมากในปัจจุบัน อ่านเพิ่มเติม

มังสวิรัติ ในทัศนะท่านพุทธทาสภิกขุ

มังสวิรัติ ในทัศนะท่านพุทธทาสภิกขุ

คอลัมน์ ธรรมะใต้ธรรมาสน์

ไต้ ตามทาง

ในพุทธศาสนาฝ่ายมหายานนั้น มังสวิรัติดูจะเป็นวัฒนธรรมที่ยอมรับปฏิบัติกันสำหรับนักบวชทั่วไป ดังที่มีสำนวนกล่าวกันว่า “ถือศีลกินเจ” อันหมายถึงการถือบวชนั่นเอง แต่ในฝ่ายเถรวาท เช่น ลังกา พม่า และไทยนั้นต่างออกไป ความเห็นเรื่องมังสวิรัติแบ่งออกเป็น 2 ฝ่าย คือฝ่ายที่เห็นด้วยและชักชวนสนับสนุนให้ผู้คนถือปฏิบัติขัดเกลา บางสำนักถึงกับเน้นชัดเจนว่า หากไม่ถือปฏิบัติข้อนี้ก็ชื่อว่าล่วงศีลปาณาติบาต และไม่อาจเป็นอริยบุคคลได้ก็มี ส่วนฝ่ายที่ไม่เห็นด้วยเล่า ก็มีปฏิกิริยาอย่างรุนแรงถึงกับประณามอีกฝ่ายว่าเป็นศิษย์เทวทัต เป็นต้นก็มีปัญหาเรื่องนี้มีการถกเถียงกันมาทุกยุคสมัย อาจกล่าวได้ว่า แทบจะไม่มีผู้รู้ทางพุทธศาสนาท่านใด ไม่ว่าในทางปฏิบัติหรือปริยัติก็ตาม ที่ไม่ถูกถามหรือขอร้องให้แสดงความเห็นต่อเรื่องนี้
อ่านเพิ่มเติม

คู่มือมนุษย์ ฉบับสมบูรณ์ โดย พระธรรมโกศาจารย์ (พุทธทาสภิกขุ)

คู่มือมนุษย์ ฉบับสมบูรณ์ โดย พระธรรมโกศาจารย์ (พุทธทาสภิกขุ)

อ่านหนังสือ “คู่มือมนุษย์ ฉบับสมบูรณ์” โดย พระธรรมโกศาจารย์ (พุทธทาสภิกขุ) จบแล้ว จึงขอบันทึกบางประโยคจากหนังสือเล่มนี้ ประเด็นที่ตนเองสนใจ เก็บไว้กันลืมค่ะ
พุทธศาสนา คือวิชาหรือระเบียบปฏิบัติ ที่ให้รู้ว่า “อะไรเป็นอะไร“
“ศาสนา” มีความหมายกว้างและลึกกว่า “ศีลธรรม” … มีศีลธรรมดีแล้ว ปัญหาคือ ยังไม่พ้นทุกข์
พุทธศาสนา มุ่งหมายที่จะกำจัดกิเลส คือ โลภะ โทสะ โมหะ ให้สิ้นเชิง ดับความทุกข์ทั้งหลายให้สูญสิ้นไป
การปฏิบัติพุทธศาสนา เป็นการปฏิบัติเพื่อให้รู้สิ่งทั้งปวงตามที่เป็นจริง ถ้าเราปฏิบัติจนถึงกับรู้ว่า สิ่งทั้งปวงคืออะไรเสียแล้ว ก็ไม่มีความจำเป็นที่จะต้องปฏิบัติอะไรอีกต่อไป ความรู้นั้น เป็นตัวทำลายกิเลสไปในตัว
การรู้ตามวิธีของพุทธศาสนา คือ มองเห็นชัดเจนว่า สิ่งทั้งปวงไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา ไม่มีอะไรน่าผูกพัน จนเกิดความหลุดพ้นจากสิ่งเหล่านั้น
หลักคำสอนของพระพุทธเจ้า ทั้งพระไตรปิฎก ล้วนแต่เป็นการบ่งให้รู้ว่า “อะไรเป็นอะไร”
อริยสัจจ์ข้อที่ 1 : ทุกข์ สังขารทั้งปวงเป็นทุกข์
อริยสัจจ์ข้อที่ 2 : สมุทัย ความอยากนั้นๆ เป็นเหตุแห่งทุกข์
อริยสัจจ์ข้อที่ 3 : นิโรธ หรือ พระนิพพาน คือ การดับตัณหาเสียให้สิ้น เป็นความไม่มีทุกข์
อริยสัจจ์ข้อที่ 4 : มรรค วิธีดับความอยากนั้นๆ
อ่านเพิ่มเติม

ฤทธิ์-ปาฎิหาริย์ ท่านพุทธทาส

ฤทธิ์-ปาฎิหาริย์ ท่านพุทธทาส

เรื่องของฤทธิ์ หรือ ปาฎิหาริย์ นับว่าเป็นเรื่องหนึ่ง ที่ยังมัวอยู่มาก ในบรรดา เรื่องที่ยังมัวอยู่ หลายเรื่อง ด้วยกัน และดูเหมือน จะเป็นเพราะ ความที่มันเป็น เรื่องมัว นี่เอง ที่เป็นเหตุ ให้มีผู้สนใจ ในเรื่องนี้ อยู่เรื่อยๆ มาเป็นลำดับ อย่างไม่ขาดสาย และมากกว่า ที่ถ้ามันจะเป็น เรื่องที่กระจ่าง เสียว่า มันเป็นเรื่อง อะไรกันแน่ หมายความว่า ถ้าเราทราบดีว่า ฤทธิ์ คืออะไร และเป็นเรื่อง เหมาะสำหรับใคร โดยเฉพาะแล้ว เชื่อว่า จะทำให้มีผู้สนใจ เรื่องนี้ น้อยเข้า เป็นอันมาก

ท่านผู้ที่แสดงฤทธิ์ได้ ไม่เคยปรากฏว่า ได้รับผล อัน”เด็ดขาดแท้จริง” อย่างไร จากฤทธิ์นั้น ทั้งทางวัตถุ และความสุขในส่วนใจ ฤทธิ์ เป็นเรื่องจริง สำหรับผู้ที่ไม่ทราบว่า ฤทธิ์ คืออะไร และ ตนเป็นผู้ที่ ตกอยู่ใน ภูมิแห่งใจที่ต่ำ จนผู้มีฤทธิ์ จะออกอำนาจฤทธิ์ บังคับ เมื่อไรก็ได้ แต่สำหรับ ผู้มีฤทธิ์ หรือ ผู้ที่รู้เรื่องฤทธิ์ดี หรือมีกำลังใจ เข็มแข็ง เท่ากับ ผู้มีฤทธิ์ จะเห็นว่า ฤทธิ์นั้น เป็นเพียงเรื่อง “เล่นตลก” ชนิดหนึ่ง เท่านั้น แต่เป็นเรื่องที่ แยบคายมาก ลึกซึ้งมาก
อ่านเพิ่มเติม

ยาระงับสรรพทุกข์ – พุทธทาสภิกขุ

ยาระงับสรรพทุกข์ – พุทธทาสภิกขุ

ต้น “ไม่รู้-ไม่ชี้” นี่เอาเปลือก
ต้น “ชั่งหัวมัน” นั้นเลือก เอาแก่นแข็ง
“อย่างนั้นเอง” เอาแต่ราก ฤทธิ์มันแรง
“ไม่มีกู-ของกู” แสวง เอาแต่ใบ

“ไม่น่าเอา-น่าเป็น” เฟ้นเอาดอก
“ตายก่อนตาย” เลือกออกลูกใหญ่ๆ
หกอย่างนี้ อย่างละชั่ง ตั้งเกณฑ์ไว้
“ดับไม่เหลือ” สิ่งสุดท้าย ใช้เมล็ดมัน

หนักหกชั่ง เท่ากับ ยาท้งหลาย
เคล้ากันไป เสกคาถา ที่อาถรรพ์
“สพฺเพ ธมฺมา นาลํ อภินิเวสาย” อัน
เป็นธรรมชั้น หฤทัย ในพุทธนาม

จัดลงหม้อ ใส่น้ำ พอท่วมยา
เคี่ยวไฟกล้า เหลือได้ หนึ่งในสาม
หนึ่งช้อนชา สามเวลา พยายาม
กินเพื่อความ หมดสรรพโรค เป็นโลกอุดรฯ

พุทธทาสภิกขุ

http://www.fasaiclub.com/read.php?tid-3551.html

หน้าที่ของชีวิต – ท่านพุทธทาสภิกขุ

หน้าที่ของชีวิต – ท่านพุทธทาสภิกขุ

ท่านสาธุชนผู้มีความสนใจในธรรมทั้งหลาย

บัดนี้เป็นโอกาสแห่งการศึกษาฉากสุดท้ายสำหรับสิ่งที่มีชีวิต คือบัดนี้ได้มีการแสดง
ให้เห็นโดยชัดแจ้งว่า ชีวิตนี้จะจบลงอย่างไร ปรากฏการณ์อันนี้ ควรจะได้รับความสนใจ
ศึกษาให้เป็นประโยชน์ จึงควรถือว่าเป็นโอกาสสุดท้ายของการศึกษาจากสิ่งที่มีชีวิต

หน้าที่ของสังขาร

ความตายเป็นหน้าที่ของสังขาร สังขารคือสิ่งปรุงแต่งจากเหตุจากปัจจัย เมื่อเหตุปัจจัย
บางส่วนหยุดปรุงแต่ง มันก็มีความตายบางส่วน ปรากฏออกมาสำหรับสังขารส่วนนั้น
จึงถือว่าการตายเป็นหน้าที่ของสังขาร หรือสังขารที่หน้าที่ที่จะต้องตายดังนั้นจึงไม่ควร
มีความประหลาดใจอะไรในส่วนนี้
อ่านเพิ่มเติม

ภาพปริศนาธรรม – ภาพของเสียงตบมือข้างเดียว :พุทธทาสภิกขุ

ภาพปริศนาธรรม – ภาพของเสียงตบมือข้างเดียว :พุทธทาสภิกขุ

ภาพปริศนาธรรม – ภาพของเสียงตบมือข้างเดียว
รวมบทความ – พุทธทาส อินทปัญโญ

ภาพที่ปรากฎอยู่นี้เรียกว่า “ภาพของเสียงตบมือข้างเดียว” เสียงของมือที่ตบข้างเดียว. ฟังดูก็ชวนให้งงเต็มที ตบมือข้างเดียวจะตบได้อย่างไร จะดังได้อย่างไร ก็คอยดูต่อไป มือโง่ไม่มัวตบอยู่ข้างเดียว หรือจะเป็นมือฉลาดที่รู้จักตบได้โดยไม่ต้องมีมืออีกข้างหนึ่ง. ขอให้ดูรายละเอียดในภาพนี้ด้วยว่า มือข้างหนึ่งมีลักษณะตบ มืออีกข้างหนึ่งไปกำเอาธูปไว้ พระพุทธรูปอยู่ตรงกลาง มีเครื่องบูชาพระพุทธรูปครบถ้วน. ทำไมเรียกว่ามือตบข้างเดียว ? เพราะว่ามืออีกข้างหนึ่งมันไม่ยอมตบด้วย.

ภาพนี้เป็นภาพของความที่จิตไม่รับเอาอารมณ์มาปรุงแต่งให้เป็นเรื่องเป็นราว อย่างนั้นอย่างนี้ ผู้ที่เรียนรู้เรื่องปฏิจจสมุปบาทมาแล้ว ก็จะรู้ได้เองว่า ใจความสำคัญมันมีอยู่ที่ว่า เมื่ออายตนะภายใน กับอายตนะภายนอกซึ่งเป็นของคู่กัน มาถึงกันเข้า จนเกิดวิญญาณรู้แจ้งขึ้นที่นั่นอยู่อย่างนั้น เรียกว่าเป็นการสัมผัส คือการกระทบกันระหว่างอายตนะภายในและอายตนะ
อ่านเพิ่มเติม

ธรรมน่ารู้ จากท่านพุทธทาสภิกขุ…บุญ กับ กุศล

ธรรมน่ารู้ จากท่านพุทธทาสภิกขุ…บุญ กับ กุศล

ธรรมน่ารู้ จากท่านพุทธทาสภิกขุ

http://image.ohozaa.com/i/f40/j8m6kd.jpg

ข้าพเจ้าเป็นทาสของพระพุทธเจ้าพระพุทธเจ้าเป็นนายของข้าพเจ้า

ธรรมคำสอนของท่านพุทธทาสภิกขุล้วนแล้วแต่สอนอย่างถึงแก่นถึงแกนที่ถูกต้องดีงามสมดั่งพระพุทธประสงค์

ท่านทำหน้าที่ได้สมดังฉายาขององค์ท่านว่า “พุทธทาส” โดยบริบูรณ์

การศึกษาข้อธรรม,ข้อเขียนของท่านนั้นควรศึกษาอย่างพิจารณา วางใจเป็นกลาง วางความเชื่อ ความยึดเดิมๆ ชั่วขณะ

พิจารณาตามเหตุตามผล เพราะข้อธรรมคำสอนของท่านนั้น เป็นการสอนอย่างตรงไปตรงมาเป็นที่สุด

จึงมักขัดแย้งกับความเชื่อ(ทิฏฐุปาทาน) ความยึดเดิมๆ(สีลัพพตุปาทาน)ตามที่ได้สืบทอด อบรม สั่งสมมา

อันแอบซ่อน,แอบเร้นอยู่ในจิตโดยไม่รู้ตัว จึงทำให้เข้าใจอย่างถ่องแท้ และยอมรับได้ยาก

ต้องใช้การโยนิโสมนสิการในการพิจารณาในข้อธรรมบรรยายของท่านด้วยใจเป็นกลาง อย่างหาเหตุหาผล จึงจักได้รับประโยชน์สูงสุด
อ่านเพิ่มเติม

มารหรือซาตานที่แท้จริง…..ท่านพุทธทาสภิกขุ

มารหรือซาตานที่แท้จริง…..ท่านพุทธทาสภิกขุ

มารหรือซาตานที่แท้จริง

ฉะนั้นอย่าอวดดีว่า เรียนหนังสือมาก อ่านหนังสือมาก คิดมาก
อะไรมาก พูดก็เก่ง อะไรก็มีเครดิตดี ป่วยการเหลวไหล
ต้องสอบไล่กันที่นี่

ฉะนั้นซาตานนี่มีประโยชน์, ไม่ใช่เป็นผีมาหลอกคน
เหมือนที่เขาเขียนรูปภาพโง่ๆ ไปอย่างนั้น,

ซาตาน คือส่วนหนึ่งของธรรมะ เอาซาตาน ไปทิ้งไว้ที่ไหน
ถ้าไม่รวมอยู่ในคำว่า ธรรม ธรรมทั้งปวง ไม่มีดอก ไม่มีอะไร
นอกไปจากคำว่า ธรรมทั้งปวง.

ฉะนั้นส่วนที่มันจะมาทดสอบคนสอบไล่คน นั่นแหละคือซาตาน,
มันก็มาจากสิ่งที่เรียกว่า ธรรมะ แต่มาในฐานะผู้สอบ หรือ ผู้ยั่ว
ให้ทำผิด ทดสอบดูว่ามันเก่งหรือยัง? ถ้ามันเก่งจริง มันจะมายั่ว
อย่างไร มันก็ไม่ทำผิด ซาตานก็ดับไปเป็นธรรมตามธรรมดา.
อ่านเพิ่มเติม

เชิดชูเกียรติ”ท่านพุทธทาส” นำหลักธรรมล้ำค่าบรรจุซีดี

เชิดชูเกียรติ”ท่านพุทธทาส” นำหลักธรรมล้ำค่าบรรจุซีดี

จากการประชุมสมัยสามัญขององค์การศึกษาวิทยาศาสตร์และวัฒนธรรมแห่งสหประชาชาติ หรือองค์การยูเนสโก ณ กรุงปารีส ฝรั่งเศส ซึ่งมีการบรรจุรายการเฉลิมฉลองบุคคลสำคัญหรือผู้มีผลงานดีเด่น

และเหตุการณ์สำคัญทางประวัติศาสตร์ของยูเนสโก ประจำปี 2549-2550 คือ “ท่านพุทธทาสภิกขุ” ซึ่งได้รับยกย่องเป็นบุคคลสำคัญของโลก

นับว่าเป็นเรื่องน่ายินดีต่อพุทธศาสนิกชนชาวไทยที่ผลงานด้านธรรมะของท่านพุทธทาสภิกขุที่เป็นปราชญ์ทางธรรมอันโดดเด่น ถ้าได้ฟังได้อ่านหลักธรรมคำสั่งสอนของท่านจะหลุดพ้นจากทุกข์ได้ นำมาใช้กับชีวิตในปัจจุบันจะสร้างความผาสุกให้กับผู้ปฏิบัติธรรม ที่เข้าถึงหลักธรรมทางพุทธศาสนา โดยไม่มีปิดกั้นกับทุกศาสนา เพื่อนำเอาหลักธรรมแก่นแท้มาปฏิบัติย่อมพบกับความผาสุก เจริญงอกงามในหน้าที่และชีวิต
อ่านเพิ่มเติม

เสียงคำบรรยายธรรม ของท่านพุทธทาสภิกขุ”การพักผ่อน” โดย พุทธทาสภิกขุ

เสียงคำบรรยายธรรม ของท่านพุทธทาสภิกขุ”การพักผ่อน” โดย พุทธทาสภิกขุ

หน้าที่ 1 – หลักเกณฑ์ที่จะช่วยให้เข้าใจธรรมะได้ง่ายขึ้น
วันนี้เราจะได้พูดกันถึงเรื่องการพักผ่อน บางคนอาจจะเห็นว่าเป็นเรื่องไม่เกี่ยวกับธรรมะหรือพระพุทธศาสนาก็ได้ แต่ขอให้สนใจฟัง แม้แต่เรื่องการพักผ่อนถ้าเข้าใจถึงที่สุด ก็จะเข้าใจถึงเรื่องนิพพาน ไม่มีอะไรที่จะเทียบเท่ากับการพักผ่อนมากเท่ากับนิพพาน

ในขั้นแรกนี่อยากจะให้เข้าใจหลักเกณฑ์อะไรบางอย่างที่จะช่วยให้เข้าใจธรรมะได้ง่ายขึ้น หลักเกณฑ์ที่จะกล่าวนี้ก็คือเรื่องที่เราเคยพูดกันอยู่เป็นประจำ ว่าเรื่องที่มีอยู่ในโลกนี้มันลึกซึ้งกว่ากันเป็นชั้นๆ ซึ่งจะแบ่งเป็น 3 ชั้น คือเป็นเรื่องทางกาย ทางจิต ทางวิญญาณ เป็น 3 ชั้น ความจริงในบาลีจะมีพูดเพียง 2 ชั้น คือเรื่องกายกับเรื่องจิต แต่ใช้คำว่าเจตสิก คือเรื่องทุกเรื่องที่เกี่ยวกับจิต ก็เลยมี 2 เรื่อง เรื่องกายิกะ กับเจตะสิกะ

คือเรื่องทางกายหรือเรื่องทางจิตแต่นี่ก็ยังรู้สึกว่ายังเข้าใจยาก สู้เข้าใจอย่าง 3 ชั้นขั้นตอนไม่ได้ มันมองเห็นได้ง่ายกว่ากัน นี่ขอให้เข้าใจ กำหนดไว้สำหรับเป็นหลักเกณฑ์ศึกษา หรือเพื่อเข้าใจอะไรให้มันครบถ้วน เรื่องทางกายมันก็เกี่ยวกับร่างกาย เรื่องทางจิตก็เกี่ยวกับจิต แต่เรื่องทางวิญญาณนั้นขอยืมคำนี้มาใช้เพราะตัวหนังสือมันอำนวยให้ คือเป็นเรื่องเกี่ยวกับสติปัญญา ไอ้สติปัญญาน่ะเป็นเรื่องของจิต แต่มันก็แยกออกมาจากกันได้ นี่เป็นเหตุให้เรื่องการพักผ่อนเป็นเรื่องทางกาย เป็นเรื่องทางจิต เป็นเรื่องทางวิญญาณ คือถ้าเราจะเอาแค่เพียงสองเรื่องคือเรื่อง กายกับจิต มันจะอธิบายยาก คือต้องอธิบายจิตออกเป็นสองเรื่องอีกนั่นแหละ มันมีสามบริพท
อ่านเพิ่มเติม

. . . . . . .