เมื่อสมเด็จพระศรีนครินทราฯทรงบรรลุญาณที่ 15 เล่าโดย พระราชสุทธิญาณมงคล(หลวงพ่อจรัญ ฐิตธัมโม)

เมื่อสมเด็จพระศรีนครินทราฯทรงบรรลุญาณที่ 15
เล่าโดย พระราชสุทธิญาณมงคล(หลวงพ่อจรัญ ฐิตธัมโม)

เรื่องนี้ เล่าโดย พระราชสุทธิญาณมงคล(หลวงพ่อจรัญ ฐิตธัมโม)
วัดอัมพวัน สิงห์บุรี ซึ่งอยู่ในเหตุการณ์ด้วยองค์ของท่านเองครับ…

หลังจากการเสด็จสวรรคตของสมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี หรือสมเด็จย่าของปวงพสกนิกรชาวไทย เมื่อวันอังคารที่ ๑๘ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๕๓๘ เวลา ๒๑ นาฬิกา ๑๗ นาที รวมพระชนมายุได้ ๙๔ พรรษา ๘ เดือน ๗๒ วัน ในวันรุ่งขึ้นหลวงพ่อจรัญ วัดอัมพวัน สิงห์บุรีได้รีบสั่งทันที (ซึ่งขณะนั้นเป็นช่วงที่พระภิกษุกำลังเข้าพรรษา) ว่าให้รีบตั้งโต๊ะถวายเครื่องสักการะ แด่สมเด็จย่า ตามที่ต่าง ๆ ของวัด โดยเฉพาะภายในพระอุโบสถ ท่านได้สั่งโต๊ะถวายเครื่องสักการะชุดใหม่ พร้อมทั้งสั่งพระภิกษุสามเณร และอุบาสกอุบาสิกาภายในวัดว่า “เริ่มตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป เราจะขอนำพุทธศาสนิกชนทั้งฝ่ายบรรพชิต และคฤหัสถ์ของวัดอัมพวัน สวดมนต์ ปฏิบัติธรรม เพื่ออุทิศถวายเป็นพระราชกุศลให้สมเด็จย่า ไม่จำเป็นจริง ๆ แล้ว เราจะไม่ขาดการลงโบสถ์ เราตั้งใจนำเอาความดีถวายเป็นพระราชกุศลให้กับท่านให้ จงได้”

ซึ่งความเป็นจริงแล้ว การทำวัตรสวดมนต์ และการปฏิบัติธรรมถวายเป็นพระราชกุศลนั้น หลวงพ่อได้เริ่มทำมาตั้งแต่เดือนพฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๓๗ แล้ว เพื่อถวายเป็นพระราชกุศลให้พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ ในโอกาสที่พระองค์ทรงครองราชย์ครบรอบ ๕๐ ปี และนอกจากนั้นทุกวันที่ ๙ ของทุกเดือน หลวงพ่อจัดทำบุญใหญ่ สวดบทพระธรรมจักรถวายเป็นพระราชกุศล

เริ่มตั้งแต่บัดนั้นเป็นต้นมา หลวงพ่อลงนำพระภิกษุสามเณรและอุบาสกอุบาสิกา ผู้ปฏิบัติธรรมวัดอัมพวัน ทำวัตรสวดมนต์ นั่งเจริญสมาธิวิปัสสนากรรมฐาน สวดมนต์ถวายพระพร และอุทิศพระราชกุศลถวายสมเด็จย่าทุกวัน โดยแทบไม่มีวันไหนที่หลวงพ่อไม่ลงนำบำเพ็ญกุศลเพื่ออ ุทิศส่วนกุศลเลย นอกเสียจากว่าวันนั้น ท่านมีภารกิจที่ต้องเดินทางไปที่ไกล ๆ กลับไม่ทันจริง ๆ หรือเกิดเหตุสุดวิสัยจริง ๆ เท่านั้น

นอกจากนั้น ในวาระทำบุญครบ ๗ วัน ๕๐ วัน และ ๑๐๐ วันของสมเด็จย่า หลวงพ่อได้นิมนต์พระภิกษุสงฆ์สวดสดับปกรณ์ พร้อมทั้งเลี้ยงอาหารพระภิกษุสามเณร อุบาสกอุบาสิกาภายในวัดทั้งหมด และเลี้ยงอาหารแก่ผู้ต้องหาในเรือนจำกลางจังหวัดสิงห ์บุรีตลอดทั้งวัน พร้อมทั้งถวายปัจจัยแด่สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ เพื่อถวายเข้ามูลนิธิสมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชินี อีก ๑๐๐,๐๐๐ บาท

หลวงพ่อท่านมักนำธรรมะ และ ความดีของสมเด็จย่ามาเทศน์เป็นตัวอย่าง ให้พุทธ ศาสนิกชนทั้งหลายที่มาฟังธรรม และมักมีผู้มาสอบถามหลวงพ่อ ถึงการปฏิบัติธรรมของสมเด็จย่า เมื่อครั้งทรงปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐาน ณ วัดมหาธาตุยุวราชรังสฤษฎิ์ จ.กรุงเทพมหานคร โดยมีพระธรรมธีรราชมหามุนี (โชดก ญาณสิทธิ ป.ธ.๙) เป็นพระอาจารย์ผู้ถวายกรรมฐาน เนื่องจากหลวงพ่อได้มีโอกาสร่วมอยู่ในเหตุการณ์นั้นด้วย

เมื่อท่านพระมหาสุภาพ เขมรํสี เจ้าคณะ ๕ และท่านพระมหาไสว ญาณวีโร วัดมหาธาตุยุวราชรังสฤษฎิ์ ได้เข้าขอสัมภาษณ์หลวงพ่อจรัญ วัดอัมพวัน สิงห์บุรี เพื่อสอบถามหลวงพ่อเกี่ยวกับเรื่องนี้ และหลวงพ่อได้เล่าถวาย ตามคำสัมภาษณ์ดังนี้
ผู้ให้สัมภาษณ์ พระราชสุทธิญาณมงคล(หลวงพ่อจรัญ ฐิตธัมโม) วัดอัมพวัน สิงห์บุรี
ผู้สัมภาษณ์ พระมหาสุภาพ เขมรํสี ,พระมหาไสว ญาณวีโร
ถาม สมเด็จย่าทรงเข้าปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐานที่วัดมหาธาตุเป็นเวลาเท่าไร?
ตอบ พระองค์ทรงเข้าปฏิบัติและประทับอยู่เป็นเวลา ๑๕ วัน ในระหว่างการปฏิบัติ สมเด็จพระนางเจ้าพระบรมราชินีนาถเสด็จทรงเยี่ยมเป็นประจำ
ถาม ครั้งนั้น พระเดชพระคุณฯ เข้าปฏิบัติอยู่ก่อนแล้วใช่หรือไม่?
ตอบ ผมไปปฏิบัติก่อนแล้ว คือ ตั้งแต่ พ.ศ. ๒๔๙๕ ก็อยู่ไปเรื่อย ๆ ๑ เดือนผมยังไม่ได้ฟังเทศน์ลำดับญาณเลย

ถาม คำว่า “หนอ” เป็นของพม่าใช่หรือไม่ คนไทยจึงไม่นิยมปฏิบัติ?
ตอบ เรื่องนี้มีคนถามมาก ท่านเจ้าคุณอุดมวิชชาญาณ อธิบายว่า คำว่า “หนอ” ไม่ใช่ของพม่า เป็นคำของพระพุทธเจ้า ชาวมคธรัฐใช้พูดกันเรียกว่า วต ดังที่พระพุทธเจ้าตรัสว่า อญฺญา สิ วต โภ โกณฺฑญฺโญ หรือ ดังที่พระยสกุลบุตรกล่าวว่าที่นี่วุ่นวายหนอ ที่นี่ขัดข้องหนอ “หนอ” เป็นภาษาไทย แปลมาจากบาลีว่า วต เป็นภาษาธรรม สมเด็จพระศรีนครินทราฯ ทรงถามว่า ไม่ใช้หนอได้ไหม กำหนดเพียง พอง-ยุบ อย่างเดียวหรือใช้พุทโธได้ไหม ท่านเจ้าคุณอาจารย์อธิบายว่า หนอ หรือ วต สามารถตัดกิเลสได้ เพราะเป็นการยึดเหนี่ยวใจให้อยู่กับสติ จึงใส่หนอไว้ ถ้าไม่ใส่หนอไว้จิตมันไม่ค่อยอยู่ มันวิ่งออกไปข้างนอกมากมาย หมายความว่า เพื่อต้องการให้จิตช้าลง ถ้าไม่มี “หนอ” แล้วกำหนดไม่ได้ มคธที่ว่า หนอ นี้ไม่ได้หมายความ พอทำได้แล้วราคาวิเศษหลายล้านจริง ๆ ผมรับรองได้ “หนอ” นี่แหละเป็นการกระตุ้นเตือนให้จิตเข้าไปผนวกบวกกับสติได้ง่าย ถ้ากำหนดเพียง พอง-ยุบ มีแต่จะทำให้จิตใจร้อนรน “หนอ” เป็นการล้างจิตให้เยือกเย็น โดยมีสติสัมปชัญญะ เป็นการดึงจิตให้อยู่กับที่ได้

ถาม การปฏิบัติของสมเด็จย่า ได้ผลเป็นประการใด?
ตอบ การเดินจงกรมนี้ กระผมได้คติมาจากหลวงพ่อในป่า การเดินจงกรมโดยภาวนาว่า “พุทโธ” อย่างนี้ท่านกล่าวว่า เอาพระพุทธเจ้าไปภาวนาไว้ที่เท้าได้อย่างไร “พุทโธ” ต้องอยู่ที่จิต เท้าย่าง เท้าเหยียบ มีสติในการเดิน ทำไมเอาพระพุทโธเหยียบที่เท้า ตรงนี้ต้องไปช่วยกันแก้เสีย
ทีนี้สมเด็จย่าทรงเล่าว่า เดินจงกรมตั้งแต่ขวาย่างหนอ ซ้ายย่างหนอ เดินได้ทุกระยะ เลื่อนระยะขึ้นเรื่อย ๆ แต่ไม่ใช่เลื่อนให้วันนี้ ระยะที่ ๑ ขวา ย่าง หนอ ซ้าย ย่าง หนอ พรุ่งนี้ระยะที่ ๒ ยกหนอ เหยียบหนอ ไม่ใช่อย่างนั้น ต้องเพิ่มระยะให้ตามสภาวะของญาณเวลาส่งอารมณ์ ท่านเจ้าคุณอุดมวิชชาญาณถวายพระพรว่า การกำหนดพอง ยุบ เป็นอย่างไร พระองค์ทรงเล่าว่า จิตกำหนดพองหนอมันหายไป จิตตั้งใหม่กำหนด ยุบหนอ ขณะได้ยินเสียงสติรู้เสียงมันอยู่ที่โน่น หูมันอยู่ที่นี่ เวลาเดินขวาย่างหนอ ซ้ายย่างหนอ ดีเหลือเกิน พอเดินไปหวิวโซเซ พอตั้งหลักปุ๊บเดินได้ตรงชัดมาก พระองค์ทรงเล่าเอง ผมจดไว้และพระองค์ทรงได้สดับเทศน์ลำดับญาณด้วย ในโบสถ์วัดมหาธาตุ ซึ่งมีพระพิมลธรรม (อาสภมหาเถระ) เป็นองค์ประธาน

ถาม พระเดชพระคุณฯ มีโอกาสได้สนทนากับสมเด็จย่าเป็นการส่วนตัวหรือไม่?
ตอบ ไม่มี ได้แต่ฟังอย่างเดียว ในการสนทนาระหว่างสมเด็จย่ากับท่านเจ้าคุณอาจารย์นั้น ยังมีพระครูประกาศสมาธิคุณ อีกรูปหนึ่งที่เข้าฟังด้วย
ถาม มีบางท่านกล่าวว่า ญาณไม่มี แม้แต่ประโยค ๙ ก็กล่าว พระเดชพระคุณฯ มีความเห็นอย่างไร?
ตอบ คำว่า “ญาณ” ตัวนี้ แปลว่า รู้รอบ รู้ซึ้งในจิตใจเองอย่างแจ้งชัด ของจริงทุกสิ่งเป็นพระไตรลักษณ์ “ญาณ” ต้องรู้จริง รู้แจ้ง เกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป รู้เหตุการณ์ รู้ข้างขึ้น ข้างแรม รู้เด็ก รู้ผู้ใหญ่ รู้กาลเทศะ รู้บุญรู้บาป รู้คุณ รู้โทษ รู้สิ่งที่เป็นประโยชน์และไม่เป็นประโยชน์ จึงเรียกว่า “ญาณ”
ถ้านั่งแล้วไม่เกิดอะไรขึ้น ไม่ได้ผล เดี๋ยวเกิดอันนี้ขึ้นได้ผลแล้ว เหมือนท่านมหานั่ง ไม่มีใครมาสอน ปวดก็ไม่มี อะไรก็ไม่มี แปลว่าครูไม่มา นั่งสบาย หลับสบาย ชื่นใจบ้าง เย็นใจบ้าง นั้นแหละ ถ้าครูมาสอนต้องเรียนเลย ปวดหนอ ที่ว่าญาณหอบเสื่อมันมีตำราที่ไหน หอบหนีไปเอง นั่งกำหนด พองหนอ กลุ้มใจ มารมาแล้ว มารไม่มี บารมีไม่เกิด มารมาแล้วต้องสู้ แต่สู้มารไม่ได้ หนีเลย

ถาม ท่านผู้หญิงดิฐการภักดีมีความประสงค์ที่จะเขียนหนังสือเกี่ยวกับวิปัสสนากับสมเด็จย่า อย่างที่พระคุณท่านได้กล่าวไปนี้?
ตอบ ผมเป็นพยานได้ พระองค์ปฏิบัติจนได้ฟังเทศน์ลำดับญาณวันสุดท้าย ท่านเจ้าคุณอาจารย์บอกว่า ขอถวายพระพร ธรรมวิเศษเกิดขึ้นแล้ว ขอให้ธรรมวิเศษเกิดขึ้นภายใน ๕ นาที ๑๐ นาที ก่อนที่จะเป็นอย่างนี้ หลังจากสอบอารมณ์ ท่านเจ้าคุณอาจารย์หันมาบอกกระผมว่า “เธอจำไว้ สมเด็จย่าได้เข้าถึงญาณที่ ๑๕ จวนจะถึงญาณที่ ๑๖ แล้ว” คืออย่างนี้ ถวายพระพรขอพระองค์อย่าได้บรรทม ให้เดินจงกรม ๒ ชั่วโมง นั่ง ๒ ชั่วโมง เดินระยะที่ ๑ ถึงระยะที่ ๖ อย่างละ ๓๐ นาที ขณะนั้นผมนั่งฟังอยู่เวลาบ่าย ๓ โมง สอบอารมณ์วันต่อมา พระองค์เล่าว่า “วันนี้วูบไปไม่รู้สึก ข้างในรู้หมดเลยมีอะไรบ้าง มันจะไหวติงอย่างไร ข้างนอกไม่รู้ไม่ได้ยิน” พระองค์ท่านทรงเดินจงกรมแล้ว อธิษฐานนั่งกำหนดภายใน ๓ ชั่วโมง ผมรู้ว่าไปนั่งอยู่ตรงไหน พอครบ ๓ ชั่วโมงค่อย ๆ ออก ลืมตาแล้วก็ยังดึงมือไม่ออก ลืมตาเฉย ๆ สักพักใหญ่จึงคลายมือออกมาแล้วกราบพระอาจารย์ ๓ หน แล้วพนมมือพูดกับพระอาจารย์ ท่านเจ้าคุณอาจารย์บอกว่า “คนถึงธรรมอ่อนน้อมไปหมดเลย เห็นไหม…”

ที่มา/หนังสือกฎแห่งกรรม เล่ม 10
:: ภาคชีวประวัติ:: เรื่อง หลวงพ่อเล่าเรื่องสมเด็จย่า
โดย พระนรินทร์ สุภากาโร

หมายเหตุ , เพื่อเป็นการจดจารึกเป็นจดหมายเหตุแห่งเกียรติยศไว้ในประวัติศาสตร์แห่งวงการวิปัสสนากรรมฐานในประเทศไทยให้แพร่หลายไปในสากลสืบต่อไป ก็ใคร่จักแสดงความนัยสืบต่อไปอีกหน่อยหนึ่งว่า ในโอกาสเดียวกันนี้ ยังได้มี”พระเถระสำคัญ”อีกรูปหนึ่ง ซึ่งไปเข้ารับการแก้กรรมฐานและฟังลำดับญาณพร้อมกับสมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนีเมื่อปีพ.ศ. 2498 รุ่นเดียวกันด้วย…

นั่นก็คือ พระเดชพระคุณพระมงคลเทพมุนี (สด จนฺทสโร)
วัดปากน้ำภาษีเจริญ กรุงเทพมหานคร นั่นเอง

พร้อมนี้”หลวงพ่อสด วัดปากน้ำ”ยังได้มอบ”ภาพถ่าย”พร้อม”ลายเซ็นรับรอง”
ถึงความ”ถูกต้องร่องรอย”ตามพระพุทธวิปัสสนวิธีอย่างแท้จริง
แห่งสำนักปฏิบัติแห่งนี้ มาถวายเป็นอนุสรณ์ไว้ประจำที่คณะ 5 วัดมหาธาตุฯอีกด้วย

พระธรรมสิงหบุราจารย์(จรัญ ฐิตฺธมฺโม) วัดอัมพวัน สิงห์บุรี
พระวิปัสสนาจารย์ผู้มีชื่อเสียงที่สุดองค์หนึ่งในยุคนี้ (สมัยที่ยังหนุ่มอยู่)
ซึ่งเคยไปปฏิบัติกรรมฐานแนวสติปัฏฐานที่วัดมหาธาตุยุวราชรังสฤษฎิ์ จนทำให้
ได้อยู่และรู้เห็นในเหตุการณ์อันเป็นอุดมมงคลยิ่ง ดังกล่าวข้างต้นด้วยองค์เอง

ขอบคุณข้อมูลจาก : http://www.tairomdham.net/index.php?topic=7388.0

. . . . . . .