การพิสูจน์ความถูกต้องของชีวิตโยม…หลวงพ่อจรัญ ฐิตธมฺโม

การพิสูจน์ความถูกต้องของชีวิตโยม…หลวงพ่อจรัญ ฐิตธมฺโม

การเจริญสติปัฏฐาน ๔ เป็นการแก้ปัญหาชีวิต
พระพุทธเจ้าท่านจึงสอนว่าเป็นทางสายเอก
พระองค์ได้ประสบการณ์จากหนทางเส้นนี้มาแล้ว
มีความสุขแน่ ๆ มีความเจริญในมรรคมรรคา

มรรค ๘
ได้แก่สรุป ศีล สมาธิ ปัญญา
สรุปสติคือ สัมมาสติ สัมมาสมาธิ
คือ สติปัฏฐาน ๔ ในมรรค ๘ ชัดเจน
ทำไมโยมไปภาวนาไปสวรรค์นิพพาน

มรรคมรรคาเดินทางก็ไม่มีหนทาง
เดินสุ่มสี่สุ่มห้ากันไป
เลยเดินไปหาทุกข์หาความสุขไม่ได้เลย
คนเราต้องเดินไปหาความสุข
เดินไปตามมรรคมรรคาเรียกว่า วิปัสสนา
ทำให้แจ้งแห่งปัญญา เดินทางไปด้วยความถูกต้อง
เดินด้วยสติ ดำริชอบ สัมมาสติ สัมมาสมาธิ
ตรงนี้ซิถึงเรียกว่าเดินทางถูกต้อง
เป็นการพิสูจน์ความถูกต้องของชีวิตโยม
เป็นการพิสูจน์นิสัยปัจจัยของโยม
เป็นการพิสูจน์ความคิดเห็นที่ถูกต้อง
ไม่ใช่ผิดพลาดแต่ประการใด
สิ่งนี้ เป็นหลักใหญ่ใจความสำคัญ
ของการเจริญสติวิปัสสนาใช้สติปัฏฐาน ๔
ที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าให้มรดกธรรมมา
ที่อาตมาพูดเมื่อวานนี้ด้วยความเศร้าใจ
พระสงฆ์องค์เจ้าเอามรดกของเสด็จพ่อไปทิ้ง คือกรรมฐาน
พระนักเรียน นักทำกิจกรรมของพระสงฆ์
ไม่สนใจเรื่องมรดกนี้
เลยแก้ปัญหาไม่ได้ จึงได้สร้างแต่ปัญหาในคณะสงฆ์
สร้างปัญหาให้หมู่ประชาชน
สร้างปัญหาให้ประชาชนเดือดร้อน
ด้วยเหตุการณ์ดังกล่าวมา

ถ้าบ้านไหนวัดใดมีบันไดสวรรค์ มีบันไดนิพพาน
มีบันไดให้ไปสู่มนุษย์สมบัติ บ้านนั้นมีความสุข
มีความเจริญตลอดกาลเวลา
หมู่ใดบ้านใดไม่มีบันไดมนุษย์ ไม่มีบันไดสวรรค์
ขาดบันไดนิพพานแล้ว บ้านั้นจะอลหม่านยุ่งวุ่นวาย
เดือดร้อนนานาประการ
มาเจริญกรรมฐานถึงจะรู้ บางคนทำไม่ได้เลย
มาตั้งหลายครั้งแล้วไม่ได้อะไร
เมื่อวานนี้พูดเปรียบเทียบ แยกรูปแยกนามออกไป
อะไรเป็นรูป อะไรเป็นนาม
แยกได้เมื่อใด โยมชื่นใจเมื่อนั้น

ถ้าเอาความทุกข์มาไว้ในใจแล้วจะแก้ที่ไหน
จะไปหาผีเจ้าเข้าทรง แล้วจะไปองค์พระอรหันต์
ตามกันเป็นแถวแนวพนมไพร แล้วจะได้อะไรหรือ
เลยตามไปจนแก่ตายก็ไม่ได้อะไรเลย
ต้องตามไว้ที่จิต สร้างความคิดไว้ที่ใจ
คนโง่ของเอาจิตไว้ที่ปาก คนฉลาดชอบเอาสติไว้ที่ใจ
การเจริญวิปัสสนากรรมฐานต้องการอย่างนี้
ต้องการเอาสติมาไว้ที่ใจ
คือ คนฉลาดปราดเปรื่องเรืองปัญญา
สามีภรรยาเป็นคู่สร้างคู่สม เป็นเพื่อคู่คิดมิตรคู่บ้านกัน
จะไม่ทะเลาะกันเลย นี่สิความสุขของโลกมนุษย์

ลูกดีมีปัญญาไม่เถียงพ่อเถียงแม่แต่ประการใด
เพราะพ่อแม่มีสติไว้ที่ใจ ควบคุมจิตอยู่ตลอดเวลากาล
ลูกก็ติดนิสัยพ่อแม่ ปลูกสร้างก็ดีมีปัญญา
ตรงนี้ไม่มีใครคิดบางคนมานั่งกรรมฐานไม่รู้กี่คราวแล้ว
ก็ ***แค่นั้นเอง ไม่แยกทุกข์ออกจากใจ
ไม่แยกรูปแยกนาม เอาความโกรธมาไว้ที่ใจ
ผูกพยาบาทฆาตพยาเวรไว้ที่จิตใจ

โยมสร้างแต่ความทุกข์เอง
สร้างความเดือดร้อนให้ตัวเอง
สร้างแต่หายนะมาไว้ในบ้านของตน
สร้างอบายมุขหาความสุขในสังคม
แล้วจะได้มีความสุขประการใด
ขอเจริญพรให้คิด ให้ตั้งสติเอาไว้ที่จิตของท่าน
แล้วจะแยกรูปแยกนามให้ท่านเสียงหนอเขาด่า
เสียงหนอเขาเสียดสี เราก็ตั้งสติไว้ที่หู
สร้างความรู้ไว้น่าดูน่าชม ตั้งสติกำหนดเสียงหนอ
เสียงเป็นรูป เสียงเขาด่ามันก็เป็นรูป หูเป็นรูป
จิตกำหนดรู้เป็นตัวนาม ว่าเขาด่ารู้อย่างนี้
เอาสติสัมปชัญญะไปรู้ไปดูเสียงว่า
เสียงเขาด่าใครนะ ด่าใคร ไม่ใช่ด่าเรา
ด่านาย ก. เป็นสมมติบัญญัติ
แล้วความรู้แจ้งประจักษ์ชัด รูปนามขันธ์ ๕ เป็นอารมณ์
แยกรูปออกไป แยกเสียง
รูปนั้นเป็นอันผนวกบวกกัน
จิตที่สำนึกได้ว่า ใครหนอด่านาย ก.
สมมตินามว่าเราชื่อนาย ก. อ๋อ ด่าสมมติบัญญัติ
เราก็ตั้งสติสัมปชัญญะไว้ที่หู
กำหนดปั๊บสติดีมีปัญญา
นี่เรียกว่าเอาสติไว้ที่จิต จิตอยู่ที่ไหน อยู่ที่หูแล้ว
เพราะเราฟังเสียงที่หู หูเป็นรูป
เสียงที่พูดมานั้นก็เป็นรูป ตัวที่เรารู้ว่ามันด่า เป็นตัวนาม
เรามีสติสัมปชัญญะ กำหนดเสียงหนอ
เสียงหนอแล้วมันก็ดับไป ผันแปรกลับกลอก
หลอกไปโดยสมมติของมัน
เสียงนั้นจะกลับไปหาคนด่าเอง
แล้วก็ดับวูบ นี่ความทุกข์หมดไป

เราไปเอาความทุกข์มาเองมิใช่หรือ
ทุกข์ก็อยู่ของมันตามเรื่องของมัน
เราไปหามันเอง ตั้งสติไว้ซิ เกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป
เสียงนั้นมันก็ตก จะไม่เข้าไปผนึกในเทปของเรา
มานั่งกรรมฐานไม่เคยกำหนด
เก็บเอาแต่เสียงด่ามาไว้ในใจ เก็บโน่นเก็บนี่
สิ่งนั้น คือ เก็บความเดือดร้อนมาไว้ในใจ
ทำให้โยมมีทุกข์ ตรงนี้ไม่มีใครแก้ ยิ่งนั่งยิ่งทุกข์ใหญ่

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าของเรานั้น
ทรงแสดงเหตุผลชัดเจน มาสร้างความดีจะไปสวรรค์
ต้องมาที่โลกมนุษย์ที่อิจฉากัน
เราต้องอดทนต่อปัญหาที่เกิดขึ้น
ต้องสู้ปัญหา อย่าหนีปัญหา
การสู้ปัญหา ไม่หนีปัญหา
ได้มาจากการกำหนดจิต ต้องสู้อย่าหนี

พระพุทธเจ้าทรงแสดงต่อพระอานนท์ศรีอนุชา
“ดูกรอานนท์ จะหนีเขาด่าไปที่ไหนเล่า
ที่ไหนไม่มีคนด่าเรา ไปเมืองนี้โดนเขาด่า
หนีไปที่โน่นเขาก็ด่าเราอีก
จะหนีไปไหนเล่าอานนท์ศรีอนุชาเอ๋ย”
“จะทำอย่างไรพระเจ้าข้า” พระอานนท์ทรงทูลถาม
ต้องแก้ซิ ต้องแก้ปัญหาให้มันหมดไป
เหตุเกิดที่ไหนต้องแก้ที่นั่น” นี่ชัดเจนแล้ว
โยมจะไปแก้ตรงไหนกัน สร้างแต่ปัญหากันไม่พัก
มีแต่ความทุกข์ระทมขมขื่นตลอดรายการ
เพราะเหตุใดตอบไปเลย
เพราะแยกรูปแยกนามไม่ได้ แยกสุขแยกทุกข์ไม่ได้
แยกเวทนาไม่ได้จึงปวด

ขอบคุณข้อมูลจาก : http://www.b.yimwhan.com/board/show.php?user=kobkob&topic=111&Cate=9

. . . . . . .