จิตรู้แจ้งทวนกระแส…หลวงปู่สิม พุทธาจาโร

จิตรู้แจ้งทวนกระแส…หลวงปู่สิม พุทธาจาโร

“ผู้ภาวนา ให้น้อม ให้รวม เอาจิตใจดวงผู้รู้อยู่มารู้อยู่ที่ลมเข้า ลมออก สักเกตไปสู่ดวงจิต จุดสำคัญท่านต้องการเอาจิตใจดวงผู้รู้อยู่นี้ ธาตุลมนี้ ก็เป็นแต่ให้เป็นทาง เป็นที่สังเกต จะได้รวม ได้สงบลงสู่ดวงจิตดวงใจดวงที่รู้อยู่นั่นเอง แต่ว่าถ้ายังจับจุดนี้ไม่ได้ ท่านก็ให้กำหนดลม ลมเข้าและลมออก หรือท่านให้กำหนด ความรู้สึก ทุกลมเข้าออก เรียกว่า ดวงจิต ดวงวิญญาณ ดวงผู้รู้ มารู้สึก ลมหายใจเข้าออก เมื่อลมหายใจเข้าและออก ออกและเข้าอยู่ จิตก็มีความรู้สึกอยู่ และบริกรรมภาวนาคำว่า “พุท” ทุกลมหายใจเข้า และ “โธ” ทุกลมหายใจออกอยู่ รู้จักปล่อยวางเรื่องราวอารมณ์อันเป็นเรื่องภายนอกออกไปให้หมดสิ้น ตั้งจิตเจตนาในจิต ในใจของตนให้มั่นคงลงไป เรียกว่าระลึกถึงพระบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า เป็นเครื่องกระตุ้นเตือนจิตใจของตน”

ขอบคุณข้อมูลจาก : http://muangput.com/webboard/index.php/topic,68.0.html

ช้างรับศีล ….หลวงปู่ขาว อนาลโย

ช้างรับศีล ….หลวงปู่ขาว อนาลโย

ช้างรับศีล

หลวงปู่ขาว อนาลโย แห่งวัดถ้ำกลองเพล จ.หนองบัวลำภู เป็นศิษย์คนสำคัญของพระอาจารย์มั่น ภูริทัตตะเถระ แม้ท่านจะล่วงลับดับขันธ์ไปแต่ปี พ.ศ.๒๕๒๖ แต่ท่านก็ยังเป็นที่เคารพนับถือ ในหมู่ผู้ใฝ่ธรรมอย่างไม่เสื่อมคลาย

ท่านเป็นพระปฏิบัติที่ใฝ่ในธุดงควัตรมาตั้งแต่ยังหนุ่ม เมื่อท่านได้ยินกิตติศัพท์พระอาจารย์มั่นก็บุกป่าฝ่าดงตามหาท่าน และเที่ยวติดตามท่านจนภายหลังได้รับเมตตาเข้าไปจำพรรษากับท่านอาจารย์ใหญ่

คืนหนึ่งในพรรษา ขณะที่ท่านกำลังนั่งภาวนาอยู่ในกุฏิ ช้างบ้านใหญ่เชือกหนึ่งได้พลัดตรงเข้ามายังกุฏิท่าน แต่เผอิญกุฏิด้านหลังมีม้าหินใหญ่ก้อนหนึ่งบังอยู่ ช้างจึงไม่สามารถเข้ามาถึงตัวท่านได้ แต่กระนั้นก็เอางวงสอดเข้ามาในกุฏิจนถึงกลดและมุ้ง เสียงสูดลมหายใจดมกลิ่นท่านดังฟูดฟาดๆ จนกลดและมุ้งไหวไปมา แต่ท่านเองไม่ไหวติง นั่งภาวนาบริกรรมพุทโธๆ ตลอด ๒ ชั่วโมง ช้างใหญ่ตัวนั้นไม่ยอมหนีไปไหนราวกับจะคอยทำร้ายท่าน ต่อมาก็เคลื่อนไปทางตะวันตกของกุฏิ แล้วล้วงเอามะขามมากิน
อ่านเพิ่มเติม

ตัวโกรธ ….หลวงปู่บุดดา ถาวโร

ตัวโกรธ ….หลวงปู่บุดดา ถาวโร

ตัวโกรธ

หลวงปู่บุดดา ถาวโร จัดว่าเป็น “รัตตัญญู” (ผู้เก่าแก่และมีประสบการณ์มาก) รูปหนึ่งของคณะสงฆ์ไทย ด้วยท่านมีอายุยืนนานถึง ๑๐๑ ปีก่อนที่จะมรณภาพเมื่อปี ๒๕๓๗

สมัยที่ยังหนุ่ม ท่านมีโอกาสพบปะครูบาอาจารย์ที่สำคัญหลายรูปเช่น พระอุบาลีคุณูปมาจารย์ (สิริจนฺโท) และครูบาศรีวิชัย ท่านหลังนี้เคยทักหลวงปู่บุดดาเนื่องจากเห็นท่านไม่พาดสังฆาฏิว่า “เฮาเป็นนายฮ้อย ก็ต้องให้เขาฮู้ว่าเป็นนายฮ้อย ไม่ใช่นายสิบ” นับแต่นั้นมาหลวงปู่จึงพาดสังฆาฏิติดตัวตลอดเวลา จนกลายเป็นเอกลักษณ์ของท่าน

หลวงปู่บุดดา เป็นพระป่า ชอบธุดงค์ ไม่มีวัดเป็นหลักแหล่ง จนเมื่ออายุ ๘๗ ปีจึงได้มาประจำที่วัดกลางชูศรีเจริญสุข อ.บางระจัน จ.สิงห์บุรี กระทั่งมรณภาพ

อ่านเพิ่มเติม

หลวงปู่มหาเจิม วัดสระมงคล อ.กำแพง แสน จ.นครปฐม

หลวงปู่มหาเจิม วัดสระมงคล อ.กำแพง แสน จ.นครปฐม

“พระครูภาวนาปัญญาดิลก” หรือที่ชาวบ้านมักเรียกว่า “หลวงปู่เจิม ปัญญาพโล” เป็นพระเถระชั้นผู้ใหญ่อีกรูปหนึ่งของนครปฐม ได้รับการยกย่องว่าเป็นพระที่เคร่ง ครัดพระธรรมวินัย ใส่ใจปฏิบัติกัมมัฏฐาน

เป็นยอดพระเกจิแห่งยุคอีกรูปหนึ่ง มีสมาธิจิตใจอันแน่วแน่เด็ดเดี่ยว สมาธิมั่นคง

ปัจจุบันอายุ 96 พรรษา 76 ดำรงตำแหน่งเจ้าอาวาสวัดสระมงคล อ.กำแพง แสน จ.นครปฐม

อัตโนประวัติ มีนามเดิมว่า เจิม วรรณโมฬี เกิดเมื่อวันที่ 12 ต.ค.2459 ตรงกับแรม 1 ค่ำ เดือน 11 ณ บ้านหนองแหน ต.เมืองใหม่ อ.ราชสาส์น จ.ฉะเชิงเทรา

การศึกษาของท่านในวัยเด็ก ต้องศึกษากับวัดที่อยู่ใกล้บ้าน โดยเรียนหนังสือมูลบทบรรพกิจของพระยาศรีสุนทรโวหาร (น้อย อาจารยางกูร) พออ่านออกเขียนได้เท่านั้น

จากนั้นได้บรรพชาเมื่อปีพ.ศ.2470 อายุได้ 12 ปี กับหลวงพ่อทอง เจ้าอาวาสวัดแสนภุมมาวาส ได้อยู่กับท่าน 1 ปี
อ่านเพิ่มเติม

มนุษย์กับบุญกุศล พระธรรมเทศนาโดย หลวงปู่จันทร์โสม กิตติกาโร

มนุษย์กับบุญกุศล

พระธรรมเทศนาโดย หลวงปู่จันทร์โสม กิตติกาโร

วัดป่านาสีดา จ.อุดรธานี

๖ มีนาคม ๒๕๔๓ ณ ศาลากาญจนาภิเษก

เกิดเป็นมนุษย์ เป็นลาภ เป็นบุญกุศลอันประเสริฐ การได้เกิดมาเป็นมนุษย์นั้นยากนักหนา เพราะว่าวาสนาบารมียังไม่ถึงที่จะได้มาเป็นมนุษย์มักต้องไปเกิดอยู่ในภพภูมิที่ต่ำกว่าคือเป็นสัตว์เดรัจฉาน เปรตอสุรกายหรือสัตว์นรกอยู่นานและมากมายกว่าจะได้หวนมาเป็นมนุษย์แต่ละครั้ง ยากนักยากหนา

เมื่อมาเกิดเป็นมนุษย์แล้ว บ้างก็มั่งมีศรีสุข ร่ำรวย ผิวพรรณวรรณะผ่องใส บ้างก็เกิดในตระกูลต่ำทราม วรรณะผิวพรรณไม่ผ่องใส แล้วแต่บุญกุศลที่สร้างสมอบรมมา ถ้าบุญประกอบ คิดนึกอะไรก็จะเป็นได้ตามปรารถนา
อ่านเพิ่มเติม

ธรรมะ หลวงปู่สิม พุทฺธาจาโร วัดถ้ำผาปล่อง อ.เชียงดาว จ.เชียงใหม่

ธรรมะ หลวงปู่สิม พุทฺธาจาโร วัดถ้ำผาปล่อง อ.เชียงดาว จ.เชียงใหม่

เวลาที่หมดไปสิ้นไป โดยไม่ได้ทำอะไรที่เป็นคุณประโยชน์แก่ตัวเองบ้างในชีวิตที่เกิดมาในโลก และได้พบพระพุทธศาสนานี้ ช่างเป็นชีวิตที่น่าเสียดายยิ่งนัก เวลาแม้เพียงหนึ่งนาทีที่ผ่านไปนั้น แม้ว่าจะทุ่มเงินจำนวนมหาศาล ก็ไม่สามารถซื้อกลับคืนมาได้ ฉะนั้น สิ่งที่น่าเสียดายในโลกนี้ จะมีอะไรน่าเสียดายเท่ากับปล่อยวันเวลาผ่านเลยไปโดยเปล่าประโยชน์ แม้ว่าจะเพียงแค่นาทีเดียว

เราผู้เป็นสาวก สาวิกา ศรัทธาญาติโยม ภิกษุสงฆ์ สามเณร ก็อย่าได้มีความท้อถอย อย่าไปคิดว่าเราทำไม่ได้ เราบุญน้อย วาสนาน้อย ละกิเลสไม่ได้ อย่าไปคิดอย่างนั้น อะไรก็ตาม ถ้าหากว่าเรามีความตั้งใจมั่น ไม่หวั่นไหวแล้วย่อมได้ย่อมถึง เป็นไปได้ทุกถ้าวนหน้า
อ่านเพิ่มเติม

ธรรมะจากหลวงปู่สังวาลย์ ธัมมสาโร เมื่อวันที่ 30 เมษายน 2554 เวลา 13.09 น.

ธรรมะจากหลวงปู่สังวาลย์ ธัมมสาโร เมื่อวันที่ 30 เมษายน 2554 เวลา 13.09 น.

(โยม : ขอธรรมะสำหรับคนทำงานค่ะ)

… หากเราการกระทบทั้งหมดเกิดจากต้นเหตุความเกิด ความโกรธ ความเคียด มันก็เกิดจากจิตของเราสิ่งที่ต้านทานมันไม่ได้ หากเรามีหน้าที่ของเราทำอยู่เสมอ เราก็ทำของเราไปอยู่เสมอ เราจะไปโกรธกับเรื่องคนอื่นพูดทำไม หน้าที่ของเราทำจบวันนี้ก็พอ จบวันนี้ วันหน้ามีเราก็แต่งตัวเราไปทำหน้าที่ของเราอยู่เสมอนะ เราก็ทำอยู่ในความจับอารมณ์และจิตของเราอยู่เสมอนะ ขอให้มันมีงานทำอยู่ในวันนั้นอยู่เสมอ เราอย่าไปเอาเรื่องราว คนอื่นเข้ามา เขาว่าไปก็ถือว่าเออเอ้า ดี รับฟังครึ่งหนึ่ง ไม่รับฟังครึ่งหนึ่ง ในนามว่า ความขันติอดทนต่อสังคม สังคมไหน จะไม่มีคำว่านินทา สังคมไหน จะไม่มีคำว่าวุ่นวาย ไม่มีหรอก

หลวงปู่จึงว่า สัตว์โลกเรานี้ แม้แต่สังคมเด็กมันก็ตีกันอยู่เสมอ เด็กไปเล่นด้วยกัน เดี๋ยวเด็กก็เล่นเที่ยวด้วยกัน เด็กอายุ 3 ขวบ 4 ขวบ ก็ยังทะเลาะกันอยู่อย่างงั้นน่ะ แล้วคนเราโตแล้วควรจะรู้ว่า กิจของเขา กิจของเรา เราก็แยกแยะออกไปตามหน้าที่ของเรา
ในสังคมของสัตว์โลกเรานี้มีตั้งแต่ว่า ทุกอย่างก็ต้องเป็นสิ่งที่วุ่นวาย อยู่ทุกสังคม แม้แต่ครอบครัวผัวเมียยังวุ่นวาย อยู่ด้วยกันก็ยังวุ่นวาย หน้าที่การงาน คนต่างคน คนต่างพ่อต่างแม่ เอ้อ คนต่างพ่อต่างแม่มีมาบางคนก็ถือทิฐิของตน เอ้อ เอาอำนาจ เราก็อ่านมันออก เราก็พิจารณามันออก อันนี้ หากเราไม่ตอบโต้แล้วสิ่งไหนมันก็ควรสงบไปหมดมั้ง เอ้อ หลักธรรมมันอยู่หั้น
การหน้าที่การงาน เราไปทำงาน เราก็คิดให้มันทันกับตัวกิเลสของเรา เราไปทำงาน เราไม่ได้มาหาเรื่องราว งานชิ้นนี้จบไปแล้ว เราคือจบวันนี้ เอาอยู่เช่นนั้นแล้ว ก็ต้องหลีกเลี่ยงมันอยู่ตลอดสิ
อ่านเพิ่มเติม

หลวงปู่สังวาลย์ ธมฺมสาโร วัดป่าเขามโนราห์

หลวงปู่สังวาลย์ ธมฺมสาโร วัดป่าเขามโนราห์

ประวัติย่อ
หลวงปู่สังวาลย์ ธมฺมสาโร

หลวงปู่สังวาลย์ ธมฺมสาโร ตอนนี้ หลวงปู่จำวัดอยู่ที่ วัดป่าเขามโนราห์ ชายป่าห้วยขาแข้ง จังหวัดอุทัยธานี ซึ่งเป็นวัดร้าง ลักษณะเหมือนบ้านของชาวบ้านธรรมดา เป็นเรือนไม้สองชั้น ไม่มีน้ำ ไม่มีไฟฟ้า ช่วงนี้ท่านก็สลับออกธุดงค์เข้าไปในป่าลึก เข้าธุดงค์ประมาณ1-2 เดือน เพื่อฝึกพระใหม่ที่ตามมาธุดงค์ เป็นการฝึก ซึ่งมีผู้กล่าวว่า ปู่สามารถฝึกพระบางองค์ได้ถึงขั้นอริสงฆ์ก็มีหลายรูปแล้ว ตอนนี้มีพระทั้งหมด 11 รูป

หลวงปู่สังวาลย์ ท่านอายุ 73 ปี เกิดปี พ.ศ.2477 ท่านเป็นหลานแท้ๆ ของหลวงปู่ขาว อนาลโย เคยธุดงค์กับพระเกจิสุปฏิปันโนมากมาย อาทิ หลวงปู่มั่น ภูริทัตโต หลวงปู่เสาร์ หลวงปู่ขาว หลวงปู่ชา หลวงปู่เกษม(สุสานไตรลักษณ์) หลวงปู่บุดดา หลวงปู่ดุลย์ หลวงปู่เทศ หลวงปู่มหาบัว ฯลฯ เป็นต้น โดยธุดงค์ในป่าลึก ทั้งเหนือ อีสาน ฯ บางครั้งท่านก็เดินธุดงค์องค์เดียวเป็นเวลาหลายปี ยกเว้นตอนเข้าพรรษาเท่านั้น ที่จำเป็นต้องอยู่จำพรรษาที่วัด ก็จะเป็นวัดล้างในป่า เสียส่วนมาก ท่านกรุณาเล่าประวัติให้ฟังพอสังเขป จำได้ไม่หมด ทั้งนี้เพราะทราบมาว่าปกติท่านไม่เคยเล่าให้ใครฟัง พระที่ตามธุดงค์กับท่านก็จะไม่ทราบเรื่องราวของท่านมากนัก ท่านไม่เคยให้สัมภาษณ์หนังสือใดๆ เพราะ ท่านไม่ติดยึดกับชื่อเสียงทางโลก หรือแม้กระทั่งการถ่ายรูป ตอนที่ท่านเข้าธุดงค์ในป่าลึกห้วยขาแข้ง เจ้าหน้าที่ป่าไม้ได้แอบถ่ายสถานที่ในวัดหลายรูป หัวหน้าเขตป่าไม้ชื่อคุณ.ทวี.เล่าให้คณะเราฟังในภายหลังว่าเคยแ อบถ่ายรูปโดยไม่ขออนุญาต ปรากฎว่ากล้องระเบิดเสียหายไป 3 ตัวเลย
อ่านเพิ่มเติม

‘หลวงตามหาบัว’ เล่าถึงวินาทีมรณภาพ ของ หลวงปู่เสาร์ – หลวงปู่มั่น

‘หลวงตามหาบัว’ เล่าถึงวินาทีมรณภาพ ของ หลวงปู่เสาร์ – หลวงปู่มั่น

สมัยปัจจุบันครูอาจารย์ที่ท่านปฏิบัติดีจนปรากฏชื่อลือนามก็มี ๒ องค์ คือพระอาจารย์เสาร์ และพระอาจารย์มั่น แต่เวลานี้ท่านมรณภาพเสียแล้ว พระอาจารย์ทั้งสององค์นี้ ปรากฏว่าเป็นผู้เด็ดเดี่ยว อาจหาญในทางความเพียรมาก จนปรากฏเป็นคติตัวอย่างแก่บรรดาศิษย์รุ่นหลังได้ถือเป็นปฏิปทาอันดีตลอดมา

ท่านพระอาจารย์ทั้งสองนี้ชอบแสวงหาที่สงัดวิเวก แต่เริ่มอุปสมบทตลอดมาจนถึงวาระสุดท้าย ไม่เคยลด ละ ผลความดีของท่านที่บำเพ็ญมาจึงแสดงออกให้โลกได้ทราบกิตติศัพท์กิตติคุณฟุ้งขจรไปทุกหนทุกแห่งว่า ท่านพระอาจารย์เสาร์และท่านพระอาจารย์มั่นเป็นพระสำคัญ ทั้งด้านปฏิบัติและความรู้ภายในใจ คุณสมบัติทั้งนี้ฟุ้งขจรมาให้ประชาชนได้ยินทั่วถึงกันในสมัยปัจจุบัน
อ่านเพิ่มเติม

หลัก ๓ ประการในการปฏิบัติสำหรับฆราวาส — หลวงปู่เทศก์

หลัก ๓ ประการในการปฏิบัติสำหรับฆราวาส — หลวงปู่เทศก์

หลักไตรสิกขาสำหรับฆราวาส
พระราชนิโรธรังสี (หลวงปู่เทสก์ เทสรังสี)

หลัก ๓ ประการในการปฏิบัติสำหรับฆราวาส ที่นำไปสู่สวรรค์ และโมกขธรรมคือ

๑. ทำทาน ๒. รักษาศีล ๓. ภาวนา

๑.ทำทาน

ทาน คือ การให้ ให้วัสดุสิ่งของ โดยไม่หวังผลตอบแทน ต้องสละความตระหนี่เหนียวแน่น ในใจของตนก่อน จึงให้ทาน
หลักของทาน ต้องมี ศรัทธา ความเชื่อมั่นว่า บาปมีบุญมีจริง ทำทานแล้วได้บุญ
ผลของทาน
ขณะทำ มีความอิ่มอกอิ่มใจ เป็นสุข นั่นคือตัวบุญ จิตใจเบิกบาน ขึ้นสวรรค์ ตรงนั้น
ภายหลังทำ จิตใจเบิกบาน อิ่มอยู่ในใจ ระลึกขึ้นได้เมื่อใดก็มีความสุข
ลำดับต่อไป เมื่อทำทานอยู่เป็นนิจ ก็มีจิตใจใสสว่าง มีเมตตาและอยากทำความ ดีให้ยิ่งขึ้นไป
อ่านเพิ่มเติม

เจตนาผิดปิดทางหลุดพ้น (หลวงปู่หล้า เขมปตฺโต)

เจตนาผิดปิดทางหลุดพ้น (หลวงปู่หล้า เขมปตฺโต)

ยุคของผู้เขียนมาพักชั่วคราว อยู่ภูจ้อก้อนี้ สนุกฟังเทศน์ทั้งภายนอกภายใจมากมายนัก ที่ว่าพักอยู่ชั่วคราว ก็หมายความว่าที่สมมติกันว่าวินาทีหนึ่งก็ดี นาทีหนึ่งก็ดี ชั่วโมงหนึ่งก็ดี วันคืนหนึ่งก็ดี เดือนหนึ่งก็ดี สองพันห้าร้อยยี่สิบสี่ก็ดี เป็นเวลาน้อยนักไม่หยุดยั้งล่วงไปล่วงไป จะว่าวันเวลาล่วงไปก็ถูก จะว่าชีวาล่วงไปตามสมมติก็ถูก แต่ปรมัตถ์มิใช่สัตว์มิใช่ชีวิต ไม่มีใครๆ ล่วงไปไหน ส่วนวันคืนก็ไม่ล่วงไปไหน เอกรัตตินทิวัง มีแต่กลางคืนกับกลางวันเท่านั้น พูดกลับไปกลับมาเพื่อมิให้ติดอยู่ในการพูดกลับไปกลับมาทั้งสมมติและปรมัตถ์ แต่ก็ตรงกันข้าม สิ่งที่ติดก็คอยแต่จะติด เช่น ยางขนุนและยางมะตอย เป็นต้น สิ่งที่ไม่ติดก็ไม่ค่อยอยากติด เช่น น้ำค้างบนใบบัว ปลายเหล็กแหลมไม่เก็บพันธุ์เมล็ดผักกาดไว้ นกบินในอากาศไม่มีรอย มีดเฉือนน้ำไม่มีแผล
อ่านเพิ่มเติม

อสุภะ หลวงปู่จันทา ถาวโร วัดป่าเขาน้อย จ.พิจิตร

อสุภะ หลวงปู่จันทา ถาวโร วัดป่าเขาน้อย จ.พิจิตร

อสุภะ
จากเทปเรื่อง การฝึกจิต (๒๐ ก.ค. ๓๕)

การเจริญวิปัสสนาค้นคว้าในกาย ขั้นเหตุนั้น จงกำหนดคาดหมายเสียก่อนว่า เป็นอย่างโน้น อย่างนี้ก็เราเคยเห็นมาแล้ว มนุษย์เพื่อนร่วมโลกร่วมสงสาร หญิงชายตายแล้ว เห็นแต่เป็นอย่างนี้ เอาไว้วัน ๒ วัน ไม่ฉีดยา ก็เหม็น เหม็นเบื่อหน่าย เหม็นน่าเกลียด เหม็นมนุษย์ร้ายกว่าเหม็นหมานั่นแหละ ทำไมเหม็นเน่าขนาดนั้น

จึงว่า อสุภะ อสุภัง เป็นของเปื่อยเน่า เป็นของเหม็น น่าเกลียด เหม็นอย่างสุดยิ่ง นั่นแหละ ปฏิกูลน่าเกลียดสกปรกโสโครก มีหนังหุ้มอยู่ ภายนอกดูเกลี้ยงเกลาหลอกเรา หญิง ชาย หนุ่ม สาว ภายในนั้นมีอะไรบ้าง ดิน น้ำ ลม ไฟ หลายอย่าง เอ็น กระดูก ชิ้นน้อย ชิ้นใหญ่ ไส้น้อย ไส้ใหญ่ ทุกอย่าง อาการ ๓๒ ก็ล้วนแล้วแต่ของปฏิกูลทั้งนั้น
อ่านเพิ่มเติม

หลวงปู่สมชาย วัดเขาสุกิม เล่าเรื่อง วาสนาบารมีของดวงวิญญาณที่จะได้เกิดเมื่อ

หลวงปู่สมชาย วัดเขาสุกิม เล่าเรื่อง วาสนาบารมีของดวงวิญญาณที่จะได้เกิดเมื่อ

ขอนำเรื่องทหารสองคนถูกฆ่าตาย แล้วนัดกันไปเกิดใหม่เพื่อกลับมาแก้แค้น นำมาลงห้องนี้ น่าจะตรงประเด็นมากกว่า

เป็นเสียงธรรมะเทศนาของหลวงปู่สมชายฯ วัดเขาสุกิม ทหาร 2 คน ถูกฆ่าผิดตัว นัดกันไปเกิดใหม่เพื่อแก้แค้น

ลักษณะเหมือนว่าหลวงปู่สมชายฯ กำลังสนทนากับผู้ปฏิบัติธรรม (เสียงในเทปเก่ามาก ความยาวประมาณ ๖ นาทีกว่าๆ เสียงท่านยังหนุ่มอยู่)

บางช่วงฟังไม่ชัด แต่ได้ความเข้าใจดีมาก เมื่อฟังจบแล้ว
อ่านเพิ่มเติม

ผู้มีสติ โดย หลวงปู่ชา สุภัทโท

ผู้มีสติ โดย หลวงปู่ชา สุภัทโท

ผู้ใดมี “สติ” … อยู่ทุกเวลา
ผู้นั้นก็จะได้ฟังธรรมะของพระพุทธเจ้า…อยู่ตลอดเวลา

เพราะว่า เมื่อตามองเห็นรูป…ก็เป็นธรรมะ
หูได้ยินเสียง…ก็เป็นธรรมะ
จมูกได้กลิ่น…ก็เป็นธรรมะ
ลิ้นได้รส…ก็เป็นธรรมะ
ธรรมารมณ์ที่เกิดขึ้นกับใจ นึกขึ้นได้เมื่อใด…เป็นธรรมะเมื่อนั้น

ฉะนั้น “ผู้มีสติ”
จึงได้ฟังธรรมะของพระพุทธเจ้าอยู่ตลอดเวลา…ไม่ว่าจะยืน เดิน นั่ง นอน
มันมีอยู่ทุกเวลาเพราะอะไร ? เพราะเรามีความรู้อยู่
อ่านเพิ่มเติม

พูดดีเข้าใจง่าย พูดร้ายเข้าใจยาก โดย หลวงพ่อชา สุภัทโท

พูดดีเข้าใจง่าย พูดร้ายเข้าใจยาก โดย หลวงพ่อชา สุภัทโท

คนที่ฉลาดแล้ว สอนไม่มากหรอก
ถ้าคนไม่ฉลาด สอนมากแค่ไหน…ก็ไม่ค่อยรู้เรื่อง
แต่มันเกี่ยวกับคนสอนด้วยนะ

โดยมาก…คนเราเวลาไม่สบายใจ จึงสอน
อย่างเราจะสอนลูกเรา เราโกรธแล้วจึงสอน มันก็ด่ากันเท่านั้นหล่ะ
ไม่ยอมสอนกันดี ๆ หรอก ก็คนใจไม่ดี ไปสอนกันทำไม

อาตมาว่า อย่าไปสอนในเวลานั้น ให้ใจมันสบายก่อน
มันจะผิดอย่างไรก็เอาไว้ก่อน ให้มันใจดี ๆ ซะก่อน
อ่านเพิ่มเติม

จิตคือพุทธะ โดย หลวงปู่ดูย์ อตุโล วัดบูรพาราม

จิตคือพุทธะ โดย หลวงปู่ดูย์ อตุโล วัดบูรพาราม

พระพุทธเจ้า และสัตว์โลกทั้งสิ้นไม่ได้เป็นอะไรเลย นอกจากเป็นเพียง จิตหนึ่ง นอกจากจิตหนึ่งแล้ว มิได้มีอะไรตั้งอยู่เลย จิตหนึ่ง ซึ่งปราศจากการตั้งต้นนี้ เป็นสิ่งที่ไม่ได้เกิดขึ้น และไม่อาจถูกทำลายได้เลย มันไม่ใช่เป็นของมีสีเขียว หรือสีเหลือง และ ไม่มีทั้งรูป ไม่มีทั้งการปรากฏ ไม่ถูกนับรวมอยู่ในบรรดาสิ่งที่มีการตั้งอยู่ และไม่มีการตั้งอยู่ ไม่อาจจะลงความเห็นได้ว่า เป็นของใหม่ หรือของเก่า ไม่ใช่ของยาวหรือของสั้น ของใหญ่หรือของเล็ก

ทั้งนี้เพราะมันอยู่เหนือขอบเขต เหนือการวัด เหนือการตั้งชื่อ เหนือการทิ้งร่องรอยไว้ “จิตหนึ่งนี้” ซึ่งเราเห็นตำตาเราอยู่แท้ๆ แต่ลองไปใช้เหตุผล (ว่ามันเป็นอะไร เป็นต้น) กับมันเข้าดูซิ เราจะหล่นไปสู่ความผิดพลาดทันที สิ่งนี้ เป็นเหมือนกับความว่าง อันปราศจากขอบทุกๆ ด้าน ซึ่งไม่อาจจะหยั่งได้ หรือวัดได้ “จิตหนึ่ง”นี้เท่านั้นเป็น พุทธะ ไม่มีความแตกต่างระหว่างพุทธะกับสัตว์โลกทั้งหลาย เพียงแต่ว่าสัตว์โลกทั้งหลายไปยึดมั่นต่อรูปธรรมต่างๆเสีย และเพราะเหตุนั้น เขาจึงแสวงหาพุทธะจากภายนอก การแสวงหาของสัตว์เหล่านั้นนั่นเอง ทำให้เขาพลาดจากพุทธะภาวะ
อ่านเพิ่มเติม

หยุดชั่ว มันก็ดี โดย หลวงพ่อชา สุภัทโท

หยุดชั่ว มันก็ดี โดย หลวงพ่อชา สุภัทโท

คนเราบางคน บางทีก็อยากจะเอาบุญ
เช่น ผ้ายังสกปรกอยู่…ยังไม่ได้ทำความสะอาด
แต่อยากจะย้อมสีซะแล้ว
ลองเอาผ้าเช็ดเท้าที่ยังไม่ได้ฟอกไปย้อมสีดูซิ…มันจะสวยไหม ?

การไม่กระทำบาปนั้น…มันเลิศที่สุด
บางคนบางคราว โจรมันก็ให้ได้ มันก็แจกได้
แต่ว่าจะพยายามสอนให้มันหยุดเป็นโจรนั่นนะ มันยากที่สุด

การจะละความชั่ว ไม่กระทำผิด…มันยาก
“การทำบุญ” โจรมันก็ทำได้ มันเป็น…”ปลายเหตุ”
“การไม่กระทำบาป” ทั้งหลายทั้งปวงนั้นนะ เป็น…”ต้นเหตุ”

ขอบคุณข้อมูลจาก : http://muangput.com/webboard/index.php/topic,383.0.html

ผิดในถูก โดย หลวงพ่อชา สุภัทโท

ผิดในถูก โดย หลวงพ่อชา สุภัทโท

เราเห็นแล้วว่า ถ้วยใบนี้ เอาไว้ที่ไหน…มันก็ต้องแตก
จานนี่ เอาไว้ที่ไหน…ก็ต้องแตก
แต่เราก็ต้องสอนเด็กว่า ล้างให้มันสะอาด เก็บไว้ให้ดี
เราก็ต้องสอนเด็กอย่างนี้ ตามสมมุติอย่างนี้ เพื่อเราจะใช้ถ้วยนี้นาน ๆ
อันนี้เรารู้จักธรรมะ เอาธรรมะมาปฏิบัติ

ถ้าเห็นว่า อันนี้มันจะแตกอยู่แล้ว
เราบอก เออ! ช่างมันเถอะลูก กินแล้วก็ไม่ต้องล้างมันหรอก
จะตกก็ช่างมันเถอะ ไม่ใช่ของเราหรอก
เอาทิ้งไว้ที่ไหนก็ได้ มันจะแตกอยู่แล้ว อย่างนี้ก็เป็นคนโง่ไป
อ่านเพิ่มเติม

เรื่อง อุบาสกรักษาศีลห้า กับหลวงปู่มั่น ภูริทัตโต ตายไปเกิดเป็นเทวดา

เรื่อง อุบาสกรักษาศีลห้า กับหลวงปู่มั่น ภูริทัตโต ตายไปเกิดเป็นเทวดา

เรื่องนี้ wmt ได้ถอดบทความตัดตอนมาจากเทปบันทึกเสียง เทศนาธรรมะของ พระเดชพระคุณพระวิสุทธิญาณเถร (หลวงปู่สมชาย ฐิตวิริโย) วัดเขาสุกิม ซึ่งท่านเล่าให้ พระ เณร แม่ชี ผู้ปฏิบัติธรรม ได้ฟังสมัยที่ท่านยังมีชีวิตอยู่

……แต่อาตมานี่เคยเห็น แต่ว่าเห็นมันเห็นด้วยตัวเองด้วยตาเนื้อ เห็น ลักษณะเห็นๆเป็นแบบไหน ยุคสมัยนั้น หลวงปู่มั่น ภูริทัตเถระมีชีวิตอยู่ มีแสงสว่างอันหนึ่ง เราก็ไม่ทราบว่าเป็นแสงอะไร ออกมาจากภูเขาลูกหนึ่งเป็นหัวโหนก

ถ้าไปอยู่บ้านหนองผือชี้ให้ดูได้เลย แสงอันนั้นเหมือนฟุตบอล กลมๆอย่างนั้น เป็นแสงเหมือนแสงไฟนีออน ลอย (ลากเสียงยาว)ไปอย่างนุ่มนวลช้าๆ แล้วก็ไปเวียนที่บ้านแม่ชี แล้วก็เวียนมาถึงของหลวงปู่มั่น ทีแรกก็เวียนไกลนะ และก็เวียนใกล้เข้ามา รอบสุดท้ายก็มาตรงพอดีมาดับพรึบ หอมจนขาอ่อน ไม่ใช่หอมและขาแข็งนะ หอมเหมือนๆมันบอกไม่ถูก คือเราจะเอามาเป็นคำพูดว่าหอมแบบไหน สมมุติเอามาเป็นคำพูดไม่ได้ เพราะว่าหอม ถ้าผู้ใดไปหอมด้วยกันน่ะ บอกว่าหอมนะ อันเนี้ยะพูดคำเดียวก็รู้เรื่อง เพราะว่าหอมด้วยกันมา น่ะดับลงไป
อ่านเพิ่มเติม

คำสอนสุดท้ายก่อนลาขันธ์ ของท่านพระอาจารย์มั่น ภูริทัตโต

คำสอนสุดท้ายก่อนลาขันธ์ ของท่านพระอาจารย์มั่น ภูริทัตโต

ปนิธานของหลวงปู่มั่นท่านให้น้ำหนักการสอนไปที่พระเณรมากกว่าฆราวาส ด้วยเหตุผลที่ว่า ถ้าได้พระดีแม้รูปเดียวก็จะอำนวยประโยชน์ และขยายผลออกไปได้อย่างมหาศาล ซึ่งก็เป็นที่ประจักษ์ดีอยู่แล้ว ดังจะเห็นว่าหลวงปู่ หลวงพ่อ ครูบาอาจารย์ที่เป็นศิษย์สายหลวงปู่มั่นนั้นแต่ละองค์ได้สร้างประโยชน์ให้แก่ประชาชน สังคม และพระศาสนาอย่างมหาศาล ไม่ต้องยกตัวอย่างพวกเราก็คงพอนึกออกได้เป็นอย่างดี

ในเนื้อธรรมที่แสดงในระยะเริ่มป่วยคล้ายกับเป็นการเตือนสงฆ์ว่า นับแต่ท่านเริ่มป่วยคราวนี้ เป็นการป่วยในลักษณะที่ถอดถอนรากเหง้าของเค้ามูลชีวิตธาตุขันธ์เกี่ยวกับการผสมทุกส่วนของร่างกายให้ลดความดีงามคงที่ลงเป็นของชำรุดใช้งานไม่ได้โดยลำดับ

เกี่ยวกับคำสอนในช่วงสุดท้านของหลวงปู่มั่นที่ท่านแสดงเพื่อสอนพระเณรในช่วงที่ท่านเริ่มป่วย จนกระทั่งลาขันธ์นั้น หลวงตามหาบัวได้บันทึกไว้ดังนี้
อ่านเพิ่มเติม

. . . . . . .