๒๕๕๖ ปีมหามงคล พระชันษาครบ ๑๐๐ ปี สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก

๒๕๕๖ ปีมหามงคล พระชันษาครบ ๑๐๐ ปี สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก

ผู้นำคณะสงฆ์สูงสุดแห่งโลกพระพุทธศาสนา

พุทธศักราช 2556 ปีที่หน้าประวัติศาสตร์ของวงการคณะสงฆ์ไทยต้องบันทึกถึงความสำคัญอีกครั้ง

เพราะเป็นปีที่ สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก ประมุขแห่งคณะสงฆ์ไทย จะทรงมีพระชันษาครบ 100 ปี หรือ 1 ศตวรรษ

นับเป็น สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก ที่เจริญพระชันษายิ่งยืนนานกว่าสมเด็จพระสังฆราชในอดีตที่ผ่านมา

ทั้งยังทรงดำรงตำแหน่งต่างๆทางคณะสงฆ์ยาวนานกว่าพระสงฆ์รูปอื่นๆ คือ ตำแหน่งสมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก 23 ปี ตำแหน่งเจ้าคณะใหญ่คณะธรรมยุต 24 ปี ตำแหน่งเจ้าอาวาสวัดบวรนิเวศวิหาร 51 ปี

ย้อนกลับไปเมื่อ พ.ศ.2469 จากสามเณรที่บวชแก้บน ณ วัดเทวสังฆาราม จ.กาญจนบุรี และได้เข้ามาศึกษาพระปริยัติธรรม และบวชเป็นพระสงฆ์ที่วัดบวรนิเวศวิหาร เมื่อวันที่ 15 ก.พ.2476 พระองค์ทรงปฏิบัติศาสนกิจอย่างเคร่งครัดและครบถ้วน จนกระทั่งได้รับพระ ราชทานสถาปนาขึ้นดำรงตำแหน่ง สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก ลำดับที่ 19 แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ เมื่อวันที่ 21 เม.ย. 2532

สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก ทรงสร้างประโยชน์แก่พระพุทธศาสนาและคณะสงฆ์ไทยไว้อย่างมากมาย

ในด้านการพระศาสนา ช่วงที่พระองค์ยังไม่ได้มีพระอาการประชวร จะทรงประทานพระโอวาทสั่งสอนพระภิกษุสามเณรผู้บวชใหม่อยู่ในฐานะพระอุปัชฌาย์อยู่เสมอ ทั้งยังทรงสอนกรรมฐานแก่พุทธศาสนิกชนเป็นประจำทุกวันพระ และหลังวันพระเป็นประจำ นอกจากนี้ ยังทรงเสด็จไปปฏิบัติศาสนกิจในพื้นที่ชายแดนภาคใต้ และเยี่ยมพระสงฆ์ในพื้นที่ต่างๆอยู่เสมอ เพื่อจะได้ทรงทราบปัญหาของคณะสงฆ์ ทั้งยังทรงสร้างโรงพยาบาลถวายเป็นพระอนุสรณ์เฉลิมพระเกียรติแด่สมเด็จพระสังฆราชแห่งกรุงรัตนโกสินทร์ทั้ง 18 พระองค์ขึ้นในภูมิภาคต่างๆ

ส่วนด้านการเผยแผ่พระพุทธศาสนา พระองค์ทรงเป็นผู้ริเริ่มกิจการในการเผยแผ่พระพุทธศาสนาไปยังต่างประเทศ ทรงส่งพระธรรมทูตไปฟื้นฟูพระพุทธศาสนาในอินโดนีเซีย ทั้งยังเสด็จไปให้การบรรพชาอุปสมบทกุลบุตรในอินโดนีเซีย ทำให้เกิดคณะสงฆ์เถรวาทและวัดทางพระพุทธศาสนาเถรวาทขึ้นในประเทศอินโดนีเซียเป็นครั้งแรก
อ่านเพิ่มเติม

โปรดเกล้าฯไว้ทุกข์ในพระราชสำนัก 30 วัน ถวายอาลัย “สมเด็จพระสังฆราช” 25ต.ค.ถึง23 พ.ย. วันที่ 25 ตุลาคม พ.ศ. 2556 เวลา 09:00:16 น.

โปรดเกล้าฯไว้ทุกข์ในพระราชสำนัก 30 วัน ถวายอาลัย “สมเด็จพระสังฆราช” 25ต.ค.ถึง23 พ.ย.
วันที่ 25 ตุลาคม พ.ศ. 2556 เวลา 09:00:16 น.

แถลงการณ์โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ สภากาชาดไทย
เรื่อง
พระอาการประชวรของสมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก
ขณะประทับ ณ โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ สภากาชาดไทย
ฉบับที่ ๙
************************

วันนี้ คณะแพทย์ผู้ถวายการรักษารายงานว่า สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก มีพระอาการโดยรวมทรุดลง ได้สิ้นพระชนม์ลงแล้ว เมื่อเวลา ๑๙.๓๐ นาฬิกาของวันนี้ สาเหตุเนื่องจากการติดเชื้อในกระแสพระโลหิต จึงประกาศมาเพื่อทราบโดยทั่วกัน

จึงประกาศมาเพื่อทราบโดยทั่วกัน

โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ สภากาชาดไทย
๒๔ ตุลาคม พุทธศักราช ๒๕๕๖

*******************************************************

เมื่อวันที่ 25 ตุลาคม สำนักพระราชวัง ได้ออกประกาศไว้ทุกข์ในพระราชสำนัก ความว่า

เลขาธิการพระราชวัง รับพระบรมราชโองการฯ ให้ประกาศว่า สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก สิ้นพระชนม์เนื่องจากการติดเชื้อในกระแสพระโลหิต ณ โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ สภากาชาดไทย เมื่อวันพฤหัสบดีที่ 24 ต.ค.56 เวลา 19.30 น.
อ่านเพิ่มเติม

‘สมเด็จพระสังฆราช’สิ้นพระชนม์แล้ว

‘สมเด็จพระสังฆราช’สิ้นพระชนม์แล้ว

เมื่อวันที่ 24 ตุลาคม เวลา 20.28 น. โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ สภากาชาดไทย ออกแถลงการณ์ฉบับที่ 9 เรื่องพระอาการประชวรของ สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก ขณะประทับ ณ โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ สภากาชาดไทย ความว่า

วันนี้คณะแพทย์ผู้ถวายการรักษารายงานว่า สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก มีพระอาการโดยรวมทรุดลง ได้สิ้นพระชนม์ลงแล้วเมื่อเวลา 19.30 น. วันนี้ (24 ต.ค.) สาเหตุเนื่องจากการติดเชื้อในกระแสพระโลหิต จึงประกาศมาเพื่อทราบโดยทั่วกัน

ด้านนายธงทอง จันทรางศุ ปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวภายหลังสักการะพระศพ สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก ว่า สำหรับกำหนดการในวันที่ 25 ตุลาคม อยู่ระหว่างรอทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ จากพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว โดยคาดว่าจะมีการเคลื่อนพระศพจากโรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ ในเวลา 12.00 น.และอัญเชิญพระศพประดิษฐาน ณ พระตำหนักเพ็ชร ภายในวัดบวรนิเวศวิหาร คาดว่าจะมีพิธีพระราชทานน้ำหลวงสรงพระศพในช่วงบ่ายของวันเดียวกัน

นอกจากนี้จะออกประกาศสำนักนายกรัฐมนตรี แจ้งให้ข้าราชการทั่วประเทศแต่งชุดไว้ทุกข์แสดงความอาลัยเป็นเวลา 15 วัน ส่วนสถานที่ราชการลดธงครึ่งเสาเป็นเวลา 3 วัน สำหรับประชาชนที่ต้องการไปร่วมพิธีถวายน้ำสรงพระศพหน้าพระรูป สามารถไปได้ที่อาคารมนุษยนาควิทยาทาน ภายในวัดบวรนิเวศวิหาร ตั้งแต่เวลา 13.00 น.เป็นต้นไป

ทั้งนี้ เมื่อช่วงเช้าวันเดียวกัน โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ สภากาชาดไทย ได้ออกแถลงการณ์ฉบับที่ 8 รายงานความคืบหน้าพระอาการว่า สมเด็จพระสังฆราช มีพระอาการโดยรวมทรุดลง ระดับความดันพระโลหิต อยู่ในเกณฑ์ต่ำลง คณะแพทย์และพยาบาลยังคงถวายพระโอสถ และเฝ้าถวายการตรวจรักษาอย่างใกล้ชิดและต่อเนื่องตลอด 24 ชั่วโมง
อ่านเพิ่มเติม

ในหลวงโปรดเกล้าฯ สมเด็จพระบรมฯ เสด็จฯแทนสรงน้ำพระศพ-พระราชทานพระโกศกุดั่นใหญ่ ภายใต้เศวตฉัตร 3 ชั้น “สมเด็จพระสังฆราช”

ในหลวงโปรดเกล้าฯ สมเด็จพระบรมฯ เสด็จฯแทนสรงน้ำพระศพ-พระราชทานพระโกศกุดั่นใหญ่ ภายใต้เศวตฉัตร 3 ชั้น “สมเด็จพระสังฆราช”

โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 25 ตุลาคม 2556 11:16 น.

พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว โปรดเกล้าฯ สมเด็จพระบรมฯ เสด็จฯแทนพระองค์ในการสรงน้ำพระศพ “สมเด็จพระสังฆราช” ณ วัดบวรนิเวศวิหาร พระราชทานพระโกศกุดั่นใหญ่ ภายใต้เศวตฉัตร 3 ชั้นพร้อมเครื่องประกอบพระเกียรติยศ ให้มีพิธีสวดพระอภิธรรมพระศพ 7 วัน ขณะที่บรรยากาศที่ รพ.จุฬาฯ ตั้งแต่ช่วงเช้ามีประชาชนมาร่วมสักการะพระศพอย่างเนืองแน่น เพื่อน้อมส่งเสด็จสู่พระนิพพาน ก่อนที่จะเคลื่อนพระศพในเวลา 12.15 น.

วันนี้ (25 ต.ค.) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า บรรยากาศที่โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ สภากาชาดไทย ตั้งแต่เวลา 06.00 น.เริ่มมีพุทธศาสนิกชนเป็นจำนวนมากเดินทางมารอเข้าร่วมสักการะพระศพ สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก อย่างเนืองแน่น ด้วยความรักและความอาลัยที่มีต่อพระองค์ท่าน ภายหลังทรงสิ้นพระชนม์ลงเมื่อช่วงค่ำของวันที่ 24 ต.ค. 2556 ด้วยพระอาการติดเชื้อในกระแสพระโลหิต ซึ่งก่อนที่ รพ.จุฬาลงกรณ์จะเปิดให้ประชาชนขึ้นทำการสักการะพระศพในช่วงเวลาประมาณ 07.00 น.นั้น สมเด็จพระมหารัชมังคลาจารย์ เจ้าอาวาสวัดปากน้ำ ในฐานะประธานคณะผู้ปฏิบัติหน้าที่ สมเด็จพระสังฆราช ได้เข้าทำการสักการะพระศพก่อน จากนั้นจึงเปิดให้ประชาชนขึ้นทำการสักการะจนถึงเวลา 10.30 น.
อ่านเพิ่มเติม

เคลื่อนพระศพ “สมเด็จพระสังฆราช” จาก รพ.จุฬาฯ ไปยังวัดบวรฯ

เคลื่อนพระศพ “สมเด็จพระสังฆราช” จาก รพ.จุฬาฯ ไปยังวัดบวรฯ

โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 25 ตุลาคม 2556 13:33 น.

พระศพ “สมเด็จพระสังฆราช” เคลื่อนขบวนออกจาก รพ.จุฬาลงกรณ์ ไปยังวัดบวรนิเวศวิหารแล้ว ท่ามกลางประชาชนจำนวนมากเฝ้ารอส่งพระศพด้วยความเศร้าและความอาลัยอย่างเนืองแน่น

วันนี้ (25 ต.ค.) ที่บริเวณหน้าอาคารวชิรญาณ สามัคคีพยาบาร โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ สภากาชาดไทย ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ก่อนหน้าที่จะเคลื่อนขบวนพระศพ สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก ที่ทรงสิ้นพระชนม์ด้วยพระอาการติดเชื้อในกระแสพระโลหิต เมื่อช่วงค่ำของวันที่ 24 ต.ค. 2556 ในช่วงเวลา 12.15 น.นั้น มีแพทย์ พยาบาล เจ้าหน้าที่ รพ.จุฬาลงกรณ์ และประชาชนจำนวนมากร่วมกันแต่งชุดไว้ทุกข์ เดินทางมาร่วมแสดงความอาลัยและรอส่งขบวนพระศพ สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก อย่างเนืองแน่น ด้วยความอาลัยยิ่งกับการสิ้นพระชนม์ของพระองค์

เมื่อเวลา 12.15 น. สมเด็จพระวันรัต รักษาการเจ้าอาวาสวัดบวรนิเวศวิหาร ได้อัญเชิญพระศพสมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก จากชั้น 6 อาคารวชิรญาณ สามัคคีพยาบาร มายังรถพยาบาลของ รพ.จุฬาลงกรณ์ โดยมี นายพงศ์เทพ เทพกาญจนา รองนายกรัฐมนตรี และนายธงทอง จันทรางศุ ปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี เป็นผู้ติดตามอัญเชิญพระศพ จากนั้นริ้วขบวนได้เคลื่อนออกจาก รพ.จุฬาลงกรณ์ โดยมีพระพุทธรูปประจำพระชนมวารนำขบวน และติดตามด้วยรถเจ้าหน้าที่ตำรวจ รถบัสเจ้าหน้าที่พยาบาล โดยมุ่งออกถนนราชดำริเลี้ยวซ้ายเข้าถนนพระราม 4 ข้ามสะพานลอยไทย-เบลเยียม ขึ้นทางด่วนพระราม 4 แล้วลงทางด่วนที่ยมราช เข้าถนนหลานหลวง ข้ามสะพานผ่านฟ้าลีลาศ ก่อนที่จะเลี้ยวขวาเข้าถนนพระสุเมรุ และเทียบขบวนรถที่บริเวณด้านหน้าพระตำหนักเพ็ชร วัดบวรนิเวศวิหาร

ภายหลังริ้วขบวนส่งพระศพเคลื่อนออกจาก รพ.จุฬาลงกรณ์ แล้ว ประชาชนจำนวนมากต่างมาร่วมสักการะพระฉายาลักษณ์ สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก บริเวณโถงอาคารอานันทมหิดล พร้อมรับพระฉายาลักษณ์สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก และล็อกเกตพระฉายาลักษณ์ของพระองค์อย่างเนืองแน่น

http://www.thaiday.com/QOL/ViewNews.aspx?NewsID=9560000133515

ในหลวงโปรดเกล้าฯ เพิ่มวันไว้ทุกข์ “สมเด็จพระสังฆราช”เป็น 30 วัน

ในหลวงโปรดเกล้าฯ เพิ่มวันไว้ทุกข์ “สมเด็จพระสังฆราช”เป็น 30 วัน

โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 24 ตุลาคม 2556 23:51 น.

ในหลวง โปรดเกล้าฯ ให้เพิ่มวันไว้ทุกข์ “สมเด็จพระสังฆราช”เป็น 30 วัน เริ่ม 25 ต.ค.-23 พ.ย.นี้ พร้อมถวายเกียรติยศตามพระราชประเพณีทุกประการ ด้าน “ยิ่งลักษณ์” สนองพระบรมราชโองการ ออกประกาศสำนักนายกฯให้หน่วยงานของรัฐและรัฐวิสาหกิจลดธงลงครึ่งเสา 3 วัน และไว้ทุกข์ 15 วัน ขณะที่พระธรรมทูตสายต่างประเทศรุ่นที่ 16 ออกประกาศนิมนต์พระธรรมทูตรุ่นที่ 16 ทุกรูปร่วมพิธีถวายน้ำสรงพระศพ

วันที่ 24 ต.ค.2556 เลขาธิการพระราชวัง รับพระบรมราชโองการฯ ให้ประกาศว่า สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก (เจริญ สุวฑฺฒโน) สิ้นพระชนม์ เนื่องจากการติดเชื้อในกระแสพระโลหิต ณ โรงพยาบาลจุฬากรณ์ สภากาชาดไทย เมื่อวันพฤหัสบดีที่ 24 ตุลาคม 2556 เวลา 19 นาฬิกา 30 นาที

พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทราบฝ่าละอองธุลีพระบาทด้วยความเศร้าสลดพระราชหฤทัยอย่างยิ่ง จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ไว้ทุกข์ในพระราชสำนัก 15 วัน นับตั้งแต่วันศุกร์ที่ 25 ตุลาคม 2556 ถึงวันศุกร์ที่ 8 พฤศจิกายน 2556 และโปรดเกล้าฯ ให้ประดิษฐานพระศพไว้ ณ พระตำหนักเพชร วัดบวรนิเวศวิหาร ราชวรวิหาร และถวายพระเกียรติยศ ตามราชประเพณีทุกประการ
อ่านเพิ่มเติม

ขรก.-ปชช.ยะลาร่วมไว้อาลัยสมเด็จพระญาณสังวร

ขรก.-ปชช.ยะลาร่วมไว้อาลัยสมเด็จพระญาณสังวร

เมื่อเวลา 08.00 น. วันที่ 25 ตุลาคม 2556 ผู้สื่อข่าวรายงานบรรยากาศ หลังสมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก (เจริญ สุวฑฺฒโน) สิ้นพระชนม์ โดยที่ศาลากลางจังหวัดยะลา เหล่าข้าราชการ ประชาชนในพื้นที่ จ.ยะลา ได้ร่วมแต่งกายในชุดสีดำ เพื่อเป็นการไว้อาลัยในการสิ้นพระชนม์ สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก รวมทั้งส่วนราชการต่างๆในพื้นที่ ก็ได้ลดธงชาติลงครึ่งเสา เพื่อเป็นการถวายความอาลัยด้วย

ทั้งนี้ เป็นไปตามประกาศสำนักนายกรัฐมนตรี ลงวันที่ 24 ต.ค. 56 รัฐบาลโดยนางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ได้รับทราบด้วยความโทมนัสอย่างยิ่ง และได้พิจารณาเห็นว่า โดยที่ สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก ได้บำเพ็ญสรรพกรณียกิจอันเป็นประโยชน์ยิ่งแก่บวรพระพุทธศาสนา และการปกครองคณะสงฆ์ในสังฆมณฑล ตลอดจนพุทธศาสนิกชนชาวไทย จึงให้สถานที่ราชการ หน่วยงานของรัฐ รัฐวิสาหกิจ และสถานศึกษาทุกแห่ง ลดธงครึ่งเสา เป็นเวลา 3 วันตั้งแต่วันที่ 25-27 ต.ค. 56 และให้ข้าราชการ ลูกจ้างพนักงานของส่วนราชการ หน่วยงานของรัฐ และรัฐวิสาหกิจ ไว้ทุกข์ 15 วัน นับตั้งแต่วันศุกร์ที่ 25 ตุลาคม 2556 ถึงวันศุกร์ที่ 8 พฤศจิกายน 2556 นี้

http://breakingnews.nationchannel.com/home/read.php?newsid=699717

ปชช.แน่นรพ.จุฬาฯน้อมอาลัยสมเด็จพระสังฆราช

ปชช.แน่นรพ.จุฬาฯน้อมอาลัยสมเด็จพระสังฆราช

พุทธศาสนิกชน เฝ้ารอกราบพระศพ สมเด็จพระสังฆราช เพื่อน้อมอาลัยเป็นครั้งสุดท้าย ขณะที่ บรรยากาศเป็นไปอย่างโศกเศร้า ขณะที่ 12.00 น. จะมีการเคลื่อนขบวนพระศพ เพื่อประกอบพิธีบำเพ็ญกุศลพระศพที่ วัดบวรนิเวศวิหาร

บรรยากาศที่ บริเวณตึกวชิรญาณ สามัคคีพยาบาร ร.พ.จุฬาลงกรณ์ สภากาชาดไทย ซึ่งเป็นอาคารที่ประทับใน สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก ขณะนี้ เหล่าพุทธศาสนิกชนจำนวนมาก รวมทั้ง คณะแพทย์ พยาบาลและเจ้าหน้าที่ เดินทางมาร่วมเฝ้ารอ เข้ากราบส่งเสด็จ สมเด็จพระสังฆราช ซึ่งทางโรงพยาบาล ได้เปิดโอกาสให้ประชาชนและบุคคลทั่วไปสามารถเข้ากราบถวายสักการะ เพื่อน้อมอาลัยเป็นครั้งสุดท้าย ที่บริเวณ ชั้น 6 ด้านหน้าห้องที่วางพระศพ ก่อนที่ ในเวลา 12.00 น. สำนักพระราชวัง จะมีการเคลื่อนขบวนพระศพ ออกจากโรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ เพื่อประกอบพิธีบำเพ็ญกุศลพระศพที่ วัดบวรนิเวศวิหาร ต่อไป

ซึ่งบรรยากาศกาศโดยทั่วไปในขณะนี้เป็นไปอย่างโศกเศร้า ประชาชนต่างแต่งกายด้วยชุดขาว ดำ เข้าไว้อาลัย จำนวนมาก โดยมีการเข้าแถวยาวไปถึง ริมถนนราชดำริ ด้านหน้าโรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ ขณะเดียวกัน มีเจ้าหน้าที่ตำรวจจำนวนมาก คอยดูแลรักษาความปลอดภัย

นายธงทอง จันทรางศุ ปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผย เกี่ยวกับกำหนดพระราชพิธีของ สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก ว่า เบื้องต้นในเวลาประมาณ 12.00 น. วันนี้ จะเชิญพระศพจาก ร.พ.จุฬาลงกรณ์ ไปประดิษฐานที่ ตำหนักเพ็ชร วัดบวรนิเวศ โดยประชาชนสามารถเฝ้ารับเสด็จได้ ตามเส้นทางขบวนเสด็จ จากนั้นเมื่อเชิญพระศพไปประดิษฐานแล้ว จะเปิดให้มีพิธีสรงพระศพ หน้าพระรูป อาคารมนุษยนาควิทยาทาน ภายในวัดบวรนิเวศ ส่วนพระราชพิธี ได้โปรดเกล้าโปรดกระหม่อมให้ สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร เป็นผู้แทนพระองค์ ในเวลา 17.00 น.

ด้านบรรยากาศที่วัดบวรนิเวศวิหาร เจ้าหน้าที่กรมโยธาธิการและผังเมือง เตรียมสถานที่ประดิษฐานพระศพ สมเด็จพระสังฆราช ที่ตำหนักเพชร วัดบวรนิเวศวิหาร ทั้งนี้ได้ห้ามสื่อมวลชนเข้าพื้นที่ และขอความร่วมมือประชาชนงดถ่ายภาพพระศพเด็ดขาด

http://news.voicetv.co.th/thailand/83857.html

พุทธศาสนิกชนร่วมตักบาตรฉลองพระชันษา100 ปี’พระสังฆราช’

พุทธศาสนิกชนร่วมตักบาตรฉลองพระชันษา100 ปี’พระสังฆราช’

ประชาชนทั่วประเทศร่วมประกอบพิธีทำบุญตักบาตรเพื่อถวายเป็นพระราชกุศล แด่สมเด็จพระสังฆราชฯ เนื่องในวันคล้ายวันประสูติ เจริญพระชันษา 100 ปี สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก

วันนี้(3ต.ค.56)บรรยากาศโดยรอบอาคารวชิรญาณ สามัคคีพยาบาล โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ สภากาชาดไทย ซึ่งเป็นที่ประทับของสมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปรินายก มีพุทธศาสนิกชนจำนวนมาก เดินทางมาร่วมกิจกรรม เนื่องในโอกาสมหามงคล สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราชฯ ทรงเจริญพระชนมายุ 100 พรรษา 3 ตุลาคม 2556 โดยเมื่อช่วงเช้าที่ผ่านมาสมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราชฯ ทรงเสด็จออกรับบาตรจากศิษยานุศิษย์ และประชาชนทั่วไป ที่ชั้น 6 อาคารวชิรญาณ สามัคคีพยาบาร โดยมีศิลปิน ดารา นักร้อง ร่วมรณรงค์รับบริจาคเงินผ้าป่าสามัคคี 84,000 กอง ที่สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราชฯ ทรงมีพระกรุณาธิคุณเป็นประธานจัด เพื่อโดยเสด็จพระกุศลให้โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ จัดหาอุปกรณ์ทางการแพทย์ สำหรับพระภิกษุ สามเณรอาพาธ และผู้ป่วยทั่วไป ให้อาคารภูมิสิริมังคลานุสรณ์
อ่านเพิ่มเติม

‘สมเด็จพระสังฆราช’ สิ้นพระชนม์แล้ว

‘สมเด็จพระสังฆราช’ สิ้นพระชนม์แล้ว

รพ.จุฬาลงกรณ์แถลงสมเด็จพระสังฆราชสิ้นพระชนม์เมือเวลา 19.30 น.พระชันษา 100 ปี เนื่องจากติดเชื้อในกระแสพระโลหิต โดยจะมีการเคลื่อนพระศพไปประดิษฐานพระศพตำหนักเพชร วัดบวรนิเวศวิหารในวันที่ 25 ต.ค.นี้ เวลา 12.00 น. ส่วนเวลา 08.00 น.จะเปิดให้พุทธศาสนิกชนเข้าแสดงความอาลัยต่อสมเด็จพระสังฆราชฯ ที่รพ.จุฬาฯ

ด้านนายธงทอง จันทรางศุ ปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยภายหลังเข้าสักการะพระศพ สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราชสกลมหาสังฆปริณายก ภายหลังจากคำแถลงการณ์จากโรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ สภากาชาดไทย ว่า สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราชสกลมหาสังฆปริณายก พระอาการทรุดลง และได้สิ้นพระชนม์ลงแล้ว เมื่อเวลา 19.30 น. สาเหตุเนื่องจากการติดเชื้อในพระกระแสพระโลหิต

โดยวันพรุ่งนี้ (25 ต.ค.) จะเปิดให้ประชาชนกราบสักการะพระศพเป็นครั้งสุดท้าย. ที่ตึกวชิรณาณ สามัคคีพยาบาร ตั้งแต่เวลา 9.00-12.00 น. จากนั้นจะเคลื่อนพระศพไปยังอาคารมนุษยนาควิทยาทาน วัดบวรนิเวศวิหาร เวลา 13.00 น. ในชั้นนี้ประชาชนสามารถเข้าสักการะพระศพได้ นอกจากนี้ยังประกาศไว้ทุกข์ 15 วัน และลดธงครึ่งเสา เป็นเวลา 3 วัน

แถลงการณ์โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ สภากาชาดไทย เรื่องพระอาการประชวร สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก ขณะประทับ ณ โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ สภากาชาดไทย ฉบับที่ 9

วันนี้ คณะแพทย์ผู้ถวายการรักษารายงานว่า สมสมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก มีพระอาการโดยรวมทรุดลง ได้สิ้นพระชนม์ลงแล้ว เมื่อเวลา 19.30 น.ของวันนี้ สาเหตุเนื่องจากการติดเชื้อในกระแสพระโลหิต

จึงประกาศมาเพื่อทราบโดยทั่วกัน

โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ สภากาชาดไทย

24 ตุลาคม พุทธศักราช 2556

http://news.voicetv.co.th/thailand/86084.html

พระประวัติสมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก

พระประวัติสมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก

Pipat วันพฤหัสที่ 24 ตุลาคม 2556
ข่าวทั่วไป, ข่าวเด่นประจำวัน

สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก มีพระนามเดิมว่า เจริญ คชวัตร ประสูติเมื่อวันที่ 3 ตุลาคม พ.ศ. 2456 เป็นบุตรคนโตของนายน้อย คชวัตร และนางกิมน้อย คชวัตร ชาวกาญจนบุรี พระองค์มีน้องชาย 2 คน ได้แก่ นายจำเนียร คชวัตร และนายสมุทร คชวัตร บิดาของพระองค์ป่วยเป็นโรคเนื้องอกและเสียชีวิตไปตั้งแต่พระองค์ยังเล็ก หลังจากนั้น พระองค์ได้มาอยู่ในความดูแลของป้าเฮงซึ่งเป็นพี่สาวของนางกิมน้อยที่ได้ขอพระองค์มาเลี้ยงดู

เมื่อพระชันษาได้ 8 ปี ทรงเข้าเรียนที่โรงเรียนประชาบาล วัดเทวสังฆาราม จนจบชั้นประถม 5 (เทียบเท่าชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 และ 2 ในปัจจุบัน) เมื่อ พ.ศ. 2468 ในขณะที่มีพระชันษา 12 ปี หลังจากนั้น ทรงไม่รู้ว่าจะเรียนอะไรต่อและไม่รู้ว่าจะเรียนที่ไหน ทรงเล่าว่า “เมื่อเยาว์วัยมีพระอัธยาศัยค่อนข้างขลาด กลัวต่อคนแปลกหน้า และค่อนข้างจะเป็นคนติดป้าที่อยู่ ใกล้ชิดกันมาแต่ทรงพระเยาว์โดยไม่เคยแยกจากกันเลย” จึงทำให้พระองค์ไม่กล้าตัดสินพระทัยไปเรียนต่อที่อื่น

บรรพชาและอุปสมบท

เมื่อพระองค์ยังทรงพระเยาว์นั้นทรงเจ็บป่วยออดแอดอยู่เสมอ โดยมีอยู่คราวหนึ่งที่ทรงป่วยหนักจนญาติ ๆ ต่างพากันคิดว่าคงไม่รอดแล้วและได้บนไว้ว่า ถ้าหายป่วยจะให้บวชเพื่อแก้บน แต่เมื่อหายป่วยแล้ว พระองค์ก็ยังไม่ได้บวช จนกระทั่งเรียนจบชั้นประถม 5 แล้ว พระองค์จึงได้ทรงบรรพชาเป็นสามเณรเพื่อแก้บนในปี พ.ศ. 2469 ขณะมีพระชันษาได้ 14 ปี ที่วัดเทวสังฆาราม โดยมีพระเทพมงคลรังษี (ดี พุทธฺโชติ) เจ้าอาวาสวัดเทวสังฆารามเป็นพระอุปัชฌาย์และพระครูนิวิฐสมาจาร (เหรียญ สุวณฺณโชติ) เจ้าอาวาสสวัดศรีอุปลารามเป็นพระอาจารย์ให้สรณะและศีล
อ่านเพิ่มเติม

แถลงฉ.9สมเด็จพระสังฆราชสิ้นพระชนม์

แถลงฉ.9สมเด็จพระสังฆราชสิ้นพระชนม์เวลา19.30น.
ข่าวราชสำนัก วันพฤหัสบดีที่ 24 ตุลาคม พ.ศ.2556 20:58น.

โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ สภากาชาดไทย ออกแถลงการณ์ฉบับที่ 9 สมเด็จพระสังฆราช ได้สิ้นพระชนม์ลงแล้ว เมื่อเวลา 19:30 นาฬิกา ของวันนี้ สาเหตุเนื่องจากการติดเชื้อในกระแสพระโลหิต

โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ สภากาชาดไทย ออกแถลงการณ์ฉบับที่ 9 เรื่อง สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก ขณะประทับ ณ โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ สภากาชาดไทย ความว่า

วันนี้ คณะแพทย์ผู้ถวายการรักษา รายงานว่า สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก มีพระอาการโดยรวมทรุดลง ได้สิ้นพระชนม์ลงแล้ว เมื่อเวลา 19:30 นาฬิกา ของวันนี้ สาเหตุเนื่องจากการติดเชื้อในกระแสพระโลหิต

จึงประกาศมาเพื่อทราบโดยทั่วกัน

โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ สภากาชาดไทย
24 ตุลาคม 2556

อ่านเพิ่มเติม

พระญาณสังวร สมเด็จญาณสังวร สังฆราช ทรงสิ้นพระชนม์!

พระญาณสังวร สมเด็จญาณสังวร สังฆราช ทรงสิ้นพระชนม์!

พระอาการโดยสงบ19.30 น .ติดเชื้อในกระแสพระโลหิต

สิ้นสุดพระสังฆราชองค์ที่19 ไว้ทุกข์-ลดธงครึ่งเสา15วัน

แถลงการณ์ของโรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ สภากาชาดไทยฉบับที่ 8 เรื่องพระอาการประชวรของสมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก ขณะประทับ ณ โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ สภากาชาดไทย คณะแพทย์ผู้ถวายการรักษา เผยพระอาการสมเด็จพระสังฆราชล่าสุดโดยรวมทรุดลงและความดันโลหิตต่ำ แพทย์ถวายยาต่อเนื่อง โดยคณะแพทย์ฯ และพยาบาลได้เฝ้าถวายการตรวจและติดตามการรักษาอย่างใกล้ชิดและต่อเนื่องตลอด 24 ชั่วโมง ส่วนพุทธศาสนิกชนยังคงทยอยกันเดินทางมาลงนามถวายพระพร สมเด็จพระสังฆราชอย่างต่อเนื่อง

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า วันที่ 24 ต.ค. ที่โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ สภากาชาดไทย คณะแพทย์ผู้ถวายการรักษาได้ออกแถลงการณ์เรื่อง“พระอาการประชวรของสมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก ขณะประทับ ณ โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ สภากาชาดไทย ฉบับที่ 8” มีใจความดังนี้ วันนี้ คณะแพทย์ผู้ถวายการรักษารายงานว่า สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก มีพระอาการโดยรวมทรุดลง ระดับความดันพระโลหิตอยู่ในเกณฑ์ต่ำลง คณะแพทย์ฯ และพยาบาล ยังคงถวายพระโอสถ และเฝ้าถวายการตรวจและติดตามการรักษาอย่างใกล้ชิดและต่อเนื่องตลอด 24 ชั่วโมง จึงประกาศมาเพื่อทราบโดยทั่วกัน

ผู้สื่อข่าวรายงานบรรยากาศที่บริเวณโถงชั้นล่าง ตึกอานันทมหิดล โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ สภากาชาดไทย ตั้งแต่เวลา 08.00 เป็นต้นมาได้มีประชาชน ตลอดจนคณะบุคคล รวมถึงเจ้าหน้าที่ ทยอยเดินทางมาร่วมลงนามถวายพระพรสมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายกอย่างต่อเนื่อง เช่นเดียวกับที่บริเวณชั้น 6 ตึกวชิรญาณ-สามัคคีพยาบาร ซึ่งเป็นสถานที่ประทับรักษาพระอาการประชวรของสมเด็จพระสังฆราช เมื่อเวลา 07.00 น. ได้มีประชาชนมาถวายภัตตาหารพระสงฆ์ผู้ดูแลสมเด็จพระสังฆราช พร้อมร่วมสักการะพระพุทธรูป และลงนามถวายพระพรให้พระองค์ทรงหายจากพระอาการประชวร โดยผู้ที่มาลงนามถวายพระพรจะได้รับแจกพระรูปสมเด็จพระสังฆราช พร้อมกับหนังสือพระนิพนธ์ชีวิตนี้น้อยนัก แต่ชีวิตนี้สำคัญนัก เนื่องในโอกาสทรงเจริญพระชนมายุ 100 พรรษา และล็อกเกตด้วย โดยทุกคนที่มีโอกาสมาต่างพร้อมใจกันอธิษฐานจิตขอพรให้พระองค์มีพระพลานามัยแข็งแรง อย่างไรก็ตามประชาชนยังสามารถเดินทางมาร่วมลงนามถวายพระพรได้จนถึงเวลา 17.00 น.

ผู้สื่อข่าวรายงานบรรยากาศช่วงเที่ยงที่บริเวณโถงชั้นล่าง ตึกอานันทมหิดล โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ สภากาชาดไทย ตลอดช่วงเช้าที่ผ่านมาได้มีประชาชน ตลอดจนคณะบุคคล อาทิ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผู้บัญชาการทหารบก (ผบ .ทบ.) นำแจกันดอกไม้มาถวาย และ น.พ.ปราชญ์ บุณยวงศ์วิโรจน์ อดีตปลัดกระทรวงสาธารณสุข (สธ.) นายกิตตินันท์ ผู้อำนวยการสำนักเทศกิจ กทม. นายสรจักร เกษมสุวรรณ กรรมการผู้จัดการใหญ่บริษัทการบินไทย และคณะเจ้าหน้าที่ศูนย์การแพทย์และอนามัยในพระองค์ 904 โครงการรักสายใยครอบครัว มาลงนามถวายพระพรสมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายกอย่างต่อเนื่อง

ส่วนบรรยากาศที่บริเวณตึกวชิรญาณ-สามัคคีพยาบาร ซึ่งเป็นสถานที่ประทับรักษาพระอาการประชวรของสมเด็จพระสังฆราชก็ยังมีประชาชนมาลงนามอย่างต่อเนื่องเช่นกัน

นางวิภาศิริ มะกรสาร รองประธานสภาสตรีแห่งชาติ กล่าวว่า ตั้งใจเดินทางมาสวดมนต์และอธิษฐานจิตขอพรให้พระองค์หายจากพระอาการประชวร ส่วนตัวได้น้อมนำหลักพรหมวิหาร 4 และคำสอนของพระองค์มาใช้เป็นแบบแผนในการทำงานและดำเนินชีวิตเสมอมา

ต่อมาเมื่อเวลา 21.00 วันเดียวกันนี้ สภากาชาดไทย โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ ได้ออกแถลงการณ์ฉบับที่ 9 ระบุว่า วันนี้ คณะแพทย์ผู้ถวายการรักษารายงานว่า สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก มีพระอาการโดยรวมทรุดลง ระดับความดันพระโลหิตอยู่ในเกณฑ์ต่ำลง และสิ้นพระชนม์ลงเมื่อเวลา 19.30 น.ด้วยพระอาการติดเชื้อในพระกระแสโลหิต

สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก (เจริญ สุวฑฺฒโน) (3 ตุลาคม พ.ศ. 2456—ปัจจุบัน) เป็นสมเด็จพระสังฆราชพระองค์ที่ 19 แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ สถิต ณ วัดบวรนิเวศวิหาร ทรงดำรงตำแหน่งเมื่อ พ.ศ. 2532 ในรัชกาลพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ปัจจุบันทรงเป็นสมเด็จพระสังฆราชที่มีพระชันษามากกว่าสมเด็จพระสังฆราชทุกพระองค์ในอดีตและทรงเป็นสมเด็จพระสังฆราชพระองค์แรกของไทยที่มีพระชันษา 100 ปี

สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก มีพระนามเดิมว่า เจริญ คชวัตร ประสูติเมื่อวันที่ 3 ตุลาคม พ.ศ. 2456 เป็นบุตรคนโตของนายน้อย คชวัตร และนางกิมน้อย คชวัตร ชาวกาญจนบุรี พระองค์มีน้องชาย 2 คน ได้แก่ นายจำเนียร คชวัตร และนายสมุทร คชวัตร บิดาของพระองค์ป่วยเป็นโรคเนื้องอกและเสียชีวิตไปตั้งแต่พระองค์ยังเล็ก หลังจากนั้น พระองค์ได้มาอยู่ในความดูแลของป้าเฮงซึ่งเป็นพี่สาวของนางกิมน้อยที่ได้ขอพระองค์มาเลี้ยงดู

เมื่อพระชันษาได้ 8 ปี ทรงเข้าเรียนที่โรงเรียนประชาบาล วัดเทวสังฆาราม จนจบชั้นประถม 5 (เทียบเท่าชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 และ 2 ในปัจจุบัน) เมื่อ พ.ศ. 2468 ในขณะที่มีพระชันษา 12 ปี หลังจากนั้น ทรงไม่รู้ว่าจะเรียนอะไรต่อและไม่รู้ว่าจะเรียนที่ไหน ทรงเล่าว่า “เมื่อเยาว์วัยมีพระอัธยาศัยค่อนข้างขลาด กลัวต่อคนแปลกหน้า และค่อนข้างจะเป็นคนติดป้าที่อยู่ ใกล้ชิดกันมาแต่ทรงพระเยาว์โดยไม่เคยแยกจากกันเลย” จึงทำให้พระองค์ไม่กล้าตัดสินพระทัยไปเรียนต่อที่อื่น

เมื่อพระองค์ยังทรงพระเยาว์นั้นทรงเจ็บป่วยออดแอดอยู่เสมอ โดยมีอยู่คราวหนึ่งที่ทรงป่วยหนักจนญาติ ๆ ต่างพากันคิดว่าคงไม่รอดแล้วและได้บนไว้ว่า ถ้าหายป่วยจะให้บวชเพื่อแก้บน แต่เมื่อหายป่วยแล้ว พระองค์ก็ยังไม่ได้บวช จนกระทั่งเรียนจบชั้นประถม 5 แล้ว พระองค์จึงได้ทรงบรรพชาเป็นสามเณรเพื่อแก้บนในปี พ.ศ. 2469 ขณะมีพระชันษาได้ 14 ปี ที่วัดเทวสังฆาราม โดยมีพระเทพมงคลรังษี (ดี พุทธฺโชติ) เจ้าอาวาสวัดเทวสังฆารามเป็นพระอุปัชฌาย์และพระครูนิวิฐสมาจาร (เหรียญ สุวณฺณโชติ) เจ้าอาวาสสวัดศรีอุปลารามเป็นพระอาจารย์ให้สรณะและศีล ภายหลังบรรพชาแล้วได้จำพรรษาอยู่ที่วัดเทวสังฆาราม 1 พรรษาและได้มาศึกษาพระธรรมวินัยที่วัดเสน่หา จังหวัดนครปฐม หลังจากนั้น พระเทพมงคลรังษี (ดี พุทธฺโชติ) พระอุปัชฌาย์ได้พาพระองค์ไปยังวัดบวรนิเวศวิหาร และนำพระองค์ขึ้นเฝ้าถวายตัวต่อสมเด็จพระวชิรญาณวงศ์ เจ้าอาวาสวัดบวรนิเวศวิหาร (ต่อมา คือ สมเด็จพระสังฆราชเจ้า กรมหลวงวชิรญาณวงศ์) เพื่ออยู่ศึกษาพระปริยัติธรรมในสำนักวัดบวรนิเวศวิหาร พระงอค์ทรงได้รับประทานนามฉายาจากสมเด็จพระสังฆราชว่า “สุวฑฺฒโน” ซึ่งมีความหมายว่า “ผู้เจริญดี”[2] จนกระทั่ง พระชันษาครบอุปสมบทจึงทรงเดินทางกลับไปอุปสมบทที่วัดเทวสังฆารามเมื่อ พ.ศ. 2476 ภายหลังจึงได้เดินทางเข้ามาจำพรรษา ณ วัดบวรนิเวศวิหาร กรุงเทพมหานคร เพื่อทรงศึกษาพระธรรมวินัยและที่วัดบวรนิเวศวิหารนี่เอง พระองค์ท่านได้เข้าพิธีอุปสมบทซ้ำเป็นธรรมยุติกนิกาย โดยมีสมเด็จพระสังฆราชเจ้า กรมหลวงวชิรญาณวงศ์ เป็นพระอุปัชฌาย์

ช่วงปี พ.ศ. 2547 หลังจากที่ สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช ประชวร และประทับรักษาพระองค์ ณ โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ เข้าร่วมงานพระศาสนาไม่สะดวก มหาเถรสมาคม ซึ่งเป็นองค์กรปกครองคณะสงฆ์ ได้แต่งตั้งให้ สมเด็จพระพุฒาจารย์ (เกี่ยว อุปเสโณ) เป็นผู้ปฏิบัติหน้าที่สมเด็จพระสังฆราช[11] ซึ่งสมเด็จพระสังฆราชได้มีพระบัญชาว่า “ทราบและเห็นชอบ” เมื่อวันที่ 26 มกราคม พ.ศ. 2547 ต่อมา การแต่งตั้งนั้นได้สิ้นสุดลงเพราะครบระยะเวลาที่กำหนด มหาเถรสมาคมจึงได้แต่งตั้ง คณะผู้ปฏิบัติหน้าที่สมเด็จพระสังฆราช เพื่อบริหารกิจการคณะสงฆ์แทนสมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช โดยประกอบด้วยพระราชาคณะ รวม 7 รูป จากพระอาราม 7 วัด โดยมีสมเด็จพระพุฒาจารย์ (เกี่ยว อุปเสโณ) ในฐานะมีอาวุโสสูงสุดโดยสมณศักดิ์ทำหน้าที่ประธานคณะผู้ปฏิบัติหน้าที่สมเด็จพระสังฆราช

ต่อมาเมื่อวันที่ 10 ส.ค. 2556 ที่ผ่านมาสมเด็จพระพุฒาจารย์ (เกี่ยว อุปเสโณ) เจ้าอาวาสวัดสระเกศฯ และประธานคณะผู้ปฏิบัติหน้าที่สมเด็จพระสังฆราช ได้มรณภาพลงที่โรงพยาบาลสมิติเวช เมื่อเวลา 08.41 น. เนื่องจากติดเชื้อในกระแสเลือด สิริรวมอายุ 85 ปี 64 พรรษา

ต่อมาเมื่อวันที่ 20 ส.ค.เวลา 14.00 น. ที่อาคารสมเด็จพระมหารัชมังคลาจารย์ สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ (พศ.) จ.นครปฐม มีการประชุมมหาเถรสมาคม (มส.) ซึ่งมีวาระการพิจารณาคัดเลือกประธานคณะผู้ปฏิบัติหน้าที่สมเด็จพระสังฆราช เพื่อดำรงตำแหน่งแทนสมเด็จพระพุฒาจารย์ (เกี่ยว อุปเสโณ) อดีตเจ้าอาวาสวัดสระเกศฯ กรรมการมหาเถรสมาคม เจ้าคณะใหญ่หนตะวันออก ประธานคณะผู้ปฏิบัติหน้าที่สมเด็จพระสังฆราช ซึ่งมรณภาพเมื่อวันที่ 10 ส.ค. ที่ผ่านมา โดยใช้เวลาการประชุม ประมาณ 1 ชั่วโมง 30 นาที

โดยที่ประชุมมีมติเห็นชอบให้สมเด็จพระมหารัชมังคลาจารย์ (ช่วง วรปฺญโญ) เจ้าอาวาสวัดปากน้ำภาษีเจริญ เป็นประธานคณะผู้ปฏิบัติหน้าที่สมเด็จพระสังฆราชองค์ใหม่ เนื่องจากมีความอาวุโสทางสมณศักดิ์สูงที่สุดทุกด้าน และมีความพร้อมทางด้านร่างกายพร้อมที่จะปฏิบัติหน้าที่ โดยสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติได้รายงานเรื่องดังกล่าวให้ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี รับทราบเพื่อให้สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี ทำหนังสือกราบบังคมทูลฯ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เพื่อทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ต่อไป.

มีรายงานว่า เบื้องต้นสำนักพระราชวัง มีคำสั่งให้ ข้าราชการทุกหน่วยราชการ กระทรวง ทบวง กรม ให้ลดธงครึ่งเสาเป็นเวลา 3 วัน ส่วนข้าราชการให้ไว้ทุกข์แต่งชุดดำ 15 วัน ส่วนพระราชพิธีเกี่ยวกับการปลงพระศพและบำเพ็ญพระราชกุศล ต้องรอคำสั่งจากสำนักพระราชวังอย่างเป็นทางการต่อไป.

http://www.banmuang.co.th/

พระประวัติ สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก

พระประวัติ สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก

เจ้าพระคุณสมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก (สุวัฑฒนมหาเถระ) มีพระนามเดิมว่า เจริญ นามสกุล คชวัตร ทรงมีพระชาติภูมิ ณ จังหวัดกาญจนบุรี เมื่อวันที่ ๓ ตุลาคม พุทธศักราช ๒๔๕๖ ทรงบรรพชาเป็นสามเณรเมื่อพระชนมายุ ๑๔ พรรษา ณ วัดเทวสังฆาราม กาญจนบุรี แล้วเข้ามาอยู่ศึกษาพระปริยัติธรรม ณ วัดบวรนิเวศวิหาร จนพระชนมายุครบอุปสมบท และทรงอุปสมบท ณ วัดบวรนิเวศวิหาร เมื่อวันที่ ๑๕ กุมภาพันธ์ พุทธศักราช ๒๔๗๖ โดยสมเด็จพระสังฆราชเจ้า กรมหลวง วชิรญาณวงศ์ ทรงเป็นพระอุปัชฌาย์ ได้ประทับอยู่ศึกษา ณ วัดบวรนิเวศวิหาร ตลอดมาจนกระทั่งสอบได้เป็นเปรียญธรรม ๙ ประโยค เมื่อ พุทธศักราช ๒๔๘๔
เจ้าพระคุณสมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช ทรงดำรงสมณศักดิ์มาโดยลำดับดังนี้ ทรงเป็นพระราชาคณะชั้นสามัญ พระราชาคณะชั้นราช และพระราชาคณะชั้นเทพ ในราชทินนามที่ พระโศภณคณาภรณ์ ทรงเป็นพระราชาคณะชั้นธรรมที่ พระธรรมวราภรณ์ ทรงเป็นพระราชาคณะชั้นเจ้าคณะรองที่ พระสาสนโสภณ ทรงเป็นสมเด็จพระราชาคณะที่ สมเด็จพระญาณสังวร และทรงได้รับพระราชทานสถาปนาเป็น สมเด็จพระสังฆราช ในราชทินนามที่ สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก เมื่อวันที่ ๒๑ เมษายน พุทธศักราช ๒๕๓๒ นับเป็นสมเด็จพระสังฆราช พระองค์ที่ ๑๙ แห่งกรุงรัตนโกสินทร์
เจ้าพระคุณสมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช ทรงเป็นผู้ใคร่ในการศึกษา ทรงมีพระอัธยาศัยใฝ่รู้ใฝ่เรียนมาตั้งแต่ทรงเป็นพระเปรียญ โดยเฉพาะในด้านภาษา ทรงศึกษาภาษาต่าง ๆ เช่น อังกฤษ ฝรั่งเศส เยอรมัน จีน และ สันสกฤต จนสามารถใช้ประโยชน์ได้เป็นอย่างดี กระทั่งเจ้าพระคุณสมเด็จพระสังฆราชเจ้า กรมหลวงวชิรญาณวงศ์ พระอุปัชฌาย์ของพระองค์ทรงเห็นว่า จะเพลินในการศึกษามากไป วันหนึ่งทรงเตือนว่า ควรทำกรรมฐานเสียบ้าง เป็นเหตุให้พระองค์ทรงเริ่มทำกรรมฐานมาแต่บัดนั้น และทำตลอดมาอย่างต่อเนื่อง จึงทรงเป็นพระมหาเถระที่ทรงภูมิธรรมทั้งด้านปริยัติและด้านปฏิบัติ อ่านเพิ่มเติม

ธรรมะ พระจริยาของสมเด็จพระสังฆราช

ธรรมะ พระจริยาของสมเด็จพระสังฆราช

หากจะถามว่าในบรรดาสมเด็จพระสังฆราชแห่งกรุงรัตนโกสินทร์ทั้งหมด 19 พระองค์ สมเด็จพระสังฆราชที่มีพระชันษาถึง 100 ปี มีกี่พระองค์ คำตอบ มีเพียง “หนึ่งพระองค์” เท่านั้น คือ สมเด็จพระญาณสังวร (เจริญ สุวฑฺฒโน คชวัตร) สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก พระสังฆราช องค์ที่ 19

พระจริยวัตรของพระองค์โสภณะงดงามและน่าเลื่อมใสยิ่ง พระเกียรติคุณทั้งก่อนจะได้รับการสถาปนาเป็นสมเด็จพระสังฆราช และตลอด 25 ปีในตำแหน่งประมุขสงฆ์ไทยได้ผรณาการแผ่ไพศาลทั้งในและต่างประเทศ ทว่าพระจริยาและพระเกียรติคุณมีอเนกอนันต์ มิอาจพรรณนาหมดสิ้น หลายเรื่องเป็นที่ปรากฏ แต่ก็มีหลายเรื่องที่ชาวไทยและพุทธศาสนิกชนอาจไม่เคยได้ยินที่ไหนมาก่อน และเพื่อเทิดพระเกียรติ จึงขอถ่ายทอดพระจริยาและพระเกียรติคุณจากปากของผู้ที่ถวายงานและเคยถวายงาน ใกล้ชิด

แม้สุขภาพกายไม่ดี…แต่ทรงอายุยืน

หากใครที่เคยอ่านพระประวัติของสมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช จะทราบว่าพระองค์มีพระสุขภาพไม่ค่อยดีตั้งแต่ทรงพระเยาว์ด้วยมีโรคประจำตัว แต่ใครจะคิดว่าพระองค์จะทรงปฏิบัติศาสนกิจโดยไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อยและยัง เจริญด้วยอายุถึง 100 ปี ทรงมีเคล็ดลับหรือทรงปฏิบัติพระองค์อย่างไร
อ่านเพิ่มเติม

คุณค่าของชีวิตที่ให้ไว้แก่แผ่นดิน (สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก)

คุณค่าของชีวิตที่ให้ไว้แก่แผ่นดิน (สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก)

แม้ว่าเจ้าพระคุณสมเด็จ ฯ จะทรงดำรงพระชนมชีพอยู่ในสมณเพศมาโดยตลอด แต่ความเป็นไปในพระชนมชีพของพระองค์สามารถยึดถือเป็นแบบอย่างในการดำเนินชีวิตที่ดีได้สำหรับทุกคน ไม่ว่าจะเป็นบรรพชิตหรือคฤหัสถ์ เพราะแก่นแท้ของชีวิตหรือว่าส่วนที่เป็นความดีของชีวิต ที่ควรยึดถือเป็นแบบอย่างในการสร้างความดีให้แก่ตนเองและสังคมนั้นก็คือคุณธรรม และคุณธรรมนั้นไม่ว่าจะเป็นคุณธรรมของบรรพชิตหรือคุณธรรมของคฤหัสถ์ก็คือคุณธรรมอันเดียวกัน เช่น เมตตา กรุณา ไม่ว่าจะเป็นเมตตา กรุณา ที่มีอยู่ในจิตใจของพระหรือมีอยู่ในจิตใจของชาวบ้าน ก็เป็นเมตตา กรุณา อันเดียวกัน

พระประวัติชีวิตและผลงานของเจ้าพระคุณสมเด็จ ฯ ให้สิ่งที่มีคุณค่าควรแก่การยึดถือเป็นแบบ อย่างของคนทั่วไป อย่างน้อย ๒ ประการคือ ชีวิตแบบอย่าง และปฏิปทาแบบอย่าง

ชีวิตแบบอย่าง

ชีวิตของเจ้าพระคุณสมเด็จ ฯ นั้นก็ไม่แตกต่างไปจากชีวิตของคนทั่ว ๆ ไป คือมีทั้งผิด หวังและสมหวัง มีทั้งสำเร็จและล้มเหลว มีทั้งดีใจและเสียใจ แต่โดยที่ทรงมีคุณธรรม หลายประการที่โดดเด่นเป็นแกนหรือเป็นแก่นของชีวิต ชีวิตของพระองค์จึงมีความสมหวัง มากกว่าผิดหวัง มีความสำเร็จมากกว่าความล้มเหลว และมีความดีใจมากกว่าเสียใจกล่าวโดยรวมก็คือ ด้วยคุณธรรมอันเป็นแกนของชีวิตดังกล่าวพระองค์จึงทรงประสบความสำเร็จ หรือทรง เจริญก้าวหน้าไปตามครรลองของชีวิตจนถึงที่สุด ดังเป็นที่ปรากฏอยู่ในบัดนี้ หากวิเคราะห์ ตามที่ปรากฏในพระประวัติ ก็จะเห็นได้ว่า พระคุณธรรมที่โดดเด่นในชีวิตของพระองค์ ก็คือ
อ่านเพิ่มเติม

พระเกียรติคุณ (สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก)

พระเกียรติคุณ (สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก)

คุณค่าของงาน

งานของเจ้าพระคุณสมเด็จ ฯ ดังที่ได้นำเสนอมาแต่ต้นนั้น นับว่าเป็นสิ่งที่มีคุณค่าในหลายด้าน กล่าวคือ

– ในด้านวิชาการ

– ในด้านการศึกษา

– ในด้านการปฏิบัติ

คุณค่าในด้านวิชาการ บทพระนิพนธ์ทางพระพุทธศาสนาของเจ้าพระคุณสมเด็จ ฯ ทุกเรื่อง ล้วนทรงคุณค่าในเชิงวิชาการ เพราะการอธิบายคำสอนของพระพุทธศาสนาใน แต่ละเรื่องแต่ละประเด็นนั้น เจ้าพระคุณสมเด็จ ฯ ทรงใช้การวิเคราะห์วิจารณ์อย่างน่าสนใจยิ่ง เช่น ทรงวิเคราะห์คำว่า สัจจะ ธรรม ศาสนา ปัญญา เป็นต้น ทั้งในเชิงพยัญชนะและในเชิงความหมาย ซึ่งจะทำให้เราเข้าใจคำสอนของพระพุทธศาสนาได้ละเอียดและกว้างขวางยิ่งขึ้น ทั้งการวิเคราะห์ในหลาย ๆ เรื่องของพระองค์ แสดงให้เห็นถึงพระทรรศนะและมุมมองของพระองค์ที่แตกต่างไปจากคนอื่น ซึ่งทั้งหมดนี้เป็นผลจากการทรงศึกษาพระพุทธศาสนาอย่างทั่วถึง ลึกซึ้ง ประกอบกับการทรงใช้วิจารณญาณทั้งเชิงปริยัติและเชิง ปฏิบัติตรวจสอบเทียบเคียงกัน จึงทำให้ธรรมาธิบายของพระองค์มีความแจ่มแจ้ง กะทัดรัด และเข้าใจง่าย

ผลงานอันเป็นบทพระนิพนธ์เกี่ยวกับคำสอนในพระพุทธศาสนาของเจ้าพระคุณสมเด็จ ฯ ที่ทรงคุณค่าในทางวิชาการ เป็นต้นว่า เรื่องลักษณะพระพุทธศาสนา, สัมมาทิฏฐิ, โสฬสปัญหา, ทศบารมี ทศพิธราชธรรม, ๔๕ พรรษาของพระพุทธเจ้า พระนิพนธ์เหล่านี้ล้วนแสดงคำสอนชั้นสูงของ พระพุทธศาสนา ซึ่งเจ้าพระคุณสมเด็จ ฯ ได้ทรงนำมาอธิบายเชิงวิเคราะห์ เสมือนปอกเปลือกให้เราดูทีละชั้นๆ จากชั้นนอกเข้าไปหาชั้นใน ทำให้เรามองเห็นอรรถหรือความหมายของธรรมที่พระพุทธศาสนา สอนทีละชั้น ๆ อย่างต่อเนื่อง จนสามารถสร้างความเข้าใจในธรรมนั้น ๆ ได้ด้วยปัญญาของตนเอง
อ่านเพิ่มเติม

ผลงาน (สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก)

ผลงาน (สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก)

กล่าวได้ว่า เจ้าพระคุณสมเด็จฯ ทรงเป็นพระมหาเถระผู้คงแก่เรียนพระองค์หนึ่งในยุคปัจจุบัน ทรงรอบรู้แตกฉานในพระพุทธศาสนาทั้งในด้านทฤษฎีหรือปริยัติ ทั้งในด้านปฏิบัติ ในด้านปริยัตินั้นทรงสำเร็จภูมิเปรียญธรรม ๙ ประโยคซึ่งเป็นชั้นสูงสุดทางการศึกษาของคณะสงฆ์ไทย ส่วนในด้านปฏิบัตินั้น เจ้าพระคุณสมเด็จฯ ก็ทรงเป็นพระนักปฏิบัติ หรือที่นิยมเรียกกันเป็น สามัญทั่วไปว่า พระกรรมฐาน พระองค์หนึ่งดังเป็นที่รู้กันทั่วไปในหมู่พระนักปฏิบัติและสาธุชน ผู้ไฝ่ใจในด้านนี้ ฉะนั้น ผลงานทางพระพุทธศาสนาของพระองค์จึงนับได้ว่ามีความสมบูรณ์พร้อม เป็นองค์ความรู้ที่มีความชัดเจนทั้งในเชิงทฤษฎีและในเชิงปฏิบัติ เพราะเป็นองค์ความรู้ที่ถูก กรั่นกรองออกมาจากความรู้ความเข้าใจที่มีทฤษฎีเป็นฐาน และมีการปฏิบัติด้วยพระองค์เอง เป็นเครื่องตรวจสอบเทียบเคียง เป็นผลให้องค์ความรู้ที่พระองค์แสดงออกมาทั้งในผลงานที่เป็นบท พระนิพนธ์ ทั้งในผลงานที่เป็นการเทศนาสั่งสอนในเรื่องและในโอกาสต่าง ๆ มีความลึกซึ้ง ชัดเจน และเข้าใจง่าย

ผลงานของพระองค์ที่สมควรนำมากล่าวในที่นี้ เพื่อเป็นแบบอย่างแห่งการสร้างองค์ ความรู้ทางพระพุทธศาสนา ทั้งในด้านปริยัติและในด้านปฏิบัติ แบ่งได้เป็น ๒ ส่วน คือ ด้านวิชาการ และด้านการสั่งสอนเผยแผ่

ผลงานด้านวิชาการ

เจ้าพระคุณสมเด็จ ฯ ทรงเป็นผู้ใคร่การศึกษา ฉะนั้น นอกจากจะทรงศึกษาพระปริยัติธรรม คือศึกษาภาษาบาลี ตามประเพณีนิยมทางพระพุทธศาสนาแล้ว พระองค์ยังสนพระทัยศึกษาภาษาต่างๆ อีกมากสุดแต่จะมีโอกาสให้ทรงศึกษาได้ เช่น ทรงศึกษาภาษาสันสกฤต ภาษาอังกฤษ ภาษาฝรั่งเศส ภาษาเยอรมัน ภาษาจีน แต่ส่วนใหญ่โอกาสไม่อำนวยให้ทรงศึกษาได้อย่างต่อเนื่อง การศึกษา ภาษาต่าง ๆ ของพระองค์จึงต้องเลิกราไปในที่สุด คงมีแต่ภาษาอังกฤษที่ทรงศึกษาต่อเนื่อง มาจนทรงสามารถใช้ประโยชน์ได้ทั้งในการพูด การอ่าน และการเขียน และจากความรู้ ภาษาอังกฤษนี้เองที่เป็นหน้าต่างให้พระองค์ทรงมองเห็นโลกทางวิชาการได้กว้างขวางยิ่งขึ้น ไม่จำกัด อยู่เฉพาะโลกทางพระพุทธศาสนาเท่านั้น เพราะฉะนั้น บทพระนิพนธ์ทางพระพุทธศาสนาของพระองค์ นอกจากจะแสดงให้เห็นถึงความรอบรู้ทางปริยัติและความลึกซึ้งทางปฏิบัติแล้ว บางครั้งพระองค์ก็ ยังทรงนำเอาความรู้สมัยใหม่ด้านต่าง ๆ มาประยุกต์ในการอธิบายพระพุทธศาสนาให้คนร่วม สมัยเข้าใจความหมาย และประเด็นความคิดทางพระพุทธศาสนาได้ชัดเจนยิ่งขึ้นด้วย
อ่านเพิ่มเติม

หน้าที่พิเศษ (สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก)

หน้าที่พิเศษ (สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก)

พ.ศ.๒๔๙๙ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลปัจจุบัน เสด็จออกทรงผนวชเป็น พระภิกษุในพระพุทธศาสนา และเสด็จประทับ ณ วัดบวรนิเวศวิหาร ทรงปฏิบัติสมณธรรมเป็นเวลา ๑๕ วัน จึงทรงลาผนวช

ในการเสด็จออกทรงผนวชของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวครั้งนี้ นับเป็นเหตุการณ์ สำคัญของชาติและเป็นภารกิจสำคัญของวัดบวรนิเวศวิหารที่จะต้องปฏิบัติหน้าที่ในด้านต่าง ๆ เกี่ยวกับการทรงผนวชครั้งนี้ให้ลุล่วงไปด้วยดีสมพระราชประสงค์ สมเด็จพระสังฆราชเจ้า กรมหลวงวชิรญาณวงศ์ พระราชอุปัธยาจารย์ในการทรงผนวชครั้งนี้ ได้ทรงเลือกเจ้าพระคุณสมเด็จ ฯ ขณะทรงดำรงสมณศักดิ์ที่ พระโศภนคณาภรณ์ ให้เป็นพระอภิบาล (พระพี่เลี้ยง) ในการทรงผนวช ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ซึ่งนับเป็นหน้าที่สำคัญ เพราะจะต้องทำหน้าที่เป็นผู้ถวาย คำแนะนำต่าง ๆ เกี่ยวกับการทรงผนวชแด่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว นับแต่ก่อนการทรง ผนวชจนตลอดระยะเวลาแห่งการทรงผนวช

การที่เจ้าพระคุณสมเด็จ ฯ ทรงได้รับเลือกให้ปฏิบัติหน้าที่พิเศษดังกล่าวนี้ แสดงให้เห็นว่า สมเด็จพระสังฆราชเจ้า ฯ ทรงไว้วางพระทัยในพระปฏิปทาและความสามารถของเจ้าพระคุณ สมเด็จ ฯ ว่าจะทรงปฏิบัติที่สำคัญครั้งนี้ได้เรียบร้อยสมบูรณ์ และก็ปรากฏว่า เจ้าพระคุณสมเด็จ ฯ ได้ทรง ปฏิบัติหน้าที่พระอภิบาลสนองพระเดชพระคุณได้เรียบร้อยสมบูรณ์ทุกประการ
อ่านเพิ่มเติม

ด้านสาธารณสงเคราะห์ (สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก)

ด้านสาธารณสงเคราะห์ (สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก)

การก่อสร้างถาวรวัตถุอันเป็นประโยชน์ต่อสาธารณชนดังกล่าวมาข้างต้น นับเป็นส่วนหนึ่ง ของงานสาธารณสงเคราะห์ของเจ้าพระคุณสมเด็จ ฯ ยังมีงานสาธารณสงเคราะห์ของเจ้าพระคุณ สมเด็จ ฯ ในลักษณะอื่น ๆ อีกมากที่ควรนำมากล่าวในที่นี้ คือ

ทรงตั้งกองทุนชื่อว่า “นิธิน้อย คชวัตร” เพื่อเป็นอนุสรณ์แก่พระชนกชนนีของพระองค์ซึ่ง มีนามว่าน้อยด้วยกัน สำหรับเป็นทุนส่งเสริมการศึกษาของภิกษุสามเณรและเยาวชน เจ้าพระคุณ สมเด็จ ฯ มักทรงปรารภว่า “เราไม่มีโอกาสเรียน จึงอยากส่งเสริมคนอื่นให้ได้เรียนมาก ๆ”

โดยเฉพาะพระชนนี คือนางน้อยนั้น เจ้าพระคุณสมเด็จ ฯ ได้แสดงกตัญญูสนองคุณ โดยนำมาอุปการะดูแลอยู่ที่วัดบวรนิเวศวิหารเป็นเวลากว่า ๑๐ ปี จนถึงแก่กรรม เมื่อ พ.ศ.๒๕๐๘ เจ้าพระคุณสมเด็จฯ ทรงรักเคารพพระชนนีมาก (พระชนกถึงแก่กรรมตั้งแต่พระองค์ทรงเยาว์วัย) พระชนนีเย็บอาสนะผ้าถวายพระองค์ผืนหนึ่ง แต่ครั้งยังเป็นพระเปรียญเพื่อทรงใช้สอย และทรง ใช้มาตลอด แม้จะเก่าแล้วก็ทรงวางไว้ใต้อาสนะผืนใหม่ที่ทรงใช้ เมื่อทรงได้รับสถาปนาเป็นสมเด็จ พระสังฆราชแล้ว อาสนะผืนดังกล่าวพระองค์ก็โปรด ให้วางไว้ใต้ที่บรรทม เคยมีเด็กจะเอาไปทิ้ง เพราะเห็นเป็นผ้าเก่า ๆ มีรับสั่งว่า “นั่นของโยมแม่ เอาไว้ที่เดิม” อีกเรื่องหนึ่งที่แสดงถึงความผูกพัน ระหว่างเจ้าพระคุณสมเด็จ ฯ กับพระชนนี คือเจ้าพระคุณสมเด็จ ฯ เคยเสวยหมากเป็นประจำ เพราะพระชนนีทำถวายทุกวัน เมื่อพระชนนีถึงแก่กรรม (ขณะทรงดำรงสมณศักดิ์ที่ พระสาสนโสภณ) ก็หยุดเสวยหมายแต่นั้นมา
อ่านเพิ่มเติม

. . . . . . .