ธรรมะโอวาท หลวงพ่อสุดใจ ทันตมโน วัดป่าบ้านตาด จ.อุดรธานี

ธรรมะโอวาท หลวงพ่อสุดใจ ทันตมโน วัดป่าบ้านตาด จ.อุดรธานี

พอบวชเริ่มภาวนา
ใจได้รับความสุขสงบเย็นแบบที่ไม่เคยเป็นมาก่อน
นึกย้อนถามตัวเองว่า
ถ้าเรานั่งอยู่มีคนเดินมาด่าเรา เราจะโกรธมั๊ย
คนทั่วไปที่ไม่รับการฝึกอบรมจิตใจมา
ย่อมมีความโกรธเป็นธรรมดา
แต่คนที่ได้รับการฝึกฝนมาจะไม่โกรธ
กลับสงสารว่า…เค้าไม่เคยเจอความสุขที่แท้จริง
เค้าน่าสงสาร
ถ้าเรารักตัวเอง เราจะไม่ส่งจิตออกไปให้ใจโกรธ
แต่จะมีสติรักษาจิตให้มีความสุข สงบเย็น….

หลวงพ่อสุดใจ ทันตมโน
วัดป่าบ้านตาด จ.อุดรธานี

ขอบคุณข้อมูลจาก : http://muangput.com/webboard/index.php/topic,767.0.html?PHPSESSID=qumilbnabtq0v0emi63rilp5b2

ความเสื่อมไปแห่งสังขาร โดย หลวงปู่ชา

ความเสื่อมไปแห่งสังขาร โดย หลวงปู่ชา

ความเสื่อมไปแห่งสังขาร

เสื่อมไปอย่างไร เปรียบเหมือนก้อนน้ำแข็ง แต่ก่อนมันเป็นน้ำเขาเอามาทำให้เป็นก้อน แต่มันก็อยู่ไม่นานหรอกมันก็เสื่อมไป เอาก้อนน้ำแข็งใหญ่ๆเท่าเทปนี้ไปวางไว้กลางแจ้ง จะดูความเสื่อมของก้อนน้ำแข็งก็เหมือนสังขารนี้ มันจะเสื่อมทีละน้อยทีละน้อย ไม่กี่นาทีไม่กี่ชั่วโมงก้อนน้ำแข็งก็จะหมด ละลายเป็นน้ำไป นี่เรียกว่าเป็นขะยะวัยยัง ความสิ้นไป ความเสื่อมไปแห่งสังขารทั้งหลาย เป็นมานานแล้ว ตั้งแต่มีโลกขึ้นมา เราเกิดมา เราเก็บเอาสิ่งเหล่านี้มาด้วยไม่ใช่ว่าเราทิ้งไปไหน พอเกิดเราเก็บเอาความเจ็บ ความแก่ ความตายมาพร้อมกัน

ดังนั้นองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านจึงตรัสไว้ว่า ขะยะ-วัยยัง ความสิ้นไปเสื่อมไปของสังขารทั้งหลาย เรานั่งอยู่บนศาลานี้ทั้งอุบาสก อุบาสิกา ทั้งพระ ทั้งเณร ทั้งหมดนี้ มีแต่ก้อนเสื่อมทั้งนั้นนี่ที่ก้อนมันแข็ง เปรียบเช่นก้อนน้ำแข็ง แต่ก่อนเป็นน้ำ มันเป็นก้อนน้ำแข็งแล้วก็เสื่อมไป เห็นความเสื่อมมันไหม ดูอาการที่มันเสื่อมซี ร่างกายของเรานี่ทุกส่วนมันเสื่อม ผมมันก็เสื่อมไป ขนมันก็เสื่อมไปเล็บมันก็เสื่อมไป หน้ามันก็เสื่อมไป อะไรทุกอย่างมันเสื่อมไปทั้งนั้น

ขอบคุณข้อมูลจาก : http://muangput.com/webboard/index.php/topic,856.0.html?PHPSESSID=qumilbnabtq0v0emi63rilp5b2

เรียนตามแบบ รบนอกแบบ

เรียนตามแบบ รบนอกแบบ

ตามที่ได้ทราบข่าวมีพระนักปริยัติบางรูป ท่านค้นคว้าตามตำรา เพราะได้เรียนมามาก อาตมาว่าทดลองดูเถอะ การกางแบบ กางตำราทำนี่ ถึงเวลาเรียน เรียนตามแบบ แต่เวลารบ รบนอกแบบ ไปรบตามแบบมันสู้ข้าศึกไม่ไหว ถ้าเอากันจริงจังแล้วต้องรบนอกแบบ เรื่องมันเป็นอย่างนั้น ตำรานั้น ท่านทำไว้พอเป็นตัวอย่างเท่านั้น บางทีอาจทำให้เสียสติก็ได้ เพราะพูดไปตามสัญญา สังขาร ท่านไม่เข้าใจว่าสังขารมันปรุงแต่งทั้งนั้น เดี๋ยวนี้ลงไปพื้นบาดาลโน่น ไปพบปะพญานาค เวลาขึ้นมาก็พูดกับพญานาค พูดภาษาพญานาค พวกเราไปฟังมันไม่ใช่ภาษาพวกเรา มันก็เป็นบ้าเท่านั้นเอง

ครูบาอาจารย์ท่านไม่ให้ทำอย่างนั้น เรานึกว่าจะดิบจะดี มันไม่ใช่อย่างนั้น ที่ท่านพาทำนี้มีแต่ส่วนละส่วนถอนเรื่องทิฏฐิมานะ เรื่องเนื้อเรื่องตัวทั้งนั้น อาตมาว่าการปฏิบัตินี้ก็ยากอยู่ ถึงอย่างไรก็อย่าทิ้งครูทิ้งอาจารย์ เรื่องจิตเรื่องสมาธินี่หลงมากจริงๆ เพราะสิ่งที่ไม่ควรจะเป็นไปได้ แต่มันเป็นขึ้นมาได้เราจะว่าอย่างไร อาตมาก็ระวังตัวเองเสมอ

หลวงปู่ชา สุภัทโท
วัดหนองป่าพง

ปฏิบัติสมาธิให้สงบอย่างแท้จริง โดย หลวงพ่อชา สุภัทโท

ปฏิบัติสมาธิให้สงบอย่างแท้จริง โดย หลวงพ่อชา สุภัทโท

ปฏิบัติทำไมมันถึงยากถึงลำบาก เพราะว่ามันอยาก พอไปนั่งสมาธิปุ๊บก็ตั้งใจว่าอยากจะให้มันสงบ ถ้าไม่มีความอยากให้สงบก็ไม่นั่งไม่ทำอะไร พอเราไปนั่งก็อยากให้มันสงบ เมื่ออยากให้มันสงบ ตัววุ่นวายก็เกิดขึ้นมาอีก ก็เห็นสิ่งที่ไม่ต้องการเกิดขึ้นมาอีก มันก็ไม่สบายใจอีกแล้ว นี่มันเป็นอย่างนี้

ฉะนั้น พระพุทธเจ้าท่านสอนว่า อย่าพูดให้เป็นตัณหา อย่ายืนให้เป็นตัณหา อย่านั่งให้เป็นตัณหา อย่านอนให้เป็นตัณหา อย่าเดินให้เป็นตัณหา ทุกประการนั้นอย่าให้เป็นตัณหา ตัณหาแปลว่าความอยาก ถ้าไม่อยากจะทำอะไรเราก็ไม่ได้ทำ อันนั้นปัญญาของเราไม่ถึง ทีนี้มันก็เลยอู้เสีย ปฏิบัติไปไม่รู้จะทำอย่างไร พอไปนั่งสมาธิปุ๊บ ก็ตั้งความอยากไว้แล้ว

อย่างพวกเราที่มาปฏิบัติอยู่ในป่านี้ ทุกคนต้องอยากมาใช่ไหม นี่จึงได้มา อยากมาปฏิบัติที่นี้ มาปฏิบัตินี่ก็อยากให้มันสงบ อยากให้มันสงบก็เรียกว่าปฏิบัติเพราะความอยาก มาก็มาด้วยความอยาก ปฏิบัติก็ปฏิบัติด้วยความอยาก เมื่อมาปฏิบัติแล้วมันจึงขวางกัน ถ้าไม่อยากก็ไม่ได้ทำ จึงเป็นอยู่อย่างนี้ จะทำอย่างไรกับมันล่ะ
อ่านเพิ่มเติม

ธุดงค์ผจญสัตว์ร้าย ยอมสละชีพได้เพื่อพระธรรม โดย หลวงปู่จันทา ถาวโร

ธุดงค์ผจญสัตว์ร้าย ยอมสละชีพได้เพื่อพระธรรม โดย หลวงปู่จันทา ถาวโร

เหตุการณ์เกิดขึ้นในปี พ.ศ. ๒๔๙๖ อันเป็นพรรษาที่ ๔ ของท่าน
ในช่วงนอกพรรษาที่ ๔ นั้นหลวงปู่ได้ไปภาวนาตามป่าเขาที่ทุรกันดารหลายต่อหลายแห่ง

“สมัยนั้นป่าไม้ ภูเขา มันก็รกชัฏ สัตว์มันก็มีหลายประเภทหลายชนิด
นั่นแหละ เป็นเหตุให้เตรียมตัวพร้อมอยู่ทุกเมื่อ เตรียมตัวอยู่เสมอ เป็นเหตุให้ตื่นต่อความตายอยู่เสมอ”

หลวงปู่เล่าถึงสิ่งที่ครูบาอาจารย์ของท่านสอนไว้

“ถ้าไปอยู่ป่าเขาลำเนาไพรนั้น อย่านอน กลางวันก็อย่านอน กลางคืนก็อย่านอน
เดิน ยืน นั่ง ทำความเพียรอยู่อย่างนั้น ความสงบของจิตก็จะเกิดขึ้น
สงบเยือกเย็นดี มีอารมณ์เดียว เพราะสถานที่เหล่านั้นมันห่างไกลจากหมู่บ้าน”
อ่านเพิ่มเติม

ขัดเกลากิเลสด้วยธรรมะ โดย หลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโณ

ขัดเกลากิเลสด้วยธรรมะ โดย หลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโณ

” ธรรมะเป็นอาวุธสำคัญที่กิเลสหวั่นไหวเกรงกลัวเพราะรู้ทันกลอุบายของมันผู้ปฏิบัติจะมีความอิ่มแห่งธรรมเหมือนอิ่มอาหาร จะเข้าใจกันเอง ไม่ต้องถามเพราะธรรมเป็นของอิ่มพอ แต่กิเลสมันไม่เคยมีความอิ่ม มันหิวกระหายอยู่เป็นนิจ คนเราถ้ามีกิเลสเต็มตัวแล้ว มันก็เหมือนหมูเราดี ๆ นี่เอง กินแล้วนอน ๆ จนอ้วนพีเขาก็นำไปขึ้นเขียงสับบั่นเท่านั้น ฉะนั้นผู้ปฏิบัติธรรมเขาจึงไม่เลี้ยงกิเลส เขาทำลายกิเลสทั้งนั้น พระอริยเจ้าทั้งหลายในอดีตที่ผ่านมาท่านรู้ทันกิเลสเมื่อกิเลสโผนมา ธรรมะโผนไป กิเลสโหดร้าย ธรรมะโหดดี อยากรบต้องออกแนวรบ นักปฏิบัติคือนักรบ เป็นต้องเป็นตายต้องตาย จึงจะเอากิเลสอยู่ กิเลสมีเท่าไหร่ ธรรมต้องมีเท่านั้น ”

ขอบคุณข้อมูลจาก : http://muangput.com/webboard/index.php/topic,882.0.html?PHPSESSID=qumilbnabtq0v0emi63rilp5b2

การพิจารณากาย : หลวงปู่เจี๊ยะ จุนฺโท

การพิจารณากาย : หลวงปู่เจี๊ยะ จุนฺโท

พระธรรมเทศนา
ของ
พระครูสุทธิธรรมรังษี
หลวงปู่เจี๊ยะ จุนฺโท
วัดป่าภูริทัตตปฏิปทาราม
ต.คลองควาย อ.สามโคก จ.ปทุมธานี
เรื่อง การพิจารณากาย
แสดงไว้เมื่อวันที่ ๑๓ สิงหาคม พ.ศ. ๒๕๒๔

ลำดับต่อไปจะได้บรรยายธรรมะอันเป็นแนวทางปฏิบัติของบรรดาพุทธบริษัททั้งหลาย
วันนี้บังเอิญฝนตก คนก็น้อย กัณฑ์เทศน์ก็ไม่ค่อยมี เสียงมันก็ไม่ค่อยขึ้น (หัวเราะ)

การแสดงธรรมเป็นสิ่งที่ยาก ไม่เหมือนองค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า
ท่านรู้วาระ รู้จิตใจของบรรดาพุทธบริษัททั้งหลาย
เพราะฉะนั้นการเทศน์ก็ยังเข้าไปสู่จิตใจของบุคคลผู้นั้นให้เห็นเหตุเห็นผล
ได้บรรลุธรรมวิเศษเกิดขึ้นในขณะที่ฟังธรรมก็มีจำนวนมากๆ เป็นเช่นนั้น
เพราะว่าเป็นสัพพัญญู รู้แจ้งของใจของมนุษย์ทั้งหลาย
อย่างบรรดาเราก็เหมือนกัน ฟังๆ ไปอย่างนั้น
ผู้เทศน์ก็ไม่สันทัด ผู้ฟังบางทีก็สันทัด ไม่สันทัดก็มี
ก็ว่าตามความจริงอย่างนั้น
อ่านเพิ่มเติม

พุทโธในใจ โดย หลวงปู่สิม พุทฺธาจาโร

พุทโธในใจ โดย หลวงปู่สิม พุทฺธาจาโร

“..พุทโธในใจ หลงใหลทำไม ไม่ต้องหลง ไม่ต้องลืม นั่งก็พุทโธในใจ
นอนก็พุทโธในใจ ยืนก็พุทโธในใจ เดินไปไหนมาไหน ก็พุทโธในใจ
กิเลสโลเล ละให้หมด โลเลทางตา โลเลทางหู
โลเลทางจมูก ทางกลิ่น โลเลในอาหารการกิน เลิกละให้หมด….”

หลวงปู่สิม พุทฺธาจาโร

กุสลา ธมฺมา นั้นเป็นเครื่องเตือนจิตใจ

กุสลา ธมฺมา นั้นเป็นเครื่องเตือนจิตใจ

เรื่อง กุสลา ธมฺมา นั้นเป็นเครื่องเตือนจิตใจ
ของพี่น้องชาวไทยเราทั่วหน้ากัน
ได้พากันระลึกแล้วหรือยัง

กุสลา ธมฺมา คือหมายความว่า
ธรรมที่ยังบุคคลให้มีความเฉลียวฉลาด
อกุสลา ธมฺมา สิ่งที่ทำบุคคลให้โง่
ถ้าใครเจริญทาง อกุสลา ธมฺมา ก็โง่เข้าไปโดยลำดับ
โง่ไม่มีหยุดสิ้นสุดยุติลงได้ โง่ตั้งกัปตั้งกัลป์
กอบโกยเอาความทุกข์ไปจากความโง่ตั้งกัปตั้งกัลป์
ตลอดไปเรื่อยๆ
ถ้าผู้มี กุสลา ภายในใจ ระลึกถึงเรื่องความเป็นความตาย
ระลึกถึงบาปถึงบุญในหัวใจของเรา
พอที่จะได้เป็นข้อคิดต่างๆ บ้าง
ตามสายธรรมพระพุทธเจ้าทรงสั่งสอนมาเป็นเวลานาน
เราจะพอมีเครื่องยึดเครื่องเกาะในจิตใจของเรา
อ่านเพิ่มเติม

การตัดกรรมตัดเวร โดย หลวงพ่อพุธ ฐานิโย

การตัดกรรมตัดเวร โดย หลวงพ่อพุธ ฐานิโย

การตัดกรรม คือ การหยุดทำความชั่วหยุดทำบาป ส่วนการตัดเวร คือ การหยุดการพยาบาทอาฆาตจองเวรซึ่งกันและกัน คือไม่แก้แค้นซึ่งกัน และกันรู้จักคำว่าให้อภัยซึ่งกันและกัน และผู้ที่ทำผิดก็ให้รู้จักคำว่าขอโทษ ผู้ที่ถูกขอโทษก็รู้จักคำว่าให้อภัย อันนี้เป็นอุบายตัดกรรมตัดเวร

พระพุทธเจ้าสอนไว้ว่าใครทำกรรมใดไว้ย่อมได้รับผลของกรรมนั้นแน่นอนหลีกเลี่ยงไม่ได้
กัมมัสสะโกมหิ (เรามีกรรมเป็นของๆตน)
กัมมะทายาโท (เราจะต้องรับผลของกรรมนั้น)
กัมมะโยนิ (เรามีกรรมนำเกิด)
กัมมะพันธุ (เรามีกรรมเป็นเผ่าพันธุ์พวกพ้อง)
กัมมะปะฏิสะระโน (เรามีกรรมเป็นที่พึ่งที่อาศัย)
ยัง กัมมัง กะริสสามิ (เราทำกรรมอันใดไว้)
กัลยาณัง วา ปาปะกัง วา (เป็นบุญหรือเป็นบาป)
ตัสสะ ทายาโท ภะวิสสามิ (เราจะต้องรับผลของกรรมนั้น)
อภิณหัง ปัจจะเวกขิตัพพัง (พึงพิจารณาเห็นเนืองๆดังนี้)
ไปทำพิธีตัดกรรมก็เป็นการลบล้างคำสอนของพระพุทธเจ้า
อ่านเพิ่มเติม

กรรมนิมิต – คตินิมิต โดย หลวงปู่เทสก์ เทสรังสี

กรรมนิมิต – คตินิมิต โดย หลวงปู่เทสก์ เทสรังสี

แสดงธรรม ณ วัดหินหมากเป้ง จ.หนองคาย
วันที่ ๒ มกราคม พ.ศ. ๒๕๑๖

กรรมในทางพุทธศาสนาท่านแสดงไว้ตามตำราหลายอย่าง ผู้สนใจศึกษาตามตำรับตำราก็พอเข้าใจและได้ความรู้กว้างขวาง เพราะท่านแสดงไว้ดีหมดทุกอย่าง วันนี้จะแสดงเฉพาะเรื่องกรรมที่ติดตามคน หรือกรรมที่จะนำคนให้ไปเกิดในคตินั้นๆ นั่นคือ กรรมนิมิต กับ คตินิมิต

กรรม หมายความถึง การกระทำ คนเรานั้นกายกับใจเป็นเกลอกัน อยู่ร่วมกันสนิทสนมกลมเกลียวกันดีที่สุด จะทำอันใดพร้อมเพรียงกันทุกสิ่ง ไม่ว่าจะทำชั่วทำดี ทำบาปทำบุญ พร้อมเพรียงกันทุกประการ แต่เวลากายแตกดับ กายไม่ได้รับผิดชอบสิ่งที่เกิดจากการทำร่วมกันนั้น ใจเป็นผู้รับผิดชอบคนเดียว ที่ว่าไม่ได้รับผิดชอบในที่นี้หมายความถึงว่ากายไม่ได้รับกรรม เพราะเมื่อแตกดับหรือตายแล้วทอดทิ้งไว้ในดิน กลายเป็นดิน น้ำ ไฟ ลมไปตามเดิม เรียกว่ารูปสลายไปตามสภาพของมัน ไม่ได้รับรู้ด้วย
อ่านเพิ่มเติม

กิเลสในโลกปัจจุบัน โดย หลวงตามหาบัว วัดป่าบ้านตาด

กิเลสในโลกปัจจุบัน โดย หลวงตามหาบัว วัดป่าบ้านตาด

เทศน์อบรมฆราวาส ณ วัดป่าบ้านตาด
เมื่อวันที่ ๑๖ กรกฎาคม พุทธศักราช ๒๕๔๙
หลังจังหัน
(ถวายเครื่องเล่นเทป ซีดีแล้วก็รับวิทยุได้ครับ) มีทางจะเสียไหมล่ะ พวกวิทยุ เทวทัตโทรทัศน์เราขยะ เตรียมการไว้ต้อนรับกันอยู่แล้ว เราเบื่อพระทั่วประเทศไทยเรานี่ นับแต่หลวงตาบัวหัวโล้นๆ ไป มันมีแต่วิทยุเทวทัต เริ่มมาตั้งแต่หนังสือพิมพ์ วิทยุ โทรทัศน์เทวทัต วิดีโอ โทรศัพท์มือถือ นี้ล้วนแล้วตั้งแต่เป็นข้าศึกของพระในวัดๆ แต่เวลานี้มันเต็มอยู่ในวัดๆ ฟังซิน่ะ พระมันหูหนวกตาบอดหรือมันเป็นยังไง เรียนมาด้วยกัน มหาเปรียญ เจ้าฟ้าเจ้าคุณถึงขั้นสมเด็จ สิ่งเหล่านี้เกลื่อนอยู่ในห้องมันนั่นแหละ เป็นยังไงพระเหล่านี้น่ะ หัวโล้นๆ นี่น่ะ มันเป็นยังไง มันไม่ดูเหรอหลักธรรมหลักวินัยของศาสดาองค์เอก มันเหยียบหัวพระพุทธเจ้าไปตลอดเวลา เวลานี้วัดกลายเป็นส้วมเป็นถาน พระเณรกลายเป็นมูตรเป็นคูถเต็มไปหมดที่ไหนๆ ก็ดี ส่วนที่ตั้งใจเพื่อศีลเพื่อธรรมนี้มีน้อยมาก ที่ปฏิบัติตัวเป็นมูตรเป็นคูถอยู่ในส้วมในถานคือวัดมีมากต่อมาก อ่านเพิ่มเติม

การแผ่เมตตา โดย หลวงปู่แหวน สุจิณฺโณ วัดดอยแม่ปั๋ง

การแผ่เมตตา โดย หลวงปู่แหวน สุจิณฺโณ วัดดอยแม่ปั๋ง

การแผ่เมตตาคือส่งความปรารถนาดีแก่คน สัตว์ ศัตรูหมู่มาร โดยแผ่ไปให้ทั่วจักรวาล ยิ่งแผ่มาก ก็ยิ่งทำให้ใจสบาย รักชีวิตและทรัพย์สิน คนอื่นเหมือนกับของตนเอง สังคมก็จะมีความสุขสงบอย่างถ้วนทั่ว

หลวงปู่แหวนแนะวิธีแผ่เมตตาให้บังเกิดผล โดยให้ทำตนและจิตใจเหมือนมารดาที่เลี้ยงลูก ให้ความรัก ความเอ็นดูสงสาร มุ่งหวังจะให้ลูกสุขกายสบายใจ มีอาชีพการงาน มีวิชาเลี้ยงตนเอง ได้ ความรักที่แม่ให้กับลูกเป็นความรักที่บริสุทธิ์ไม่มีพิษภัย และไม่ต้องการผลตอบแทนจากลูก มีแต่ให้อย่างเดียว

ถ้าเราแผ่เมตตาเหมือนกับพระอาทิตย์ส่องแสง เมตตานั้นจะมีพลังสูงยิ่ง เพราะธรรมชาติของพระอาทิตย์ขณะที่ส่องแสงไม่ได้เลือกชุมชน สรรพสัตว์ยากดีมีจน อยู่ที่สูงหรือที่ต่ำ จะใกล้หรือไกล ก็ได้รับความร้อนเท่ากัน เมตตาธรรมก็เช่นกัน ขอให้แผ่ไปให้แก่ชนทุกชั้นทุกระดับ ใครจะรับได้มากน้อย สุดแต่วาสนาบารมีของผู้นั้น…

ขอบคุณข้อมูลจาก : http://muangput.com

ส้วมเคลื่อนที่ โดย หลวงปู่แหวน สุจิณโณ

ส้วมเคลื่อนที่ โดย หลวงปู่แหวน สุจิณโณ

ภายใต้หนังกำพร้าของคนเรามีแต่ความโสโครก น่าเกลียดน่าสะอิดสะเอียน
มีอวัยวะภายใน เช่น ตับ ไต ไส้น้อย ไส้ใหญ่ กระเพาะ น้ำเลือด น้ำเหลือง น้ำหนอง น้ำดี อุจจาระ ปัสสาวะ เหงื่อไคล ขังอยู่ภายในร่างกายโดยมีหนังกำพร่าห่อหุ้มอยู่ ถ้าลอกหนังออกจะเห็นร่างมีเลือดไหลโซมกาย เนื้อที่ปราศจากผิวหนังห่อหุ้มจะมองไม่เห็นความสวยสดงดงามเลย มองแล้วอยากจะอาเจียนมากกว่าน่ารัก ที่พอจะมองเห็นว่าสวยงามก็ตรงผิวหนังห่อหุ้มเท่านั้น ผิวหนังนี้ก็ใช่ว่าจะเกลี้ยงเกลาเสมอไปไม่ คนเราต้องคอยอาบน้ำชำระล้างทุกวันเพราะสิ่งโสโครกเหงื่อไคลภายในหลั่งไหลออกมาลบเลือนความผุดผ่องของผิวกายอยู่ตลอดวันถ้าไม่คอยชำระล้างก็จะสกปรกเหม็นสาบน่ารังเกียจ ทางช่องทวารขับถ่ายอุจจาระปัสสาวะก็หลั่งไหลออกมาตามกำหนดเวลาของมันทุกวัน น่ารังเกียจ เลอะเทอะโสมม ซึ่งเจ้าของไม่ปรารถนาจะแตะต้องทั้งๆ ที่เป็นของในกายของตัวเองยิ่งพิจารณาไปคนเราก็คือส้วมเคลื่อนที่ หรือป่าช้าที่บรรจุซากศพเคลื่อนที่ และเป็นผีเน่าที่เดินได้ดีๆ นี่เอง

หลวงปู่แหวน สุจิณโณ
วัดดอยแม่ปั๋ง จ.เชียงใหม่

ขอบคุณข้อมูลจาก : http://muangput.com

ตั้งหลักไว้ โดย หลวงปู่แหวน สุจิณโณ

ตั้งหลักไว้ โดย หลวงปู่แหวน สุจิณโณ

25570313-235521.jpg

ตั้งหลักไว้ อดีต-อนาคตเป็นธรรมเมา…ปัจจุบันเป็นธรรมโม
ระลึกไว้เสมอว่า ดับ ละ วาง ในปัจจุบัน…จึงเป็นธรรมโม
เมื่อจิตอยู่ในปัจจุบันธรรม
แต่ถ้าหากอดีต-อนาคตเกิดขึ้นแล้วก็ต้องดับลงไป…

ต้องหมั่นต้องพยายามเข้าหาจดของจริง
อดีต-อนาคต-ปัจจุบัน สามอย่างนี้แหละเป็นทางเดินของจิต
ความโลภ ความโกรธ ความหลง
ราคะ กิเลส ตัณหา ก็เกิดขึ้นในใจนี้แหละ
แสดงออกจากใจนี้ ให้น้อมเข้ามา ๆ
ถึงอย่างนั้นกิเลสทั้งหลายก็ยังทำลายคุณความดีได้เหมือนกัน
แต่ถ้ามีสติความชั่วเหล่านั้นก็ดับไป…

:: หลวงปู่แหวน สุจิณโณ

ขอบคุณข้อมูลจาก : http://muangput.com

พระครูอาทรธรรทวินัย “หลวงปู่จอม นาคเสโน”

หลวงปู่จอม นาคเสโน
อายุ 90 ปี

เกิดเมื่อ7 ตุลาคม 2462
ที่จังหวัดอำนาจเจริญ

พระครูอาทรธรรทวินัย “หลวงปู่จอม นาคเสโน”
วัดป่าบ้านดอนดู่ ตำบลน้ำปลีก อำเภอเมือง จังหวัดอำนาจเจริญ
เจ้าของพระคาถาอายุวัฒนะศิษย์สายหลวงปู่มั่น ภูริทัตโต

พระครูอาทรธรรมวินัย “หลวงปู่จอม นาคเสโน” เกิดเมื่อวันที่ 7 ตุลาคม 2462 ในตระกูลชาวนา ตำบลน้ำปลีก อำเภอเมือง จังหวัดอำนาจเจริญ
ศรัทธาเลื่อมใสพระปฏิบัติสายพระธรรมยุติ คือ สายพระอาจารย์มั่น ภูริทัตโต เป็นอย่างมาก จึงได้อุปสมบทในสายพระธรรมยุติ เมื่ออายุ 37 ปี หลังจากสำเร็จนักธรรมเอกแล้วพิจารณาเห็นว่า การปฏิบัติธรรม การนั่งสมาธิ การเดินธุดงควัตร เป็นหนทางแห่งความสงบ ความสำเร็จ จึงได้เดินทางไปกราบนมัสการ ครูบาอาจารย์พระอาจารย์มั่น ภูริทัตโต และตระเวรธุดงค์ไปกราบนมัสการ หลวงปู่ขาว อนาลโย หลวงปู่แหวน สุจิณโน ได้ทราบข่าวว่า พระองค์ไหนมีชื่อเสียงก็เดินทางไปพบเพื่อศึกษาเวทย์วิทยาและได้รับพระคาถาอายุยืน “อายุวัฒนะ” จากหลวงปู่พลเอกหลวงศรี ที่ จังหวัดสกลนคร โดยได้ปฏิบัติตามที่ครูบาอาจารย์สั่งสอนมาอย่างเคร่งครัดกระทั่งปัจจุบัน

อ่านเพิ่มเติม

หลวงปู่มั่น ภูริทัตโต สอนเรื่องการกินเจ…

หลวงปู่มั่น ภูริทัตโต สอนเรื่องการกินเจ…

“คนเรามันไม่ได้วิเศษเพราะการกินผักกินเนื้อนะ
แต่มันวิเศษด้วยการกินเพราะการพินิจพิจารณาโดยแยบคาย อันผักหญ้าเนื้อนั้นมันไม่ได้รู้เรื่องดี เรื่องชั่ว เหมือนคนเรา จิตเราดอก

พระธรรมคำสอนแง่หนักเบาต่างหาก ที่เรานำมาพินิจพิจารณา แล้วนำมาสอนตนจะทำให้เราดีขึ้นได้ เรื่องกิน อยู่หลับนอน อะไรๆ พระพุทธเจ้าพระองค์ก็ทรงบัญญัติไว้หมดแล้ว ไม่เห็นจะมีปัญหาอะไรกับกินเจ ไม่กินเจ กินเนื้อ ไม่กินผัก กินแต่ผักไม่กินเนื้อ อันไหนกินได้ ฉันได้ ท่านก็บัญญัติไว้หมดแล้ว

ถ้าท่านคิดว่าการกินแต่ผักทำให้ท่านเลิศเลอเป็นผู้วิเศษขึ้นมาได้ อันนี้ผมก็สุดปัญญาที่จะสอนท่าน ถ้าการกินแต่ผักอย่างท่านว่า เป็นผู้บริสุทธิ์สิ้นกิเลสจบพรหมจรรย์ได้ มนุษย์ไม่ได้สิ้นกิเลสหรอกวัวควายเป็นต้นนั่นแหละมันจะสิ้นก่อน เพราะมันไม่ได้กินเนื้อ มันกินแต่ผักแต่หญ้า เต็มปากเต็มพุงมันกินแต่ผักแต่หญ้า ทำไมลูกมันถึงเต็มท้องไร่ทุ่งนา
อ่านเพิ่มเติม

ในวันที่หลวงปู่มั่น ภูริทตฺโตบรรลุธรรมขั้นสูงสุด

ในวันที่หลวงปู่มั่น ภูริทตฺโตบรรลุธรรมขั้นสูงสุด
คัดจากโครงการหนังสือบูรพาจารย์
ท่านหลวงตามหาบัว ญาณสมฺปนฺโน ได้เขียนบรรยายตามที่ท่านได้ฟังมาจากหลวงปู่มั่นโดยตรงดังนี้

ในเวลาไม่นานนักนับแต่ท่าน(หลวงปู่มั่น) ออกรีบเร่งตักตวงความเพียรด้านมหาสติมหาปัญญา ซึ่งเป็นสติปัญญาธรรมจักรหมุนรอบตัวและรอบสิ่งที่เกี่ยวข้องไม่มีประมาณตลอดเวลา
ในคืนวันหนึ่งเวลาดึกสงัด ท่านนั่งสมาธิภาวนาอยู่ชายภูเขาที่มีหินพลาญกว้างขวางและเตียนโล่ง อากาศก็ปลอดโปร่งดี ท่านว่าท่านนั่งอยู่ใต้ร่มไม้ซึ่งตั้งอยู่โดดเดี่ยวเพียงต้นเดียวมีใบดกหนาร่มเย็นดี ซึ่งในตอนกลางวันท่านก็เคยอาศัยนั่งภาวนาที่นั้นบ้างในบางวัน…นับแต่ตอนเย็นไปตลอดจนถึงยามดึกสงัดของคืนวันนั้น ท่านว่าใจมีความสัมผัสรับรู้กับปัจจยาการคือ อวิชชาปัจจยาสังขาร เป็นต้นเพียงอย่างเดียว ทั้งเวลานั่งเข้าที่ภาวนาจึงทำให้ท่านสนใจจุดนั้น โดยมิได้สนใจกับธรรมหมวดอื่นใด ตั้งหน้าพิจารณาอวิชชาอย่างเดียวแต่แรกเริ่มนั่งสมาธิภาวนา โดยอนุโลมกลับไปกลับมาอยู่ภายใน อันเป็นที่รวมแห่งภพชาติ กิเลสตัณหา มีอวิชชาเป็นตัวการ
อ่านเพิ่มเติม

ฝนมหัศจรรย์ ประสบการณ์โลกทิพย์ในการออกธุดงค์ของพระอาจารย์มั่นภูริทัตโต (ตอนที่ ๓๗) ตอนจบ

ฝนมหัศจรรย์

ประสบการณ์โลกทิพย์ในการออกธุดงค์ของพระอาจารย์มั่นภูริทัตโต (ตอนที่ ๓๗) ตอนจบ

?

พอจวนถึงวันงานฌาปนกิจท่าน พระเณรและประชาชนต่างก็หลั่งไหลมาจากทุกทิศทุกทาง

ทั้งใกล้และไกลจนเจ้าหน้าที่คอยต้อนรับแทบเป็นลมรับไม่หวาดไม่ไหว หาที่พักให้ไม่พอ

กับจำนวนคนและจำนวนพระเณรที่มาวัดต่าง ๆ ในตัวจังหวัดเต็มหมด ส่วนประชาชนนั้นพัก

แน่นโรงแรมทุกแห่ง ที่พักอยู่ตามทุ่งนาก็มีเป็นหมื่น เป็นกองเกวียนคาราวานมาจากถิ่นต่าง ๆ

เหมือนงานนมัสการพระธาตุพนมไม่มีผิด พระธุดงค์ที่มาจากป่าจากเขาจำนวนพัน ๆ

รูปนั้นกางกลดอยู่ในป่ารอบ ๆ วัดมองเห็นกลดขาวเปรี๊ยะไปทั้งป่า
อ่านเพิ่มเติม

ดับขันธ์ ประสบการณ์โลกทิพย์ในการออกธุดงค์ของพระอาจารย์มั่นภูริทัตโต (ตอนที่ ๓๖)

ดับขันธ์

ประสบการณ์โลกทิพย์ในการออกธุดงค์ของพระอาจารย์มั่นภูริทัตโต (ตอนที่ ๓๖)

ขึ้น 14 ค่ำ เดือน 4 หน้าแล้งตกประมาณเดือนมีนาคม ปี 2492 พระอาจารย์มั่นเริ่มป่วยและเริ่มลาวัฏฏสังสาร อาการเริ่มแรกมีไข้และไอผสมกันเล็กน้อย ต่อมาอาการไข้ก็กำเริบไปทั้งวันทั้งคืน บรรดาศิษย์ทั้งหลายก็ถวายหยูกยาให้ฉัน แต่พระอาจารย์มั่นไม่ยอมฉัน และยังแสดงความรำคาญเวลาสาธุชนหลั่งไหลนำหยูกยาต่าง ๆ มาถวาย

ท่านพระอาจารย์มั่นกล่าวว่า เวลานี้อาตมาอายุจะเต็ม 80 ปีแล้ว อาการป่วยไข้ครั้งนี้เป็นไข้คนแก่เฒ่าชะแรแก่ชราธรรมดาของโลก ถึงเวลาที่สังขารร่างกายของอาตมาจะหมดสิ้นการสืบต่อใด ๆ แล้วเมื่อสามปีก่อนอาตมาเคยบอกไว้ว่า อายุ 80 จะลาสังขารจากโลกนี้ไป บัดนี้ก็ถึงเวลาที่จะไปแล้วขอให้ทุกคนอย่าได้เศร้าโศกเสียใจอาลัยเลย หยูกยาขนานใดจะมารักษาอาตมาก็ไม่มีทางหายหรอก มีแต่ฟืนสำหรับเผาเท่านั้นจะเข้ากันได้สนิทกับสังขารอาตมา
อ่านเพิ่มเติม

. . . . . . .