ประวัติหลวงพ่อเกษม เขมโก (โดยสังเขป) หน้า 7/8

ประวัติหลวงพ่อเกษม เขมโก (โดยสังเขป) หน้า 7/8

แม่เฮาบ่เอาแล้ว เฮาบ่เหมาะสมกับวัด เฮาชอบความวิเวก เฮาขออยู่อย่างวิเวกต่อไป เฮาจะไปอยู่ที่ป่าเหี้ยว แม่อาง จนทำให้โยมแม่หมดปัญญา ไม่รู้จะขอร้องยังไง ผลที่สุดก็ต้องตามใจหลวงพ่อ วันรุ่งขึ้นหลวงพ่อเกษมก็ออกจากศาลาวังทานเดินทางไปบ้านแม่อางด้วยเท้าเปล่า เช้ามืดไปถึงป่าเหี้ยวแม่อางก็ค่ำพอดี ฝ่ายโยมมารดาพอกลับมาบ้านก็เกิดคิดถึงพระลูกชาย เพราะเกรงว่าพระลูกชายจะลำบากจึงออกจากบ้านไปตามหาพระลูกชาย โดยมีคนติดตามไปด้วยชื่อ โกเกตุ โยมแม่สั่งให้โกเกตุขนของสัมภาระเพื่อจะไปอยู่บนดอย ของที่เหลือในร้านเพชรพลอยแจกให้ชาวบ้านจนหมดเกลี้ยง ไม่เอาอะไรเลย นอกจากของใช้ที่จำเป็นบางอย่างเท่านั้น

เกตุ พงษ์พันธุ์ ซึ่งเป็นญาติใกล้ชิดก็พาโยมแม่ไปส่งที่แม่อาง และพวกชาวบ้านเห็นโยมแม่ของหลวงพ่อมาก็สร้างตูบกระท่อมอยู่ข้างวัดแม่อาง ส่วนหลวงพ่อเข้าบำเพ็ญภาวนาในป่าช้าบนดอยแม่อาง บำเพ็ญภาวนาบารมีวิปัสสนาปฏิบัติธรรมได้หนึ่งพรรษา ทิ้งให้โยมแม่ซึ่งอยู่กระท่อมตีนดอยก็คิดถึงพระลูกชาย โดยแม่ก็ตามไปหาที่ป่าช้าข้างเนินดอย ก็มีชาวบ้านแถวนั้นอาสาสร้างตูบกระท่อมให้โยมแม่พักใกล้ ๆ ที่หลวงพ่อปฏิบัติ ธรรม โดยมแม่บัวจ้อนได้พำนักที่ข้างเนินดอยได้พักหนึ่ง ก็ล้มป่วยลงด้วยโรคไข้ป่า ชาวบ้านก็ไปตามหมอทหารมาฉีดยารักษาให้ แต่โยมแม่ท่านมีสติที่เข้มแข็ง และยังได้สั่งเสียเณรเวทย์ว่ามีเงินซาวเอ็ดบาท ให้เก็บไว้ถ้าโยมแม่ตายให้เณรไปบอกลุงมา เมื่อสั่งเสร็จโยมแม่ก็หลับตา เณรเวทย์ก็ไปบอกหลวงพ่อเกษม หลวงพ่อก็มา ท่านได้นั่งดูอาการของโยมแม่ท่านนั่งสวดมนต์ เป็นที่น่าแปลกใจขณะที่หลวงพ่อสวดมนต์ มีผึ้งบินมาวนเวียนตอมไปตอมมาสักครู่ใหญ่ ๆ โยมแม่ก็ถอดจิตอย่างสงบ นัยน์ตาหลวงพ่อเกษมมีน้ำตาค่อย ๆ ไหลขณะที่ท่านแผ่บุญกุศลให้กับโยมแม่ ท่านยังเอ่ยว่า “แหม เฮาว่า เฮาจะบ่ไห้(ร้องไห้) แล้วนา…”

http://mongkhonkasem.com/kasem_p7.html

ประวัติหลวงพ่อเกษม เขมโก (โดยสังเขป) หน้า 6/8

ประวัติหลวงพ่อเกษม เขมโก (โดยสังเขป) หน้า 6/8

เรื่องการลาออกจากการเป็นเจ้าอาวาสของครูบาเจ้าเกษม เขมโก นี้ดูค่อนข้างจะเป็นเรื่องแปลกพิสดาร แม้แต่การสละตำแหน่งลาภยศ ท่านยังต้องประสบกับอุปสรรคต่าง ๆ นานา ไม่เหมือนกับพระองค์อื่น ๆ ที่ฟันฝ่าเพื่อแสวงหาลาภยศ เมื่อท่านลาออกไม่สำเร็จประมาณปี พ.ศ.2492 ก่อนเข้าพรรษาในปีนั้น หลวงพ่อก็หนีออกจากวัดบุญยืนก่อนเข้าพรรษา เพียงวันเดียวโดยไม่มีใครรู้ พอเช้าวันรุ่งขึ้นเข้าพรรษา หมู่ศรัทธาก็นำอาหารมาเตรียมถวายในวิหาร ทุกคนรอแล้วรอเล่าก็ไม่เห็นหลวงพ่อเกษม จึงเกิดความวุ่นวายเที่ยวตามหาตามกุฏิก็ไม่พบหลวงพ่อเกษม พอมาที่ศาลาทุกคนเห็นกระดาษวางบนธรรมาสน์ เป็นข้อความที่หลวงพ่อเกษมเขียน ลาศรัทธาชาวบ้านยาวถึง 2 หน้ากระดาษ

ข้อความบางตอนที่จำได้มีอยู่ว่า ทุกอย่างเราสอนดีแล้ว อย่าได้คิดไปตามเรา เพราะเราสละแล้วการเป็นเจ้าอาวาส เปรียบเหมือนหัวหน้าครอบครัวต้องรับผิดชอบภาระหลายอย่าง ไม่เหมาะสมกับเรา เราต้องการความวิเวกจะไม่ขอกลับมาอีก แต่พวกชาวบ้านก็ไม่ละความพยายาม เพราะชาวบ้านเหล่านี้ศรัทธาในตัวหลวงพ่อพอรู้ว่าหลวงพ่ออยู่ที่ไหนเมื่อรวมกันได้ 40-50 คน ก็ออกเดินทางไปตามหาหลวงพ่อเกษม และไปพบหลวงพ่อที่ศาลาวังทาน หลวงพ่อเกษมได้ปฏิบัติธรรมที่นั่น พวกชาวบ้านได้อ้อนวอนหลวงพ่อขอให้กลับวัด บางคนร้องไห้เพราะศรัทธาในตัวหลวงพ่อมาก แต่หลวงพ่อเกษมท่านก็นิ่งไม่พูดไม่ตอบ จนพวกชาวบ้านต้องยอมแพ้ ตลอดพรรษาปี 2492 หลวงพ่อเกษมท่านก็อยู่ที่ศาลาวังทานโดยไม่ยอมกลับวัดบุญยืน

พวกชาวบ้านจึงพากันเข้าไปพบโยมแม่ของหลวงพ่อ โยมแม่รักหลวงพ่อเกษมมาก เพราะท่านมีลูกชายคนเดียว จึงให้คนพาไปหาหลวงพ่อที่ศาลาวังทาน โดยมี (เจ้าประเวทย์ ณ ลำปาง) ตอนนั้นยังบวชเป็นสามเณรอยู่ โยมแม่ได้ขอร้องให้หลวงพ่อเกษมกลับวัด แต่หลวงพ่อกลับบอกโยมแม่ว่า

http://mongkhonkasem.com/kasem_p6.html

ประวัติหลวงพ่อเกษม เขมโก (โดยสังเขป) หน้า 5/8

ประวัติหลวงพ่อเกษม เขมโก (โดยสังเขป) หน้า 5/8

จนกระทั่งถึงช่วงเข้าพรรษา ที่พระภิกษุจำเป็นต้องยุติการท่องธุดงค์ชั่วคราว ต้องอยู่กับที่ ณ ที่ใดที่หนึ่ง จะเป็นวัดอาราม หรือถือเอาป่าช้าเป็นวัด โดยกำหนดเขตเอาตามพุทธบัญญัติ ดังนั้นภิกษุเจ้าเกษม เขมโก จึงต้องแยกทางกับอาจารย์ คือ ครูบาแก่น ตั้งแต่นั้นมาภิกษุเจ้าเกษม เขมโก กลับมาจำพรรษาที่วัดบุญยืนตามเดิม พอครบกำหนดออกพรรษาภิกษุเกษม เขมโก ก็ติดตามอาจารย์ของท่าน คือครูบาแก่น ออกธุดงค์บำเพ็ญภาวนา ท่านถือปฏิบัติเช่นนี้เรื่อยมา

ต่อมาเจ้าอธิการคำเหมย เจ้าอาวาสวัดบุญยืนถึงแก่มรณภาพลง ทำให้ตำแหน่งเจ้าอาวาสวัดบุญยืนว่าง ทางคณะสงฆ์จึงต้องเลือกภิกษุที่มีคุณสมบัติมาปกครองดูแลวัด เพื่อเป็นเจ้าอาวาสสืบต่อไป คณะสงฆ์จึงได้ประชุมกันและต่างลงความเห็นพ้องต้องกันว่า ควรจะเป็นภิกษุเกษม เขมโก เพราะเป็นพระที่มีคุณสมบัติเหมาะสมกับตำแหน่งเจ้าอาวาส เมื่อท่านได้รับเลือกเป็นเจ้าอาวาสวัดบุญยืน ท่านก็ไม่ยินดียินร้าย แต่ท่านก็ห่วงทางวัด เพราะท่านเคยจำวัดนี้ ท่านก็เห็นว่าบัดนี้ทางวัดบุญยืนมีภารกิจต้องดูแล ก็ถือว่าเป็นภารกิจทางศาสนาเพราะท่านเองต้องการให้พระศาสนานี้ดำรงอยู่ จึงไม่อาจจะดูดายภารกิจนี้ได้ จึงยอมรับตำแหน่งเจ้าอาวาสวัดบุญยืน

ครูบาเจ้าเกษม เขมโก อยู่ในตำแหน่งเจ้าอาวาสวัดบุญยืนเรื่อยมาจนถึงปี พ.ศ.2492 ท่านก็ตัดสินใจลาออกจากตำแหน่งเจ้าอาวาส ทำหนังสือลาออกกับพระเดชพระคุณท่านเจ้าพระอินทรวิชาจารย์ (ท่านเจ้าคุณอิน อดีตเจ้าคณะจังหวัดลำปาง) แต่ก็ถูกท่านเจ้าคุณยับยั้งไว้ ครูบาเจ้าเกษม เขมโก จึงจำใจกลับไปเป็นเจ้าอาวาสวัดบุญยืนอีกระยะหนึ่งนานถึง 6 ปี ท่านคิดว่าควรจะหาภิกษุที่มีคุณสมบัติมาแทนท่าน เพราะท่านอยากจะออกธุดงค์ ดังนั้นท่านจึงตัดสินใจสละตำแหน่งเจ้าอาวาสวัดบุญยืน โดยยื่นใบลากับคณะสงฆ์ในเขตปกครอง ก็ไม่เป็นผลสำเร็จ จึงเดินทางไปลาออกกับเจ้าคณะจังหวัด ซึ่งอยู่ที่วัดเชียงราย แต่ท่านเจ้าคณะจังหวัดก็ไม่อนุญาต

http://mongkhonkasem.com/kasem_p5.html

ประวัติหลวงพ่อเกษม เขมโก (โดยสังเขป) หน้า 4/8

ประวัติหลวงพ่อเกษม เขมโก (โดยสังเขป) หน้า 4/8

เมื่อสำเร็จทางด้านปริยัติพอควรแล้ว สามารถนำไปปฏิบัติได้โดยไม่หลงทาง ท่านจึงหันมาปฏิบัติต่อไปจนแตกฉาน แค่นั้นยังไม่พอ พระภิกษุเกษม เขมโก ได้เสาะแสวงหาครูบาอาจารย์ ที่มีความรู้และมีความเชี่ยวชาญในด้านนี้ จนกระทั่งได้ทราบข่าวภิกษุรูปหนึ่งมีชื่อเสียงในด้านวิปัสสนา ภิกษุรูปนี้ คือ ครูบาแก่น สุมโน อดีตเจ้าอาวาสวัดประตูป่อง

ครูบาแก่น สุมโน เป็นพระภิกษุสายวิปัสสนา ถือธุดงค์เป็นวัตร หรือที่เรียกกันว่า พระป่า หรือภาษา ทางการเรียกว่า พระภิกษุฝ่ายอรัญญวาสี ตอนนั้นครูบาแก่น ท่านได้ธุดงค์แสวงหาความวิเวกทั่วไป ยึดถือป่าเป็นที่บำเพ็ญเพียร นอกจากมีชื่อเสียงในด้านวิปัสสนาแล้ว ท่านยังเก่งรอบรู้ในด้านพระธรรมวินัยอย่างแตกฉานอีกด้วย

พระภิกษุเกษม เขมโก จึงเดินทางไปขอฝากตัวเป็นศิษย์ และได้อธิบายความต้องการที่จะศึกษาในด้านวิปัสสนาให้ครูบาแก่นฟัง ครูบาแก่น สุมโน เห็นความตั้งใจจริงของภิกษุเกษม เขมโก ท่านจึงรับไว้เป็นศิษย์ และได้นำภิกษุเกษม เขมโก ออกท่องธุดงค์ไปแสวงหาความวิเวก และบำเพ็ญเพียรตามป่าลึกตามที่ภิกษุเกษม เขมโก ต้องการ จึงถือได้ว่า ครูบาแก่น สุมโน รูปนี้เป็นอาจารย์ทางวิปัสสนากรรมฐานรูปแรกของ พระภิกษุเจ้าเกษม เขมโก อ่านเพิ่มเติม

ประวัติหลวงพ่อเกษม เขมโก (โดยสังเขป) หน้า 3/8

ประวัติหลวงพ่อเกษม เขมโก (โดยสังเขป) หน้า 3/8

เมื่อออกจากโรงเรียนก็ไม่ได้เรียน อยู่บ้าน 2 ปี ใน พ.ศ.2468 อายุขณะนั้นได้ 13 ปี เจ้าเกษม ณ ลำปาง ก็ได้มีโอกาสเข้าสู่ร่มกาสาวพัสตร์ โดยบรรพชาเป็นสามเณร เนื่องในโอกาสบรรพชาหน้าศพ (บวชหน้าไฟ) ของเจ้าอาวาสวัดป่าดั๊ว ครั้นบวชได้เพียง 7 วันก็ลาสิกขาออกไป ต่อมาอีก 2 ปี ราว พ.ศ.2470 ขณะนั้นมีอายุ 15 ปี เจ้าเกษม ณ ลำปาง ก็ได้มีโอกาสเข้าสู่ร่มกาสาวพัสตร์อีกครั้งหนึ่ง โดยบรรพชาเป็นสามเณรอยู่ที่วัดบุญยืน จ.ลำปาง เมื่อบรรพชาแล้วสามเณรเจ้าเกษม ณ ลำปาง ก็ได้จำพรรษาศึกษาพระธรรมวินัยที่วัดบุญยืนนั่นเอง สามเณรเจ้าเกษม ณ ลำปาง เป็นคนที่ทำอะไรจริงจัง เรียนทางด้านปริยัติศึกษาธรรมะจนถึง ปี พ.ศ.2474 สามเณรเจ้าเกษม ก็สามารถสอบนักธรรมชั้นโทได้ ครั้นมีอายุได้ 21 ปี อายุครบที่จะอุปสมบทเป็นพระภิกษุได้แล้ว จึงได้เข้าพิธีอุปสมบทเป็นพระภิกษุในปี พ.ศ.2475 ณ พัทธสีมาวัดบุญยืน โดยมีพระเดชพระคุณ ท่านเจ้าคุณพระ ธรรมจินดานายก (ฝ่าย) เจ้าอากาสวัดบุญวาทย์วิหาร ซึ่งดำรงตำแหน่งเจ้าคณะอำเภอในขณะนั้นเป็นพระอุปัชฌาย์ พระคุณเจ้าท่านพระครูอุตตรวงศ์ธาดา หรือที่ชาวบ้านเหนือรู้จักกันในนาม ครูบาปัญญาลิ้นทอง เจ้าอาวาสวัดหมื่นเทศ และดำรงตำแหน่งเจ้าคณะอำเภอเมือง จังหวัดลำปางในขณะนั้น เป็นพระกรรมวาจาจารย์ และยังพระเดชพระคุณ ท่านพระธรรมจินดานายก(อุ่นเรือน) เจ้าอาวาสวัดป่าดั๊วเป็นพระอนุสาวนาจารย์ ได้รับฉายาว่า เขมโก แปลว่า ผู้มีธรรมอันเกษม อ่านเพิ่มเติม

ประวัติหลวงพ่อเกษม เขมโก (โดยสังเขป) หน้า 2/8

ประวัติหลวงพ่อเกษม เขมโก (โดยสังเขป) หน้า 2/8

ขณะนั้นไม่มีใครทราบกันเลย ตนบุญ ที่ครูบาศรีวิชัยได้พยากรณ์ไว้นั้นได้ถือกำเนิดขึ้นแล้ว บิดามารดาก็ได้ตั้งชื่อทารกนั้น เกษม ณ ลำปาง เพราะเด็กชายเกษม ณ ลำปาง ได้เกิดมาในเชื้อสายของเจ้าทางเหนือ จึงได้รับการยกย่องของคนทั่วไป ทุกคนต่างเรียกกันว่า เจ้าเกษม ณ ลำปาง หลังจากที่ได้คลอดบุตรมาได้ไม่กี่ปี เจ้าแม่บัวจ้อนได้ให้กำเนิดทารกอีกคน แต่เป็นเพศหญิง ซึ่งมีศักดิ์เป็นน้องของ เจ้าเกษม สืบสายเลือด แต่ทว่าเจ้าแม่น้อยคนนี้วาสนาน้อย ได้เสียชีวิตตั้งแต่ยังเด็ก จึงไม่มีโอกาสได้รูว่าพี่ชายของเธอคือ ตนบุญ ที่ชาวลำปางรอคอยเป็นสิบ ๆ ปี

ข้อมูลตรงนี้ คุณพัลลภ ทิพย์วงศ์ ซึ่งมีศักดิ์เป็นหลานหลวงปู่เกษม โดยคุณแม่ของคุณพัลลภ เป็นพี่สาวแท้ ๆของโยมแม่หลวงปู่ ได้ทักท้วงมาว่า ที่แท้จริงแล้ว เจ้าแม่บัวจ้อน ได้ให้กำเนิดทารกน้อยอีกคนหนึ่ง เป็นเพศชาย ชื่อ “สวาสดิ์” และได้เสียชีวิตแต่เล็ก โดยมีหลักฐานใบเกิดเก็บไว้กับญาติใกล้ชิด ระบุชื่อ เพศ วันเดือนปีเกิด คือ เกิดเมื่อวันที่ ๔ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๔๕๘ ร.ศ. ๑๓๔ ตรงกับวันพุธ แรม ๗ ค่ำ จุลศักราช ๑๒๗๗ จึงได้ทักท้วง เพื่อให้ผมแก้ไขข้อมูลที่ถูกต้องเป็นจริง จึงต้องขอขอบคุณ คุณพัลลภ ไว้ ณ ที่นี้ (อ.เล็ก พลูโต – ๓๐ ตุลาคม ๒๕๔๗)

เมื่อวัยเด็ก เจ้าเกษม ณ ลำปาง เป็นคนมีลักษณะค่อนข้างเล็กบอบบาง ผิวขาวแต่ดูเข้มแข็ง คล่องแคล่ว และมีสติปัญญาเฉลียวฉลาด เป็นเด็กที่ชอบซน คืออยากรู้อยากเห็น เมื่อถึงวัยเรียน เจ้าเกษม ณ ลำปาง ได้รับการศึกษาระดับประถมที่โรงเรียนบุญทวงศ์อนุกูล ซึ่งเป็นโรงเรียนประจำ อ.เมือง จ.ลำปาง สมัยนั้นเปิดเรียนชั้นสูงสุดแค่ชั้นประถมปีที่ 5 เท่านั้น เจ้าเกษม ณ ลำปาง ได้ศึกษาจนจบชั้นสูงของโรงเรียน คือชั้นประถมปีที่ 5 ใน พ.ศ.2466 ขณะนั้นอายุ 11 ปี

http://mongkhonkasem.com/kasem_p2.html

ประวัติหลวงพ่อเกษม เขมโก (โดยสังเขป) หน้า 1/8

ประวัติหลวงพ่อเกษม เขมโก (โดยสังเขป) หน้า 1/8

“ท่าน เขมโกภิกขุ” หลวงปู่เกษม หรือ หลวงพ่อเกษม เขมโก ที่เราท่านเคารพบูชา และรำลึกภาวนา ขอบารมีจากท่านช่วยคุ้มครอง ปกป้องจากอันตราย ยามเมื่อเกิดความทุกข์ ไม่ว่าจะอยู่ที่ใด เพราะบารมี หลวงพ่อที่เพียรเจริญวิปัสสนากรรมฐานด้วยความมานะบากบั่น ยากที่จะมีผู้ปฏิบัติได้เสมือนนั้น สร้างศรัทธาและความเชื่อมั่นสูงยิ่งนัก” หลวงพ่อเกษมท่านเจริญวิปัสสนาด้วยถือสันโดษเป็นที่ตั้ง ใช้อำนาจจิต ควบคุมร่างกายเข้าสู่สมาธิภาวนา เบื้องหน้าเชิงตะกอน ท่านไม่ติดรสอาหารเมื่อมีผู้นำมาถวาย แม้อาหาร จะเสียจนราขึ้น ถ้าหลวงพ่อท่านยังมิได้แผ่เมตตา ท่านก็จะรับประเคนบาตรแล้วแผ่เมตตาให้ หลวงพ่อ เป็นผู้มีศีลอันบริสุทธิ์ และเมตตาธรรมสูงส่ง ท่านหมดสิ้นแล้วซึ่งกิเลส และเปี่ยมล้นด้วยบารมี ทุกวันนี้ หลวงพ่อยังเป็นดุจร่มโพธิ์ร่มไทรที่ให้ความร่มเย็นแก่พวกเราทุกคน

ประวัติและเรื่องราวต่าง ๆ ของท่าน จึงถูกบันทึกเพื่อให้อนุชนรุ่นหลัง ได้รับรู้ถึงในยุคปัจจุบัน ประวัติบางตอนของ ครูบาศรีวิชัย ตอนหนึ่งกล่าวว่า ท่านครูบาศรีวิชัยได้พยากรณ์ไว้ว่า จะมีตนบุญมาเกิดที่ลำปาง ครั้นต่อมาครูบาศรีวิชัยได้มรณภาพไป โดยทิ้งคำพยากรณ์นี้ไว้ให้ชาวลำปางได้เฝ้ารอคอยการมาจุติของตนบุญ ที่ครูบาศรีวิชัยได้พยากรณ์ไว้ จนเวลาล่วงเลยไปหลายสิบปี ก็ยังไม่ปรากฏ แต่ชาวลำปางก็ยังเชื่อในคำพยากรณ์ของครูบาศรีวิชัย
อ่านเพิ่มเติม

หลวงพ่อเกษม เขมโก

หลวงพ่อเกษม เขมโก

พระเกษม เขมโก
(เจ้าเกษม ณ ลำปาง เขมโก)
หลวงพ่อเกษม

เกิด 28 พฤศจิกายน พ.ศ. 2455
อุปสมบท พ.ศ. 2475
มรณภาพ 15 มกราคม พ.ศ. 2539
พรรษา 64
อายุ 83
วัด สุสานไตรลักษณ์
จังหวัด ลำปาง
หลวงพ่อเกษม เขมโก (นามเดิม เจ้าเกษม ณ ลำปาง) เป็นพระสายวิปัสสนากรรมฐาน พระเกจิเถราจารย์ทางด้านธุดงค์วัตร ปลีกวิเวก พุทธศาสนิกชนในจังหวัดลำปางและชาวไทยเคารพนับถือว่าท่านเป็นพระเถราจารย์ปูชนียบุคคลรูปหนึ่งของประเทศไทย และมีผู้มีความเคารพศรัทธาเป็นจำนวนมากในปัจจุบัน อีกทั้งท่านยังเป็นเจ้านายใน “ราชวงศ์ทิพย์จักราธิวงศ์ (เจ้าเจ็ดตน)” ที่ออกผนวชอีกด้วย

ประวัติ

หลวงพ่อเกษม เขมโก เดิมมีนามว่า เจ้าเกษม ณ ลำปาง ประสูติ เมื่อ วันที่ 28 พฤศจิกายน 2455 ตรงกับวันพุธ เดือนยี่ (เหนือ) ปีชวด ร.ศ. 131 เป็นบุตรใน เจ้าน้อยหนู ณ ลำปาง (ภายหลังเปลี่ยนนามสกุลใหม่เป็น มณีอรุณ) รับราชการเป็นปลัดอำเภอ กับ เจ้าแม่บัวจ้อน ณ ลำปาง และเป็นราชปนัดดาในมหาอำมาตย์โท พลตรีเจ้าบุญวาทย์วงศ์มานิต เจ้าหลวงผู้ครองนครลำปางองค์สุดท้าย
สมัยตอนเด็กๆมีคนเล่าว่าท่านซนมากมีอยู่ครั้งหนึ่งท่านปีนต้นบ่ามั่น(ต้นฝรั่ง)เกิดผลัดตกจนมีแผลเป็นที่ศีรษะ เมื่อท่านอายุได้ 13 ปี ได้บรรพชาเป็นสามเณร ซึ่งเป็นการบรรพชาหน้าศพ (บวชหน้าไฟ) ของเจ้าอาวาสวัดป่าดั๊ว 7 วันได้ลาสิกขาและท่านได้บรรพชาเป็นสามเณรอีกครั้งเมื่ออายุ 15 ปีและจำวัดอยู่ที่วัดบุญยืน จังหวัดลำปาง ท่านได้ศึกษาด้านพระปรัยัติธรรมจนสามารถสอบนักธรรมชั้นโทได้ในปี พ.ศ. 2474 และได้อุปสมบทเป็นพระภิกษุในปีถัดมา โดยมี พระธรรมจินดานายก เจ้าอาวาสวัดบุญวาทย์วิหาร อดีตเจ้าคณะจังหวัดลำปาง เป็นพระอุปัชฌาย์ ท่านได้รับฉายาว่า “เขมโก” แปลว่า ผู้มีธรรมอันเกษม โดยพระภิกษุ เจ้าเกษม เขมโก ได้ศึกษาภาษาบาลีที่สำนักวัดศรีล้อม ต่อมาได้ย้ายมาศึกษาแผนกนักธรรมที่สำนักวัดเชียงราย
พ.ศ. 2479 ท่านสามารถสอบได้นักธรรมชั้นเอก ท่านเรียนรู้ภาษาบาลีจนสามารถเขียนและแปลได้ รวมทั้งสามารถแปลเป็นภาษามคธได้เป็นอย่างดี แต่ท่านไม่ยอมสอบเอาวุฒิ จนครูบาอาจารย์ทุกรูปต่างเข้าใจว่าพระภิกษุ เจ้าเกษม เขมโก ไม่ต้องการมีสมณะศักดิ์สูง ๆ เรียนเพื่อจะนำเอาวิชาความรู้มาใช้ในการศึกษาค้นคว้าพระธรรมคำสอนของพระบรมศาสดาเท่านั้น อ่านเพิ่มเติม

หลวงปู่หลุยส์ จนฺทสาโร

หลวงปู่หลุยส์ จนฺทสาโร
๑๑ กุมภาพันธ์ ๒๔๔๔ – ๒๕ ธันวาคม ๒๕๓๒
วัดถ้ำผาบิ้ง อำเภอวังสะพุง จังหวัดเลย
——————–
ชาติกำเนิดและชีวิตปฐมวัย
หลวงปู่หลุย จนฺทสาโร เป็นบุตรของ คุณพ่อคำฝอย วรบุตร ลูกชายเจ้าเมืองแก่นท้าว แขวงไชยบุรี ประเทศลาว และ เจ้าแม่นางกวย (สุวรรณภา) วรบุตร ธิดาของผู้มีอันจะกินเขตเมืองเลย

ท่านถือกำเนิดเมื่อ วันอังคารที่ 11 กุมภาพันธ์ 2444 เวลารุ่งอรุณจวนสว่าง ได้ชื่อว่า วอ มีพี่สางต่างบิดา 1 คน และ น้องชายร่วมบิดามารดาอีก 1 คน

เมื่อเข้าโรงเรียน ท่านมีนิสัยช่างซักช่างเจรจา ออกความเห็นเหมือน ครูบา จึงถูกเรียกว่า บา ท่านมีโอกาสศึกษาเล่าเรียน ที่โรงเรียนวัดศรีสะอาด จนจบชั้นประถมปีที 3 ซึ่งขณะนั้น ถือเป็นการศึกษาชั้นสูง สำหรับเมืองชายแดน

ต่อมาท่านได้ทำงานเป็นเสมียนกับพี่เขย ที่เป็นสมุห์บัญชีสรรพากร อำเภอเชียงคาน และเมื่อปี 2464 ได้ย้ายไปทำงานที่อำเภอแซงบาดาล (ธวัชบุรี) และที่ห้องอัยการภาค จังหวัดร้อยเอ็ด ด้วยการอุปถัมภ์ของอัยการภาคร้อยเอ็ด

ขณะที่อยู่ที่เชียงคาน ด้วยวัยหนุ่มคะนอง มีการติดต่อกับฝรั่งฝั่งลาว ท่านจึงรู้จักวิธีผสมสุราอย่างฝรั่งเศส และศึกษาศาสนาคริสต์อยู่ 5 ปี จนคุณพระเชียงคาน ลุงของท่าน เรียกท่านว่า เซนต์หลุย หรือ หลุย ท่านจึงถูกเรียกชื่อว่า หลุย ตั้งแต่บัดนั้นเป็นต้นมา

ชีวิตสมณะ การแสวงหาธรรม และปฏิปทา
ชีวิตราชการของท่าน ไม่ค่อยราบรื่นนัก ท่านจึงรู้สึกอึดอัดใจในชีวิตฆราวาสอย่างยิ่ง ประกอบกับรู้สึกเบื่อหน่าย กับการต้องคลุกคลีอยู่กับการจัดอาหารในงานเลี้ยง ที่ต้องมีการฆ่าสัตว์ตัดชีวิต คิดอยากบวชเพื่อแผ่บุญกุศลไปให้สรรพสัตว์ที่ตายไปแล้ว ท่านจึงตัดสิ้นใจลาออกจากชีวิตราชการ เข้าสู่พิธีอุปสมบท เป็นพระมหานิกาย ณ อำเภอแซงบาดาล จังหวัดร้อยเอ็ด เมื่อปีพุทธศักราช 2466 โดยมีอัยการภาค เป็นเจ้าภาพบวชให้

ระหว่างพรรษาแรกที่ธวัชบุรี ท่านได้พยายามศึกษาพระธรรมวินัย ทั้งปริยัติธรรมและปฏิบัติ ครั้นถึงคราวออกพรรษา ท่านได้ลาพระอุปัชฌาย์ ไปเข้าร่วมการคัดเลือกเกณฑ์ทหาร ที่จังหวัดเลย และได้เดินทางไปนมัสการพระธาตุพนม ที่จังหวัดนครพนม ระหว่างทาง ได้พบพระธุดงค์กัมมัฏฐานรูปหนึ่ง มาจากอำเภอโพนทอง รู้สึกถูกอัธยาศัยซึ่งกันและกัน ท่านได้ร่วมถวายภาวนาเป็นพุทธบูชา ณ ลานพระธาตุพนมตลอดคืน บังเกิดความอัศจรรย์ กายลหุตา จิตลหุตา คือ กายเบา จิตเบา จึงตั้งสัจจาอธิษฐานว่า จะบวชกัมมัฏฐานตลอดชีวิต

ระหว่างทางสู่จังหวัดเลย เมื่อมาถึงบ้านหนองวัวซอ ท่านได้มีโอกาสฟังธรรมเทศนาจาก ท่านพระอาจารย์บุญ ปญฺญาวโร รู้สึกเลื่อมใสมาก จึงขอถวายตัวเป็นศิษย์ พระอาจารย์ได้แนะนำ ให้ขอญัตติเป็นธรรมยุต ที่จังหวัดเลย หลังจากเกณฑ์ทหารแล้ว ท่านจึงได้ขอญัตติจตุตถกรรมใหม่ เป็นพระธรรมยุตที่วัดศรีสะอาด อำเภอเมือง จังหวัดเลย
อ่านเพิ่มเติม

พิพิธภัณฑ์หลวงปู่หลุยส์ จันทสาโร

พิพิธภัณฑ์หลวงปู่หลุยส์ จันทสาโร

เจดีย์สร้างขึ้นเพื่อบรรจุอัฐิธาตุของหลวงปู่หลุยส์
จันทสารเถระ (พ.ศ.2444-2532) ผู้ชึ่งเป็นพระเถระชั้นผู้ใหญ่ฝ่ายวิปัสสนาธุระศิษย์
ของพระอาจาย์มั่น ภูริทัตเภระ หลวงปู่หลุยส์
เป็นผู้ที่มีปฏปทาชอบ จารึกไปในที่ต่าง ๆตลอด
จนถึงวาระสุดท้ายแห่งชีวิตของท่าน เมื่อท่านได้
มรณะภาพ และได้รับพระราชทานเพลิงศพแล้ว
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมีพระกระแสว่า
“ควรสร้างเจดีย์ที่วัดป่าสุทธาวาส อำเภอเมืองสกลนคร จังหวัดสกลนคร ที่วัดนี้
มีอัฐิธาติของพระอาจารย์มั่น ภูริทัตเถระ ท่าน
จะได้อยู่ใกล้กัน” พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ร่างแบบเจดีย์องค์นี้
ด้วยพระองค์เองพระราชทาน

http://sakonnakorn.excise.go.th/sakon04.htm

คติธรรมหลวงปู่หลุย จันทสาโร

คติธรรมหลวงปู่หลุย จันทสาโร

คติธรรมหลวงปู่หลุย จันทสาโร
วัดถ้ำผาบิ้ง ต.ทรายขาว อ.วังสะพุง จ.เลย

…อย่าส่งจิตออกไปข้างนอก ให้ดูอยู่ที่กาย…
…ให้รื้อค้นร่างกายนี้ให้ชัดแจ้ง…ให้รู้ว่าร่างกายมันมีอยู่…
…จึงทำให้เกิดทุกข์ ก็ร่างกายนี้แหละที่ทำลายความสงบสุข…
…มันทำให้เกิดเป็นที่รับโรครังหนอนอย่างใหญ่หลวง…
…ไม่เลือกละว่าร่างกายของใคร…ถ้าพิจารณามองให้เห็น…
…ตัดให้ขาดจากร่างกายนี้จริงๆแล้ว…
…จะพบกับความสงบสุขถาวรตลอดไป…

…การเกิดเป็นคนต้องรู้จักหน้าที่ของตน เป็นคนมีความคิดหัดภาวนา…
…อย่านอนอย่างวัวอย่างควาย สัตว์ประเภทนั้น มันนอนอย่างเดียว…
…ไม่ภาวนา เราต้องไม่ประมาท…

อ่านเพิ่มเติม

ธรรมเตือนตน….หลวงปู่หลุยส์ จันทสาโร วางใจให้เป็นธรรม….แล้วธรรมจะนำใจ

ธรรมเตือนตน….หลวงปู่หลุยส์ จันทสาโร วางใจให้เป็นธรรม….แล้วธรรมจะนำใจ

พระรัตนตรัย

คำว่า พระพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์ กำจัดภัยได้จริง
หมายความว่า…
บางขณะจิตมีนิวรณ์คุ้มอยู่ภายในใจกายของเรา
ให้ฟุ้งซ่านด้วยอารมณ์ต่าง ๆ
บุคคลนั้นเมื่อไปฟังเทศน์ก็ดี สิ่งเหล่านั้นก็สงบไป…
สมาธิจิตสงบ สิ่งเหล่านั้นหายไป เกิดปิติสุข
ดังนี้จึงได้นามว่า…
พระรัตนตรัยกำจัดภัยได้จริง
บุคคลใด…ทำบุญและทำบาป
เป็นกรรมที่ติดตามตัวไป ดุจเงาติดตามตัว
…ดุจล้อเกวียนติดตามรอยโค ฉะนั้น

พระพุทธศาสนา

การนับถือพระพุทธศาสนา
ต้องเกิดอัศจรรย์ในดวงจิตอย่างใดอย่างหนึ่งเชียว
จึงจะเลื่อมใสในศาสนาได้ทีเดียว…
หากคนใดไม่เห็นอัศจรร์ของศาสนาอย่างใดอย่างหนึ่งแล้ว
ถอยทีเดียว…
ไม่มีพยานในดวงจิต วางรากฐานในดวงจิตไม่ได้
พระอรหันต์มาจากไหน…
มาจากหัวใจของปุถุชน ราคะ โทสะ โมหะ
ดอกบัวนะมันมาจากโคลนตม
มันผลิตออกจากโคลนตม เป็นลำ
อ่านเพิ่มเติม

หลวงปู่หลุย จนฺทสาโร ผจญพญานาคที่ภูบักบิด

หลวงปู่หลุย จนฺทสาโร ผจญพญานาคที่ภูบักบิด

“ภูบักบิด” เป็นภูเขาเล็กๆ ห่างจากตัวจังหวัดเลยไปไม่มากนัก เป็นภูเขาซึ่งอยู่เหนือฟากฝั่งแม่น้ำเลย มีตัวเมืองเลยอยู่ฟากฝั่งตรงข้าม หลวงปู่หลุย จนฺทสาโร ในพรรษาที่ 32 ท่านได้เดินทางมาปฏิบัติภาวนาที่ “ภูบักบิด” นี้ ที่มาของชื่อนี้ค่อนข้างพิสดารอยู่ กล่าวคือยอดเขาภูแห่งนี้ มีถ้ำอยู่ถ้ำหนึ่งเป็นถ้ำที่มีความศักดิ์สิทธิ์น่าอัศจรรย์อย่างยิ่ง เนื่องจากเป็นอาณาจักรของพวก “ภูบักบิด” ภุมมเทวดาสถิตอยู่ ลักษณะของถ้ำบนภูบักบิดนี้ มีปากถ้ำค่อนข้างเล็กแคบ แต่เมื่อผ่านปากถ้ำเข้าแล้ว ภายในกลับกว้างขวางเวิ้งว้าง ผนังถ้ำเป็นรูเป็นซอกหลืบมากมาย ทั้งยังมีโพรงลึกอยู่โพรงหนึ่ง ชาวบ้านเรียกขานกันว่าโพรงของพญานาค หากใครนำมะพร้าวมาทิ้งลงในโพรงนี้ มะพร้าวจะไปโผล่ที่กุดป่องอย่างน่าอัศจรรย์ ที่เป็นเช่นนี้แสดงว่าลึกจากโพรงถ้ำลงไป คงมีลำธารน้ำใต้ดินไหลอยู่ และไหลซอกแซกทอดยาวไปถึงกุดป่องได้

เมื่อกาลก่อนนั้นเล่ากันว่า ภายในถ้ำมีสมบัติมีค่ามากมายมหาศาลของเทวดา สมบัติดังกล่าวเป็นเครื่องประดับล้ำค่าของโบราณ ประกอบด้วยแก้วแหวนเงินทอง สร้อยคอ สร้อยข้อมือ สร้อยสายสะพาย ปะวะหล่ำ กำไลเงิน กำไลมือ สายสังวาล เข็มขัดทอง และเข็มขัดนาก เครื่องประดับเหล่านี้วางกองอยู่บนแท่นหินภายในถ้ำ นอกจากเครื่องประดับล้ำค่าแล้ว ยังมีพระพุทธรูปทองคำ พระพุทธรูปนาก และพระพุทธรูปเงินขนาดต่างๆ วางไว้บนชั้นหินหลายระดับ แสดงให้เห็นว่าผู้เป็นเจ้าของสมบัติ ซึ่งเป็นคนโบราณ เป็นผู้เลื่อมใสศรัทธาในพระพุทธศาสนาเป็นอย่างยิ่ง ถึงกับนำทองคำ นากและเงิน มาหล่อเป็นพระพุทธรูปเพื่อกราบไหว้ ชาวบ้านที่อยู่เชิงเขาภูบักบิดในสมัยก่อน มีสิทธิ์ไปยืมเครื่องประดับมาแต่งกาย และนำพระพุทธรูปมาเคารพในงานบุญต่างๆได้ชั่วคราว เมื่อเสร็จงานบุญแล้วก็นำเครื่องประดับและพระพุทธรูปไปคืนไว้ที่เดิม ดังนั้นไม่ว่าจะเป็นวันตรุษ สงกรานต์ วันสารท หรือวันที่มีงานบุญมงคลต่างๆ เช่น ทำบุญขึ้นบ้านใหม่ งานบวช งานโกนจุก และงานแต่งงาน ชาวบ้านทั้งชายหญิงจะมีของมีค่าเป็นเครื่องประดับใส่กันแพรวพราว เวลาเข้าไปเอาเครื่องประดับในถ้ำศักดิ์สิทธิ์บนภูบักบิดนี้ มีกฎอยู่ 2 ประการคือข้อแรก ผู้ที่จะเข้าไปเอาต้องถอดเสื้อผ้าให้หมด แล้วเดินตัวเปล่าๆเข้าไป เหตุที่ต้องทำเช่นนั้น คงถือเอาความบริสุทธิ์ใจเป็นสำคัญ คือไม่เอาเครื่องประดับชิ้นใดชิ้นหนึ่งซุกซ่อนไว้ในเสื้อผ้า กฎข้อนี้ต้องกระทำเหมือนกันทุกคน ไม่ว่าจะเป็นผู้ชาย ผู้หญิง เด็ก หรือคนแก่ ข้อต่อมา ให้หยิบเครื่องประดับได้ 1 กำมือเท่านั้น จะเอาไปมากกว่านี้ไม่ได้ ผู้คนสมัยก่อนเป็นคนที่มีศีลธรรมประจำใจ ไม่มีความละโมบโลภมาก เมื่อหยิบเครื่องประดับไปใช้สมประสงค์แล้ว ก็จะรีบนำมาไว้ที่เดิม เพราะถือว่าเป็นของกลางไม่ใช่สมบัติส่วนตนหรือของใครทั้งสิ้น ต่อมามีผู้เกิดความละโมบ อยากได้ของประดับของมีค่ามาเป็นของตน เข้าไปยืมเครื่องประดับภายในถ้ำแล้วไม่นำไปคืน ยักยอกเอาไว้เป็นของตนเอง การกระทำเช่นนี้จึงเท่ากับจงใจเจตนาผิดศีลข้ออทินนาทาน คือลักขโมยทรัพย์ของผู้อื่น เครื่องประดับมากมายก็ลดน้อยลงไปเรื่อย อีกทั้งทองคำสุกปลั่งวาววับ เริ่มหมองคล้ำดำลงไปคล้ายกับทองเหลือง ต่อมาได้เกิดเหตุร้ายแรงภายในถ้ำ นั่นคือวันหนึ่งได้มีหญิงชาวบ้านจะเข้ามายืมสมบัติของมีค่ามาแต่งตัว และมีเณรน้อยรูปหนึ่งเดินตามหญิงสาวเข้าไปด้วย เณรน้อยได้กระทำผิดด้วยเจตนาหยอกเอินหญิงนั้น คือเอื้อมมือไปบิดก้นของหญิงสาวที่เดินนำหน้า การกระทำเช่นนี้เท่ากับผิดศีลเพราะมีเจตนาจับต้องเนื้อสตรีเพศ ทั้งยังแสดงกริยาหยาบคายไม่สำรวมตนเหมือนไม่เคารพสถานที่อันควรเคารพ ทันใดนั้น! เพดานถ้ำบริเวณที่ไว้สมบัติได้ถล่มครืนลงปิดทางเข้าทั้งหมด เณรน้อยผู้ทำผิดศีลหนีเตลิดจนพลัดตกลงไปในปล่องโพรงพญานาค แล้วไปโผล่ขึ้นที่กุดป่อง การมีชีวิตรอดมาได้ ก็เพียงเพิ่อบอกเล่าสาเหตุที่ถ้ำเก็บสมบัติถล่มลงมาเท่านั้น เพราะต่อมาเณรน้อยก็กลายเป็นคนสติฟั้นเฟือน จริตเลอะเลือนพล่ามเพ้อถึงกรรมเลวของตนจนกระทั่งตายไปในที่สุด นับแต่นั้นมาภูเขาลูกนี้จึงได้ชื่อว่า “ภูบักบิด”
อ่านเพิ่มเติม

ธุดงค์วิเวก – หลวงปู่หลุย จันทสาโร

ธุดงค์วิเวก – หลวงปู่หลุย จันทสาโร

หลวงปู่หลุย จันทสาโร

ได้ส่ำสัตว์เป็นอารมณ์กรรมฐาน

——————————————

หลวงปู่หลุย จันทสาโร ท่านได้พักกลางกลดที่พระบาทคอแก้ง เขตอำเภอศรีเชียงใหม่

ในราตรีนั้น…พระจันทร์ส่องแสงสว่างลงมายังพื้นพิภพอย่างแจ่มใส จิตใจของหลวงปู่ตอนนั้นท่านได้เล่าให้ศิษย์ฟังในตอนหลัง ว่ามีความเบิกบานแบบสงบในธรรม

ธรรมชาติบนขุนเขาในยามราตรีจันทร์แจ่มฟ้า มีความงามคล้ายเป็นแดนทิพย์เมืองสวรรค์

กระแสลมนั้นเล่าก็พัดจากแม่น้ำโขงมิได้ขาด เป็นการพัดที่รวยรินเย็นสบาย ทำให้รู้ว่า…โอ…!…เจ้าธรรมชาตินี่หนอ บางเวลาเจ้าก็มีความนุ่มนวลอย่างนึกไม่ถึงเหมือนกัน

คืนนั้น…ขณะที่หลวงปู่เดินจงกรม ได้มีฝูงกระต่ายกระโดดออกมาจากป่า มาสู่ดงหญ้า มาหากินและเล่นเดือนหงาย

พวกกระต่ายมันกระโดดโลดเต้น หยอกล้อกันไปมาบ้างก็หยุดยืนดูหลวงปู่หลุย โดยไม่แสดงอาการเกรงกลัวท่าน เลยทำให้ท่านเกิดคิดรำพึงขึ้นมาว่า…

“เออหนอ!…ธรรมดาของส่ำสัตว์ในโลกนี้ จะเป็นสัตว์เดรัจฉานชนิดใดก็ตามที เมื่อมีอาหารการกินพอได้อิ่มปากอิ่มท้องแล้ว ก็มีความสบายกายใจตามประสาของเขา…”

“ส่วนคนเรา…กินเท่าไร ไม่อิ่ม มีทรัพย์สมบัติเท่าไรไม่รู้พอ

ดุจประหนึ่งแม่น้ำมหาสมุทร ไม่รู้จักเต็ม พร่องอยู่เสมอ ๆ พระบาลีที่กล่าวไว้ว่า…”

“นัตถิ ตัณหา สมานะที…” แปลว่า “แม่น้ำเสมอด้วยตัณหาไม่มี”

ต้องแปลเป็นไทยอีกว่า… “อันว่าแม่น้ำนั้น จะมีน้ำมากสักเพียงใดก็ตาม…ก็ไม่มากไปกว่าตัณหาของคน!”

คืนนั้น หลวงปู่หลุยได้น้อมเอาชีวิตความเป็นอยู่ของกระต่ายป่ามาเป็นอารมณ์กรรมฐาน พิจารณาไป…พิจารณาไป ดูแล้วก็คิดสงสารมัน สัตว์น้อย ๆ เหล่านี่ เมื่อหากินยอดหญ้าอิ่มแล้วก็แล้วกันไป จะไปทางไหนก็แล้วแต่จ่าฝูง…หรือบางทีก็ไปเป็นฝูง บางทีก็ไปเป็นคู่…ดุจชายหนุ่มหญิงสาวที่รักใคร่กัน !”
อ่านเพิ่มเติม

พิพิธภัณฑ์หลวงปู่หลุย-จันทสาโร

พิพิธภัณฑ์หลวงปู่หลุย-จันทสาโร

ตั้งอยู่ที่วัดป่าสุทธาวาส ถนนสุขเกษม ต.ธาตุเชิงชุม อ.เมือง จ.สกลนคร เมื่อพระอาจารย์หลุย จนฺทสาโร มรณภาพลง พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทานเพลิงศพ แล้วมีพระราชกระแสว่า “ควรสร้างเจดีย์ที่วัดป่าสุทธาวาส อำเภอเมือง จังหวัดสกลนคร ซึ่งที่วัดนี้มีอัฐิธาตุของพระอาจารย์มั่น ท่านจะได้อยู่ไกล้กัน” โดยเจดีย์พระอาจารย์หลุย จนฺทสาโร แห่งนี้ได้รับพระราชทานพระมหากรุณาธิคุณทรงร่างเป็นต้นแบบพระราชทานให้ เป็นเจดีย์ที่มีลักษณะเรียบง่ายและได้สัดส่วนงดงามตรงตามที่พระอาจารย์หลุย จนฺทสาโร เคยปรารภว่า ถ้าให้สร้างเจดีย์จะสร้างให้มีลักษณะเช่นนี้ เจดีย์พิพิธภัณฑ์พระอาจารย์หลุย จนฺทสาโร มีรูปแบบทางสถาปัตยกรรมเป็นรูปทรงรฆังคว่ำ แบ่งออกเป็น ๓ ส่วน คือ ส่วนที่ ๑ ฐาน ส่วนที่ ๒ เรือนเจดีย์ ส่วนที่ ๓ เรือนยอด ส่วนฐานยกพื้นสูงมีทางขึ้นด้านหน้า ๒ ทาง เพื่อขึ้นไปองค์เจดีย์พิพิธภัณฑ์ส่วนฐานที่ยกพื้นสูงรองรับตัวองค์เจดีย์ ทำเป็นห้องแสดงประวัติพระพุทธศาสนา เป็นภาพลายรดน้ำ มีทางเข้าด้านหน้าเพียงด้านเดียว มีลานล้อมรอบตัวเรือนเจดีย์ ตัวเรือนเจดีย์ทำเป็นรูปทรงระฆังคว่ำ ๒ ชั้น ชั้นแรกทำเป็นซุ้มทางเข้าภายใน ๓ ทาง ด้านทิศตะวันตก เหนือ และใต้ ภายในจัดแสดงเครื่องอัฐบริขารและเครื่องใช้ต่าง และมีรูปปั้นหุ่นขี้ผึ้งของพระอาจารย์หลุย จนฺทสาโร ประดิษฐานอยู่ มีอัฐิธาตุของท่านตั้งอยู่เพื่อให้ผู้เข้าไปได้กราบไหว้สักการบูชา เรือนเจดีย์ชั้นต่อไปทำเป็นรูประฆังคว่ำ ถัดขึ้นไปทำเป็นบัลลังก์รองรับ เรือนยอดเจดีย์ทำเป็นรูปทรงดอกบัวเหลี่ยม

http://110.170.186.163/moc_new/album/

ประวัติ หลวงปู่หลุย จันทสาโร วัดถ้ำผาบิ้ง

ประวัติ หลวงปู่หลุย จันทสาโร วัดถ้ำผาบิ้ง

ประวัติ หลวงปู่หลุย จันทสาโร วัดถ้ำผาบิ้ง

“อย่าไปตามดูอาการของเวทนา ให้ดูจิตอย่างเดียว” ธรรมโอวาทของ “หลวงปู่หลุย จันทสาโร” แห่งวัดถ้ำผาบิ้ง อ.วัง สะพุง จ.เลย พระวิปัสสนาจารย์สายอีสาน ที่ได้รับความเลื่อมใสศรัทธาจากสาธุชนเป็นอย่างมาก

ชาติภูมิ หลวงปู่หลุย ถือกำเนิดในสกุล วรบุตร เมื่อวันอังคารที่ 11 กุมภาพันธ์ 2444 โยมบิดา-มารดา ชื่อ นายคำฝอย วรบุตร ลูกชายเจ้าเมืองแก่นท้าว แขวงไชยบุรี ประเทศลาว และนางกวย (สุวรรณภา) วรบุตร

ในช่วงวัยเยาว์ ได้มีโอกาสศึกษาเล่าเรียนที่โรงเรียนวัดศรีสะอาด จบชั้นประถมปีที่ 3 ต่อมาได้ทำงานเป็นเสมียนกับพี่เขยที่เป็นสมุห์บัญชีสรรพากร อ.เชียงคาน และเมื่อปี 2464 ได้ย้ายไปทำงานที่อำเภอแซงบาดาล (ธวัชบุรี) และที่ห้องอัยการภาค จ.ร้อยเอ็ด ด้วยการอุปถัมภ์ของอัยการภาคร้อยเอ็ด

ท่านมีการติดต่อกับฝรั่งฝั่งประเทศลาว อีกทั้งได้ศึกษาศาสนาคริสต์อยู่ 5 ปี จนลุงของท่าน เรียกท่านว่า เซนต์หลุยส์ หรือ หลุย ท่านจึงถูกเรียกชื่อว่า หลุย ตั้งแต่บัดนั้นเป็นต้นมา
อ่านเพิ่มเติม

ชีวประวัดิ พระคุณเจ้า หลวงปู่หลุย จันทสาโร ๑๔

ชีวประวัดิ พระคุณเจ้า หลวงปู่หลุย จันทสาโร ๑๔

จากหนังสือ จันทสาโรบูชา

โดยคุณหญิงสุรีย์พันธุ์ มณีวัต

พรรษาที่ ๕๙-๖๕ พ.ศ. ๒๕๒๖-๒๕๓๒

แสงตะวันลำสุดท้าย

พ.ศ. ๒๕๒๖ และ ๒๕๒๘ จำพรรษา วัดเจติยาคิรีวิหาร (ภูทอก) กิ่ง อ.ศรีวิไล จ.หนองคาย

พ.ศ. ๒๕๒๗ และ ๒๕๓๒ จำพรรษา ที่พักสงฆ์ ก.ม. ๒๗ ดอนเมือง กรุงเทพมหานคร

พ.ศ. ๒๕๒๙-๒๕๓๑ จำพรรษา ทีพักสงฆ์เย็นสุดใจ อ.หัวหิน จ.ประจวบคีรีขันธ์

จากพรรษา ๕๙ ถึงพรรษา ๖๕ จัดได้ว่าเป็นช่วงปัจฉิมกาลของหลวงปู่จริง ๆ ท่านมีอายุยืนยาวมาถึงกว่า ๘๐ ปี อายุ ๘๒ – ๘๘ พรรษา เมื่อสมเด็จพระบรมครู…สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงปลงพระชนมายุสังขาร เสด็จเข้าสู่มหาปรินิพพานนั้นก็มีพระชนม์เพียง ๘๐ พรรษาเท่านั้น หรือแม้แต่ ท่านพระอาจารย์มั่น ภูริทัตโตบูรพาจารย์ของท่านก็ละสังขารไปเมื่ออายุ ๘๐ ปีพอดี องค์ท่านมีอายุเกินกว่าแปดสิบมาหลายปีแล้ว แต่หลวงปู่ก็ยังเมตตา นำพระ เณร อุบาสก อุบาสิกา สวดมนต์ทำวัตรเช้า-ทำวัตรเย็น ตลอดจนเทศนาอบรมสั่งสอนและนำภาวนามิได้ขาด โดยการสวดมนต์ทำวัตรเช้าและเย็น หลวงปู่ได้มีแบบฉบับของหลวงปู่เอง ดังที่เคยกล่าวมาแล้ว โดยหลวงปู่จะน้อมนำให้ระลึกถึง คุณของพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ อย่างน่าซาบซึ้งก่อนแล้วจึงให้สวดบาลีต่อไป

ถึงแม้ว่าหลวงปู่จะเจริญด้วยวัยอันสูงยิ่ง และมีสภาพสังขารดังที่หลวงปู่บันทึกไว้ว่า

“…คำนวณชีวิตเห็นจะไม่ยั่งยืน ร่างกายบอกมาเช่นนั้น ทำให้เวียนศีรษะเรื่อย ๆ แต่มีสติระวังอย่าให้ล้ม มีคนอื่นพยุงเมื่อ…. ”

และ

“….ธาตุขันธ์ทำให้วิงเวียนอยู่เรื่อย ๆ คอยแต่จะล้ม ต้องระวังหน้า ระวังหลัง….. ”

ท่านก็ยังมีเมตตาไปโปรดเยี่ยมลูกศิษย์ตามที่ต่าง ๆ บ่อยครั้ง โดยทุกครั้งจะไปวันละหลาย ๆ บ้าน และทุก ๆ บ้านท่านมักจะอบรมเทศน์เป็นเวลาครึ่งชั่วโมงเป็นอย่างน้อย

นึกถึงวัย นึกถึงสังขาร ผู้ที่มีอายุปานนั้นแล้ว ควรจะพักผ่อนได้แล้วแต่กลับมาเหน็ดเหนื่อยอย่างยิ่ง ท่านไม่น่าจะปฏิบัติภารกิจเช่นนี้ได้ไหว แต่หลวงปู่ก็ยังคงมีเมตตาอยู่เช่นนั้นเสมอมา บำเพ็ญตนดุจเหล็กไหล ไปมาคล่องแคล่วว่องไวแทนที่ลูกศิษย์จะเป็นฝ่ายมากราบนมัสการเยี่ยมท่าน ท่านกลับไปเยี่ยมลูกศิษย์เสียเอง…..

เมื่อดูจากภายนอก ท่านเป็นเสมือนบุรุษเหล็ก แต่จากบันทึกที่ค้นพบปรากฏว่า องค์ท่านเองกลับเหน็ดเหนื่อยยิ่งนัก ดังที่ว่า

“….เราสละชีวิตให้ญาติโยมมาดูดกินเนื้อเลือดของเรา….”

มีอยู่หลายครั้งที่ท่านสารภาพว่า การเทศน์ก็ดี การอบรมก็ดี ดูดกินกำลังของท่านไปหมด จนแน่นหน้าอกแทบหายใจไม่ออก แต่ท่านก็อดทนทำ ด้วยว่าเป็นกิจของศาสนา….ตามที่ท่านว่า
อ่านเพิ่มเติม

ชีวประวัดิ พระคุณเจ้า หลวงปู่หลุย จันทสาโร ๑๓

ชีวประวัดิ พระคุณเจ้า หลวงปู่หลุย จันทสาโร ๑๓

จากหนังสือ จันทสาโรบูชา

โดยคุณหญิงสุรีย์พันธุ์ มณีวัต

พรรษาที่ ๕๘ พ.ศ. ๒๕๒๕ พิจารณาธาตุขันธ์จะแตกดับ

กลับไปจำพรรษาถ้ำเจ้าผู้ข้า ต.ไร่ อ.พรรณานิคม จ.สกลนคร

ในต้นปี ๒๕๒๕ นี้ หลวงปู่ไปพักที่วัดอโศการาม สมุทรปราการมีอาการอาพาธด้วยไข้หวัดใหญ่ หัวใจเต้นแรง ครั่นเนื้อครั่นตัว นอนไม่หลับ ไอมาก ท่านบันทึกไว้ ในวันที่ ๒๕ มกราคม ๒๕๒๕ ถึงอาการของโรคและการภาวนาสู้โรคในครั้งนี้ว่า

“ลมตีขึ้นข้างบนแล้วโรคกำเริบ ถ้าลมตีลงข้างล่างแล้วโรคหายทำให้วิงเวียนหัว ทำให้ตามัวเป็นประจำ ดีอย่างเดียวไม่ปวดศีรษะนอนไม่หลับ กินข้าวไม่อร่อย (ไม่ได้) ทำให้ความดันค่อนข้างสูงอยู่บ่อย ๆ

“พิจารณาแต่การเป็นการตาย พิจารณาธาตุขันธ์จะแตกดับ มีเวทนามากน้อยเท่าไร พิจารณาออกจากสภาพใหม่ด้วยอาการกิริยาอย่างไรพิจารณาโลกมนุษย์เป็นทุกข์อย่างยิ่ง ต้องเปลี่ยนอิริยาบถทั้ง ๔ นั่ง นอน ยืน เดิน พยาบาลร่างกายให้ชีวิตทรงอยู่ พิจารณาอาพาธ ยังทรงอยู่ หรือกำเริบ หรือปานกลาง กำหนดให้รู้เท่าทัน ตรวจดูศีล สมาธิ ปัญญาสม่ำเสมอ เป็นกิริยาผู้ที่จะละโลกนี้ไปสู่สุคติภพ พ.ศ. ๒๕๒๕ ไม่มีที่พึ่ง นอกจากธรรมะไปแล้ว ตนช่วยตนเอง ให้ชำระความบริสุทธิ์ของจิตเสมอไป”

“พิจารณาก่อนตายให้ชำนิชำนาญ คล่องแคล่ว อารมณ์แห่งความตายเรื่อย ๆ ไม่ให้จิตส่งไปข้างนอก”

“วางอารมณ์เฉย ๆ โรคบรรเทาลงบ้าง แต่กำเริบเป็นบางครั้งบางคราว โรคชราพาธเป็นโรคจรมา มีร่างกายแปรไปต่าง ๆ อวัยวะภายในมีกำลังน้อย ต้านทานโรคไม่ได้ เขาเรียกว่า “ชราพาธ”” เป็นธรรมดาของคนแก่ยอมเป็นดังนี้ แก้ไขไม่ได้ รักษาแต่อารมณ์เข้าสู่มรณภาพเท่านั้น แก้ไขทางอื่นไม่ได้ เรียกเป็น ทุกฺขํ อนิจฺจํ อนตฺตา ของชีวิตแก้ไขอย่างหนึ่งแล้วย่อมเป็นอีกอย่างหนึ่งร่ำไป”

“ต้นไม้แก่ชราเต็มที่แล้ว ย่อมไม่ดูดดื่มปุ๋ยเลี้ยงลำต้นได้เลยมีแต่ทรุดโทรมหาความตายเสมอ ฉะนั้น วางธุระของขันธ์เข้าสู่อารมณ์แห่งความตายเสียดีกว่า เพราะไม่มันไม่เที่ยงของชีวิต”

“พุทธเจ้าท่านตรัสไว้ว่า เกวียนซ่อมแซมด้วยไม้ไผ่ ไม่ยั่งยืนถาวรของชีวิต พระองค์ตรัสให้แก่สงฆ์ทั้งหลายทราบ ซึ่งมีมาในพระไตรปิฎก”

“นับตั้งแต่ป่วยมา ระวังตัวอยู่เป็นนิตย์ ไม่เพลิดเพลินต่อสิ่งใดเพราะสิ่งเหล่านั้นเป็นของไม่เที่ยงอยู่แล้ว เราผู้ที่ไปติดก็ไม่เที่ยง สิ่งใดไม่เที่ยง สิ่งนั้นเป็นทุกข์ เป็นอนัตตา มีอย่างเดียวรีบเร่งความบริสุทธิ์ทางใจเพราะชีวิตไม่อยู่นาน จะมีเวลาแตกดับโดยไม่ช้า จะเพลินเพลินอะไรกับโรคที่ไม่เที่ยง เป็นของที่ไม่แน่นอน”

“เราเกิดมาในโลกมาค้าขาย ขาดทุนใหญ่ ร่ำรวยใหญ่ มิจฉาทิฐิ ขาดทุนใหญ่ เป็นสัมมาทิฐิ ร่ำรวยใหญ่ ไม่ว่า กษัตริย์ พราหมณ์ แพศย์ ศูทร และไม่ว่ากษัตริย์มหาศาล พราหมณ์มหาศาล เศรษฐีมหาศาล”
อ่านเพิ่มเติม

ชีวประวัดิ พระคุณเจ้า หลวงปู่หลุย จันทสาโร ๑๒

ชีวประวัดิ พระคุณเจ้า หลวงปู่หลุย จันทสาโร ๑๒

จากหนังสือ จันทสาโรบูชา

โดยคุณหญิงสุรีย์พันธุ์ มณีวัต

พรรษาที่ ๕๒ พ.ศ. ๒๕๑๕ เดินทางไปโปรดชาวภาคใต้

และจำพรรษา ณ วัดกุมภีร์บรรพต

นิคมควนกาหลง อ.ควนกาหลง จ.สตูล

ออกพรรษาแล้ว ท่านยังคงพำนักที่สวนคุณหมอโรจน์ต่อไปอีกระยะหนึ่งเพื่อโปรดญาติโยมในตัวจังหวัดจันทบุรี อำเภอโดยรอบและจังหวัดใกล้เคียง โดยเฉพาะเพื่อพานำไหว้พระ ทำวัตร สวดมนต์ ทุกคนก็สนใจทำตามด้วยจิตอันนอบน้อมต่อคุณพระรัตนตรัย สำหรับภรรยาคุณหมอโรจน์ ที่เมื่อท่านสอนการม้างกาย ก็พยายามปฏิบัติตามจนปรากฏผลเป็นที่พอใจ

ท่านได้บันทึกไว้ว่า ท่านจากจังหวัดจันทบุรีมาเมื่อวันที่ ๓ กุมภาพันธ์ ๒๕๑๙ เนื่องด้วยคณะพุทธบริษัทของวัดอโศการาม จังหวัดสมุทรปราการ อาราธนาให้มาพักผ่อนล่วงหน้าก่อน เพราะบรรดาศิษยานุศิษย์และพุทธศาสนิกชนผู้มีความเคารพรักในองค์ท่าน จะได้จัดงานทำบุญฉลองอายุให้ท่าน และ หลวงปู่ชอบ ฐานสโม ซึ่งต่างเกิดในเดือนเดียวกัน คือ เดือนกุมภาพันธ์ และปีเดียวกัน คือ ปีฉลู พ.ศ. ๒๔๔๔ เพียงแต่วันเกิดห่างกันวันเดียว คือ ท่านเกิดวันอังคารที่ ๑๑ กุมภาพันธ์ ส่วนหลวงปู่ชอบเกิดวันพุธที่ ๑๒ กุมภาพันธ์ เท่านั้น ดังนั้น คราวนี้คณะศิษย์จึงได้กำหนดจัดงานฉลองพระคุณท่านทั้งสองรวมกัน ๒ วัน คือ วันที่ ๑๑ และ ๑๒ กุมภาพันธ์ ณ วัดอโศการาม

ปกติ พระเณร แม่ชี ที่วัดอโศการามก็มีจำนวนมากอยู่แล้ว แต่เมื่อเป็นงานของครูบาอาจารย์ผู้ใหญ่ ผู้เป็นประดุจธงชัยคู่เอกของพระกัมมัฏฐานถึง ๒ องค์ จำนวนพระ เณร ชี และศรัทธาญาติโยม ที่มาชุมนุม ณ วัดอโศการามในโอกาสสำคัญนี้จึงคับคั่ง ทำให้บริเวณอันกว้างใหญ่ของวัดดูแคบไปถนัดตา

ระหว่างงาน มีผู้ทราบว่า หลวงปู่ยังไม่เคยเดินทางไปภาคใต้เลย จึงนิมนต์ขอให้ท่านเดินทางไปโปรดชาวภาคใต้บ้าง ท่านรับนิมนต์ และเพียงวันรุ่งขึ้นเสร็จจากงานคือวันที่ ๑๓ กุมภาพันธ์ ๒๕๑๙ ท่านและ ท่านเจ้าคุณโสภณคณาจารย์ หรือขณะนั้นยังเป็น พระมหาเนียม ก็เดินทางโดยรถด่วนสายใต้ทันที
อ่านเพิ่มเติม

ชีวประวัดิ พระคุณเจ้า หลวงปู่หลุย จันทสาโร ๑๑

ชีวประวัดิ พระคุณเจ้า หลวงปู่หลุย จันทสาโร ๑๑

จากหนังสือ จันทสาโรบูชา

โดยคุณหญิงสุรีย์พันธุ์ มณีวัต

พรรษาที่ ๔๑-๔๒ พ.ศ. ๒๕๐๘-๒๕๐๙ เสวยสุข

จำพรรษา ณ วัดป่าถ้ำแก้งยาว บ้านโคกแฝก ต.ผาน้อย อ.วังสะพุง จ.เลย

ปี พ.ศ. ๒๕๐๘ และ พ.ศ. ๒๕๐๙ นั้นควรจะนับได้ว่า เป็นปีแห่งการ “เสวยสุข” โดยแท้ วัดป่าถ้ำแก้งยาวเป็นสถานที่ซึ่งท่านเคยมาจำพรรษาแล้วแต่ในปี ๒๕๐๔ ได้พบงูใหญ่มานอนขดอยู่ใต้แคร่ถึงสามวันสามคืนจึงจากไป และเมื่อจากไปก็ได้ฝากรอยทิ้งไว้ในนาข้าว ขนาดตัวที่ทอดไปตามนานั้นใหญ่ขนาดทับข้าว ๓ กอเป็นแนวโล่งตรงไปทีเดียว ระหว่างการภาวนาก็ได้เห็นพระปัจเจกพุทธเจ้าทรงจีวรสีเหลืองคร่ำจนเกือบจะเป็นสีใบไม้เสด็จมาเยี่ยม อนุโมทนาที่ท่านได้ทำความเพียรอย่างอุกฤษฏ์ ทำให้ท่านรู้สึกปีติเป็นอย่างยิ่งที่ได้มีผู้รอบรู้การบำเพ็ญเพียรตลอดเวลา

เมื่อจากบ้านกกกอกมา ท่านจึงระลึกถึงสถานที่อันเป็นมงคลนี้ ถือเป็นที่วิเวกซึ่งจะได้พิจารณาย้อนไปเป็นอนุโลม ปฏิโลมได้อย่างสงัดเงียบ

สำหรับสถานที่เป็นมงคลนี้ ท่านเคยเทศนาสอนศิษย์รุ่นหลัง ๆ อยู่เสมอว่าต้องตรวจวินัยให้บริสุทธิ์ ข้อวัตรให้เคร่งครัด และที่ลืมไม่ได้คือ การแผ่เมตตาจิตออกไปโดยไม่มีประมาณ แผ่ไปในที่ใกล้ แผ่ไปในที่ไกล แผ่ไปในเบื้องบน แผ่ไปในเบื้องล่าง แผ่ไปในทางเบื้องซ้าย แผ่ไปในทางเบื้องขวา…หน้า หลัง…กว้าง ไกลแผ่ถึงเทพและอมนุษย์เสมอ เพื่อทำความคุ้นเคยเป็นมิตรไมตรีต่อกัน รวมทั้งสิงสาราสัตว์น้อยใหญ่ จตุบาท ทวิบาททั่วถ้วนกัน เขาจะได้รับกระแสแห่งความเย็นใจอาบรดจิตใจอย่างชุ่มฉ่ำ เวลาเจริญภาวนา

“น้อมจิตเข้าไปถึงหลัก จิตสว่างไสวมุทุจิต เบาจิต ตรวจปฏิภาค อุคคหนิมิตแจ่มแจ้งดี จิตสู่วิปัสสนาเพื่อความรู้เท่าสังขาร นำมาซึ่งความเห็นใจและสงบ”

หลวงปู่บันทึกในเดือนตุลาคม ๒๕๐๘ ถึงการภาวนา ณ ที่ถ้ำแก้งยาว ว่า

“ถ้ำแก้งยาว ตุลา ๐๘

เมื่อแต่ก่อน ภาวนาแน่วแน่ แต่ปฏิภาค แต่ธาตุ แต่ไม่แน่วแน่ทางจิต เดี๋ยวนี้แน่วแน่ทางปฏิภาคด้วย แน่วแน่ทางจิตด้วยความรู้อริยสัจจึงแม่นยำดีกว่าเก่านั้นมาก จิตสละตายลงไปถึงอมตธรรม แต่ก่อนสละตายลงไปไม่ได้เกิดกลัว เพราะภูมิสมถะและวิปัสสนาไม่พร้อมสามัคคีกัน

เมื่อภาวนาพิจารณาแยบคายแล้ว สังขารโลกปลงให้เขาเสีย แล้วแต่เขาจะแกเจ็บตาย เป็นเรื่องของเขา รีบเดินมรรคให้พ้นไปจากสังขารโลก เพราะสังขารโลกเป็นภัยใหญ่โต จะอยู่ไปก็เป็นเรื่องของเขา จะตายก็เป็นเรื่องของเขา แต่ภาวนาความรู้ความเห็นในอมตธรรมนั้นให้มาก นั้นเองเป็น “วิหารธรรม” ที่พึ่งของจิต เมื่อตายแล้วนั้นเองจะไปเกิดในที่ดี แปลว่าไม่อุทธรณ์ร้อนใจในความแก่ เจ็บ ตาย นั้นเป็นเรื่องของสังขาร

เมื่อรู้เท่าแล้ววางเฉย เป็นความสุขอย่างยิ่ง ถ้ามีความรักความชังอยู่…นั้นเองเป็นทุกข์อย่างยิ่ง เพราะยินดียินร้ายในเรื่องนั้น แปลว่า เจ็บ แสบ ร้อนไปด้วยเขา จึงเป็นทุกข์”
อ่านเพิ่มเติม

. . . . . . .